Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อินกับหนังจนลืมวันจันทร์
•
ติดตาม
13 ส.ค. 2021 เวลา 13:41 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Godzilla(2014) VS Godzilla 2 : King of Monster(2019)
<วิเคราะห์ความเหมือน ความแตกต่าง>
เพิ่งได้ดู Godzilla 2 : King of Monster 2 จบซึ่งเราว่าเป็นหนังที่หลายๆคนตั้งตารอมานานให้เข้า Netflix ซักที จนในที่สุดก็ได้ดูกันแล้ว พูดถึงความรู้สึกหลังดูก่อนจะวิเคราะห์ความเหมือน ความต่างระหว่างภาค 1 และภาค 2 ดีกว่า ภาคนี้ดูเพลินกว่าภาคแรก มันส์กว่ามากๆ ฉากสัตว์ประหลาดจุใจ รู้เลยว่าเอาใจแฟนคลับน้องก๊อตจิ แต่ในแง่ของบทยังเทียบกับภาคแรกไม่ได้แต่ก็ไม่ได้จัดว่าแย่ ตัวละครบางตัวความคิด หรือการกระทำดูกลวง Non-Sense ไปหน่อยทั้งๆที่เอ็งเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์นะเว้ย แต่ก็อย่างที่บอกตอนแรกดูเอาสนุก เอามันส์คุณจะได้อรรถรสนั้นกลับไปแน่นอน
ต่อจากนี้จะเป็นการวิเคราะห์ความเหมือนและความแตกต่างของ Godzilla ทั้ง 2 ภาคโดยแบ่งออกเป็นหมวดๆตามนี้
1.งาน กำกับ CG Production
ใน Godzilla ทั้ง 2 ภาคใช้ทีม Production และบริษัทเดียวกันในการดำเนินการสร้าง แต่ในภาค 2 ได้มีการเปลี่ยนผู้กำกับจาก Gareth Edwards เป็น Michael Dougherty นอกจากผู้กำกับใหม่แล้วทีมเขียนบทก็เองเปลี่ยนใหม่เช่นกัน เราจึงเห็นว่างาน CG ฉากต่างๆในภาคสองจะอลังการ สวยงามกว่าภาคแรก ได้เห็นสัตว์ประหลาดออกมาชัด ไม่ใช่เงามืดๆ หรือโดน Effect บังเหมือนในภาคแรก ภาคนี้เองน้องก๊อตก็ตัวโตขึ้นบึกบึนแต่จะเพราะอะไรต้องตามเอาเอง การต่อสู้ระหว่างสัตว์ประหลาดเองก็ทำมาได้สนุก ลุ้นตาม และแอบขนหัวลุกกับกิโดร่าได้ไม่น้อย
2.บท เนื้อหา
บทของภาคแรกจะเป็นการโฟกัสไปที่พระเอกซึ่งเป็นทหารและมีพ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราชอบพ่อของพระเอกมาก เสียดายที่ตัวละครนี้ออกมาเพียงตอนต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามประเด็นที่มาการพูดถึงในภาค 1 อย่างชัดเจนคือเรื่องของการทดลองนิวเคลียร์ต่างๆซึ่งทำให้เห็นว่ามนุษย์คือตัวการทำลายธรรมชาติ จนเลี้ยงสัตว์ประหลาดให้โตขึ้นมานั่นเอง น้องก๊อตจิก็คือตัวแปรที่มาช่วยสร้างความสมดุลโดยการออกมากำจัดสัตว์ประหลาดตัวนี้ แต่สุดท้ายแล้วปัญหาจะไม่จบสิ้นถ้าตัวมนุษย์ไม่เป็นคนกำจัดเอง เราจะเห็นตลอดว่าภาคนี้พยายามโฟกัสไปที่คนเยอะมากๆฉากต่อสู้สัตว์สัตว์ประหลาดจึงน้อย ไม่จุใจแฟนๆทั้งหลายนั่นแหละ
บทของภาค 2 จะเป็นการโฟกัสที่คนอีกเช่นกันแต่เจาะไปที่องค์กรวิทยาศาสตร์หรือเรียกว่าโมนาร์ชโดยพระเอกจากภาคแรกไม่ได้มาแสดงนำในภาคนี้เนื่องจากเรื่องราวที่เลือกจะโฟกัสไปที่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งพระเอกเป็นทหารหน่วยเก็บระเบิดถ้าทำให้โผล่มามันก็จะดูขัดๆหน่อย ยังไงก็ตามใครที่มาดูภาคนี้เลยก็จะไม่งงเพราะไม่ได้ซ้อนทับกับภาคก่อน
มาต่อกันที่ประเด็นในหนังเรื่องนี้เหมือนพยายามตีประเด็นธรรมชาติให้เพิ่มขึ้นทั้งปล่อยสารพิษขยะลงน้ำ ทดลองขีปณาวุธ เผาป่าแต่มันมัวไปหมดไม่ได้มีการพูดถึงที่ชัดเจน
แง่ของประเด็นความผูกพันระหว่างครอบครัวเรารู้สึกว่ามันไปไม่สุดโดยเฉพาะน้อง Millie ที่เป็นตัวละครใน Trailer ที่ชวนให้น่าติดตาม น่าสนใจแต่พอดูในหนังจริงๆนางไม่ได้เฉิดฉายเหมือนใน Trailer หรือในเรื่อง Stranger things และการออกมาของเธอแต่ละครั้งก็โดนตัวละครอื่นอย่าง Vera Farmiga กับ Kyle Chandler ที่เล่นเป็นพ่อและแม่ของเธอกลบหมด ยังไงก็ตามประเด็นเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ภาคนี้ก็ทำให้เราแอบใจหายไม่น้อย ชื่นชมการแสดงของ Ken Watanabe ในเรื่องเราเชื่อเลยว่าเฮียแกรักก๊อตจิจริงๆ
3.ความสัมพันธ์ของนักแสดง(ไม่ใช่คู่รักนอกจอนะ555)
พระเอก นางเอก Godzilla 2014 ที่นำแสดงโดย Aaron Talor-Johnson กับ Elizabeth Olsen ทั้งคู่ยังประกบคู่กันใน Aveangers : Age of Ultron ในบท Quick Silver กับ Wanda อีกด้วย
ขณะเดียวกันใน Godzilla 2019 นักแสดงหลัก 2 คนอย่าง Ken Watanabe กับ Zhang Ziyi ยังเคยประกบคู่กันในหนัง Memmoirs of Geisha อีกด้วย
เรียกได้แม้จะไม่เหมือนทีเดียวแต่ทั้ง 2 ภาคล้วนมีนักแสดงที่เคยร่วมงานกันมาในหนังก่อนๆ ถือว่าเป็นข้อดีที่นักแสดงสามารถปรับตัวให้เข้าหากันได้ง่าย ขณะเดียวกันอาจจะทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่อินกับตัวละครนั้นเพราะติดภาพลักษณ์กับหนังเรื่องอื่นมาก่อน
ก็จบกันไปแล้วสำหรับวิเคราะห์ของเรา สุดท้ายเชิญชวนให้ทุกคนที่ชอบความมันส์ แอคชั่น CG สวยๆไปดู Godzilla : King of Monsters กันในวันศุกร์และหยุดนี้
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย