12 ส.ค. 2021 เวลา 18:16 • ธุรกิจ
เรื่องราวของ J. K. Rowling ผู้เขียน Harry Potter
จากคนตกงานสู่มหาเศรษฐีจากการเขียนหนังสือที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์
โดย Pursuit of Business
ความสำเร็จต้อง "ไล่ล่า"
J.K. Rowling คือใคร?
เธอไม่คาดคิดเลยว่า การเดินทางด้วยรถไฟที่ล่าช้าจากแมนเชสเตอร์สู่ลอนดอนในวันนั้น จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังแฟรนไชส์ Harry Potter อย่าง J.K. Rowling หรือ Joanne Rowling เป็นหนึ่งในนักเขียนที่มียอดขายสูงสุดในปัจจุบัน
เรื่องของ Rowling เป็นเรื่องราวแนว "ยาจกสู่เศรษฐี" ตั้งแต่การใช้ชีวิตด้วยสวัสดิการรัฐ สู่นักเขียนระดับพันล้าน ชีวิตของเธอพลิกผันเมื่อหนังสือจากความฝันเล่มแรกของเธอปรากฎบนแผงหนังสือ โดยใช้ชื่อว่า Harry Potter and the Philosopher’s Stone
นิยายเกี่ยวกับเด็กชายแว่นและโลกแห่งเวทมนตร์ ทำให้นักอ่านนับล้านต้องหลงใหล
และด้วยเหตุนี้ จึงเริ่มต้นการเดินทางของ Harry Potter และผู้สร้างของเขาผ่านทางสถานี King's Cross ซึ่งทำให้ทั้งตัวละครและผู้แต่งไปถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จและความนิยม
ทุกวันนี้ซีรี่ส์ Harry Potter ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ ซึ่งประกอบด้วยหนังสือ 7 เล่ม และภาพยนตร์ 8 เรื่อง กลายเป็นซีรี่ส์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และเป็นภาพยนตร์ซีรี่ส์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์
วัยเด็กและชีวิตช่วงแรก
J.K. Rowling เกิดในปี 1965 ในชื่อ Joanne Rowling โดยเป็นบุตรของ James และ Anne Rowling ในเมือง Yate, Gloucestershire ประเทศอังกฤษ
พ่อแม่ของเธอได้ลูกสาวคนที่ 2 Dianne เพียง 1 เดือนก่อนวันเกิดครั้งที่ 2 ของ Joanne
ด้วยความเชี่ยวชาญทางวิชาการ เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมศึกษา St Micheal's ก่อนลงทะเบียนเรียนที่โรงเรียนและวิทยาลัย Wyedean
เพื่อศึกษาต่อ เธอส่งตัวเองเรียนที่มหาวิทยาลัย Exeter ในสาขาวิชาภาษาฝรั่งเศสและคลาสสิก
การเขียนนิยายของเธอเริ่มต้นเมื่อเธออายุเพียง 5 ขวบ โดยเรื่องแรกที่เธอเขียนคือ "Rabbit"
ตั้งแต่นั้นมา เธอไล่ตามความรักในการเขียน โดยเขียนเรื่องราวมากมาย
หลังจากจบการศึกษาในปี 1986 เธอย้ายไปลอนดอน และทำงานเป็นนักวิจัยและเลขานุการสองภาษาให้กับ Amnesty International
ในขณะเดียวกัน เธอเขียนเรียงความขนาดสั้นเรื่อง What was the Name of that Nymph Again? or Greek and Roman Studies Recalled ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Pegasus ของมหาวิทยาลัย Exeter
ชีวิตการทำงาน
ระหว่างเดินทางจากแมนเชสเตอร์ไปลอนดอน ความคิดที่กล้าหาญได้จินตนาการและจับหัวใจของเธอ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และเธอก็ฝันต่อไปอีกหน่อย ทำให้เกิดภาพของ Harry Potter เด็กชายแว่นและเรื่องราวของเขา
อะดรีนาลีที่พุ่งพล่านที่เธอรู้สึกเกี่ยวกับพ่อมดน้อยและโลกของเขา ทำให้เธอสับสนมากจนเธอไม่รอช้าที่จะเขียนความคิดของเธอออกมา และพยายามสร้างแนวคิดให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
