14 ส.ค. 2021 เวลา 03:50 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา การทดลองที่บอกว่า ความอดทนอดกลั้น ช่วยให้เรา ประสบความสำเร็จได้
“อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้าง ซึ่งก็หมายถึง การอดทน อดใจไว้ก่อน เพื่อรอสิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้า
ซึ่งการอดทนอดกลั้นนี้ ก็ถือเป็นคุณลักษณะที่ดีอย่างหนึ่ง ที่บางครั้งนำเราไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิตได้
แล้วรู้ไหมว่า เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว ได้มีการทดสอบความอดทนของเด็กเล็ก
โดยเป็นการทดลองที่ใช้ขนมมาเป็นตัวล่อ เพื่อดูว่า เด็กที่มีความอดทนมากนั้นมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือไม่..
ย้อนกลับไปในปี 1972 คุณ Walter Mischel นักจิตวิทยาและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองที่มีชื่อว่า “Marshmallow Experiment”
1
Marshmallow Experiment เป็นการทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อดูว่า ความอดทนของเด็กนั้นมีผลต่อความสำเร็จของชีวิตในอนาคตหรือไม่ โดยมีเด็กจำนวน 32 คน ที่มีอายุประมาณ 4 ขวบ เข้าร่วมการทดลองในครั้งนี้
เด็ก ๆ ที่เข้าร่วม จะได้รับรางวัลคือ “มาร์ชแมลโลว์” (Marshmallow) ขนมหวานชนิดหนึ่ง หรือขนมอื่น ๆ ที่เด็กหลายคนนั้นชื่นชอบ เป็นรางวัลตอบแทนที่มาร่วมการทดลอง
วิธีการทดลองคือ คุณ Walter Mischel และทีมวิจัย จะให้เด็กนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับจานขนม ซึ่งห้องทดลองก็เป็นห้องที่ทีมวิจัยสามารถสังเกตปฏิกริยาของเด็กแต่ละคนจากภายนอกได้
โดยทางทีมวิจัยให้เด็กเลือกว่า
1. จะได้รางวัลเป็นมาร์ชแมลโลว์ หรือขนมอื่น ๆ 1 ชิ้น หากกดกริ่งให้ทีมวิจัยกลับมาภายใน 15 นาที
หรือ
2. จะได้รางวัลเป็นมาร์ชแมลโลว์ หรือขนมอื่น ๆ เพิ่มเป็น 2 ชิ้น หากสามารถรอให้ทีมวิจัยกลับมาหลังจากเวลาผ่านไปเกิน 15 นาที
ผลการทดลองคือ เด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถรอที่จะกินมาร์ชแมลโลว์ 2 ชิ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีเด็กบางคนถึงขนาดกดกริ่งเพราะต้องการกินขนมหวานทันที โดยที่นักวิจัยยังไม่ทันจะก้าวขาเดินออกจากห้องทดลองหลังจากอธิบายทางเลือกดังกล่าวให้เด็กแล้วด้วยซ้ำ
ที่น่าสนใจคือ หลังจากการทดลองในครั้งนั้น นักวิจัยก็ได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเด็กเหล่านี้
เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
1
ซึ่งสิ่งที่พบคือ เด็กกลุ่มที่สามารถอดทนรอรางวัลจนได้ขนม 2 ชิ้นนั้น มีแนวโน้มปรับตัวเพื่อรับกับความเครียดต่าง ๆ ในชีวิตและมีทักษะทางอารมณ์ที่ดีกว่า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่า
นอกจากนั้น ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบ SAT ซึ่งเป็นข้อสอบมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาของเด็กกลุ่มที่อดทนได้ดีกว่า ก็สูงกว่า เด็กกลุ่มที่สามารถอดทนได้น้อยกว่า
หรือแม้แต่เรื่องสุขภาพเองก็เช่นกัน
เด็กในกลุ่มที่สามารถอดทนรอมาร์ชแมลโลว์ 2 ชิ้น จะมีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ที่ใช้ประเมินภาวะอ้วนและผอมในผู้ใหญ่ที่เหมาะสมกว่า เด็กกลุ่มที่มีความอดทนที่น้อยกว่า
การทดลองมาร์ชแมลโลว์ในครั้งนั้น ทำให้นักวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้ให้ข้อสรุปว่า เด็กที่มีความสามารถอดทนอดกลั้น รอให้ถึงเวลาที่ได้รับผลจากทางเลือกที่ดีกว่าได้ มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้มากกว่า กลุ่มที่อดทนรอไม่ได้
ถึงแม้ว่า การทดลองนี้ จะเป็นเพียงบททดสอบด้านจิตวิทยากับเด็กก่อนที่จะเข้าเรียนในระดับอนุบาล
แต่เราก็น่าจะนำบทเรียนที่เราได้จากเรื่องนี้มาปรับใช้กับชีวิตจริงของเราได้พอสมควร
เพราะต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย
2
ทำให้ในแต่ละวัน เราต้องเจอกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่อาจเบี่ยงเบนความสนใจเราออกจากเส้นทางที่ควรจะเป็น
2
ลองนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้
- กินของหวานอร่อย ๆ ขณะที่ตัวเรานั้นน้ำหนักเยอะ หรือเป็นโรคเบาหวาน และหมอสั่งห้ามว่าอย่ากินของเหล่านี้
- เอาเงินเก็บที่จะใช้เรียนต่อออกมาใช้ เพราะอยากได้รถรุ่นใหม่ ทั้งที่รถคันเก่าที่มีอยู่ก็ยังใช้ได้
- เลิกอ่านหนังสือ แล้วออกเที่ยว ทั้ง ๆ ที่พรุ่งนี้จะสอบ
จะเห็นว่า ถ้าเราขาดความยับยั้งชั่งใจต่อสิ่งล่อใจรอบตัว ชีวิตเราอาจไปไม่ถึงความสำเร็จ หรือจุดหมายที่เราตั้งใจเอาไว้
1
จริงอยู่ที่ว่า มีหลายปัจจัยที่จะช่วยทำให้คนเราพบกับความสำเร็จ หรือความล้มเหลวในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการศึกษา หรือฐานะทางครอบครัว
แต่ก็มีหลายครั้งเช่นกัน ที่ความสําเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตนั้นเกิดจากความพยายาม ในการอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ยั่วเย้า สิ่งเร้าต่าง ๆ ให้ได้
เพราะอนาคตคือ ผลของการกระทำของเรา ในวันนี้..
ปิดท้ายด้วยคำคมของ อริสโตเติล นักปรัชญาคนสำคัญในยุคกรีกโบราณ ที่เคยพูดประโยคหนึ่งเกี่ยวกับความอดทนอดกลั้นได้อย่างน่าสนใจว่า
“Patience is bitter but its fruit is sweet.”
“ความอดทนอดกลั้นนั้นมีรสขม แต่ผลลัพธ์ของมันกลับมีรสหวาน” ..
3
โฆษณา