เย็นวันเดียวกัน เธอเริ่มเขียน Philosopher's Stone ซึ่งเป็นซีรี่ส์เรื่องแรกของ Harry Potter
ตำแหน่งครูที่ว่างลง ทำให้เธอย้ายไปประเทศโปรตุเกส ซึ่งเธอใช้เวลาในช่วงกลางคืนในการสอนภาษาอังกฤษ
ในระหว่างวัน เธอหลอมรวมความคิด และเขียน 3 บทแรกของหนังสือของเธอ
เมื่อเผชิญกับความวุ่นวายส่วนตัว เธอย้ายไปสก็อตแลนด์ในปี 1993 เพื่ออาศัยอยู่ใกล้ๆ Dianne น้องสาวของเธอ
เมื่ออยู่ในสถานการณ์วิกฤตครั้งใหญ่ที่ไม่มีงานทำ และชีวิตส่วนตัวที่แสนจะวุ่นวาย เธอสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตของเธอ
ในปี 1995 เธอเขียนต้นฉบับของหนังสือในตำนานอย่าง Harry Potter and the Philosopher's Stone แล้วเสร็จ
หลังจากถูกปฏิเสธจาก 12 สำนักพิมพ์ ในที่สุดเธอก็ได้ไฟเขียวจาก Barry Cunningham บรรณาธิการแห่ง Bloomsbury
ในขณะเดียวกัน เพื่อสนับสนุนตนเองด้านการเงิน เธอเข้าเรียนหลักสูตรฝึกอบรมครูที่ Moray House School of Education ที่มหาวิทยาลัย Edinburgh
หนังสือของเธอถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในจำนวน 1,000 เล่ม โดย 500 เล่มถูกแจกจ่ายไปยังห้องสมุดต่างๆ
ความสำเร็จสูงสุดของซีรี่ส์แรกของ Harry Potter ช่วยให้เธอได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 8,000 ปอนด์ จากสภาศิลปะแห่งสก็อตแลนด์
นอกจากนั้น เธอยังได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์หนังสือในสหรัฐอเมริกาให้กับ Scholastic Inc.
เมื่อย้ายมาอยู่ที่แฟลตแห่งหนึ่งในเอดินเบิร์ก เธอหมกมุ่นอยู่กับซีรี่ส์เรื่องนี้มากขึ้น โดยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของ Harry Potter โรงเรียนสอนเวทมนตร์ของเขา Hogwarts และผองเพื่อน Hermione Granger และ Ron Weasley
เธอออกมาพร้อมกับภาคต่อของหนังสือเล่มนี้ในปี 1998 ในชื่อ Harry Potter and the Chamber of Secrets
เช่นเดียวกับเล่มก่อนหน้า หนังสือเล่มนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และดึงดูดใจของผู้อ่านที่ยังคงกระหายต่อไป
การรอคอยกินเวลาไม่นานนัก เมื่อเธอตีพิมพ์หนังสือเล่มที่ 3 ของซีรี่ส์ในชื่อ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ในปี 1999
ในฤดูร้อนปี 2000 หนังสือเล่มที่ 3 ใน 7 เล่มนี้ทำเงินไปแล้ว 480 ล้านดอลล่าร์ โดยมีการตีพิมพ์มากกว่า 35 ล้านเล่มใน 35 ภาษา
ความคลั่งไคล้ของแฟนๆ สำหรับซีรี่ส์ Harry Potter ได้เพิ่มเป็นทวีคูณ จนเธอต้องถอนเล่มที่ 4 ของซีรี่ส์นี้ออกเพื่อให้หนังสือเล่มอื่นๆ ได้รับโอกาสบ้าง
ในขณะเดียวกัน ความสำเร็จอย่างท่วมท้นของซีรี่ส์ Harry Potter ทำให้เป็นแฟรนไชส์เดียวที่ทำกำไรได้มากที่สุดสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์
ด้วยเหตุนี้ Warner Bros จึงได้เซ็นสัญญากับเธอ โดยใช้ประโยชน์จากความสำเร็จของงานเขียนเพื่อสร้างภาพยนตร์ดัดแปลงเรื่องเดียวกัน
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2000 เธอได้ออกหนังสือเล่มที่ 4 Harry Potter and the Goblet of Fire
หนังสือเล่มนี้ทำลายสถิติก่อนหน้านี้ทั้งหมด และได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในโลกแห่งวรรณกรรม
โดยมันขายในวันแรกได้เท่ากับที่ Prisoners of Azkaban ขายได้ในปีแรกทั้งปี!!!
ในปี 2001 เวอร์ชั่นภาพยนตร์ของ Harry Potter and the Philosopher's Stone ได้ถูกเปิดตัว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีใน Box Office โดยทำเงินได้ถึง 90.3 ล้านดอลล่าร์ในช่วงสุดสัปดาห์แรก
ในปี 2002 มีการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องต่อไปของซีรี่ส์อย่าง Harry Potter and the Chamber of Secrets
ในปี 2003 เธอมาพร้อมกับนวนิยายเล่มที่ 5 ของเธออันได้แก่ Harry Potter and the Order of the Phoenix ในขณะที่หนังสือเล่มที่ 6 ในชื่อ Harry Potter and the Half-Blood Prince ออกมาในปี 2005
ซึ่งมันสร้างสถิติใหม่ในโลกวรรณกรรม ด้วยการขาย 9 ล้านเล่มภายในวันแรก
ในขณะเดียวกัน ความต้องการในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ของนวนิยายเรื่องนี้ก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดเช่นกัน
ในปี 2004 ภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter and Prisoner of Azkaban ได้รับการเปิดตัว ในขณะที่ Harry Potter and the Goblet of Fire ก็ถูกเปิดตัวในปี 2005
หนังสือเล่มสุดท้ายของซีรี่ส์นี้ออกมาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2007 ในชื่อ Harry Potter and the Deathly Hallows
มันกลายเป็นหนังสือที่ขายเร็วที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขาย 11 ล้านเล่มในวันแรกที่วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
ในปีเดียวกัน เวอร์ชั่นภาพยนตร์ของ Harry Potter and the Order of the Phoenix ได้มีการเปิดตัว
ในปี 2009 ได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter and the Half-Blood Prince
หนังสือเล่มสุดท้ายของซีรี่ส์ถูกดัดแปลงออกเป็น 2 ตอน
ในขณะที่ตอนแรกออกฉายในเดือนพฤศจิกายน 2010 ตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายออกฉายในปี 2011
หลังจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของซีรี่ส์เรื่อง Harry Potter เธอได้หยุดพักจากโลกแห่งการเขียน เพียงเพื่อกลับมาที่แผงหนังสือในปี 2012 พร้อมกับ The Casual Vacancy ที่มุ่งเป้าไปที่นักอ่านที่เป็นผู้ใหญ่
นวนิยายแนวตลกร้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นในเมือง Pagford เมืองเล็กๆ ของอังกฤษเล่มนี้ ได้รับการวิจารณ์ที่หลากหลาย แต่กระนั้นก็ขายได้ถึง 1 ล้านเล่มใน 3 สัปดาห์แรกที่ออกวางจำหน่าย
ในปี 2012 เธอได้เปิดตัวเว็บไซต์ Pottermore ซึ่งมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน เกี่ยวกับตัวละคร สถานที่ และสิ่งของในจักรวาลของ Harry Potter
นอกจากนี้ เธอยังเริ่มทำงานเกี่ยวกับสารานุกรมของ Harry Potter โดยเขียนบันทึกและสื่อต่างๆ ที่ไม่ได้ตีพิมพ์
ในปี 2013 เธอได้ออกหนังสือแนวผู้ใหญ่อีกเล่ม The Cuckoo's Calling ภายใต้นามแฝง Robert Galbraith
นวนิยายแนวนักสืบอาชญากรรมเล่มนี้ ได้รับการต้อบรับอย่างเรียบง่ายบนแผงหนังสือ
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยความจริงที่ว่า Rowling เป็นผู้เขียนตัวจริงทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 4,000 เปอร์เซ็นต์
ในปัจจุบัน เธอทำงานเกี่ยวกับนวนิยาย 2 ประเภท ประเภทแรกสำหรับเด็กๆ ในขณะที่อีกประเภทสำหรับผู้ใหญ่
โดยงานนี้มุ่งเป้าไปที่เด็กๆ กลุ่มอายุน้อยกว่าผู้อ่าน Harry Potter
ในปัจจุบันแฟรนไชส์ Harry Potter มีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลล่าร์
ในฐานะแบรนด์ระดับโลก มันได้สร้างสถิติโลกในแวดวงวรรณกรรม และยังคงเป็นนิยายที่เป็นที่รักมากที่สุด
หนังสือ 4 เล่มสุดท้ายของซีรี่ส์ทำลายสถิติทั้งหมด จนกลายเป็นหนังสือที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเล่มสุดท้ายขายได้ 11 ล้านเล่มในวันแรกที่วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
และหนังสือของเธอได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ 65 ภาษา
Pursuit of Business
ความสำเร็จต้อง "ไล่ล่า"
หากนี่เป็นบทความที่ "ใช่" สำหรับคุณ
คุณสามารถติดตามเราได้ที่...
โฆษณา