30 ส.ค. 2021 เวลา 13:00 • ปรัชญา
ห้องในท้องเรือ​
⛵🥨🥯🥗🎂🍺🥃
ถ้าเปรียบข้างในเรือกับข้างในมนุษย์ทางด้านนามธรรมแล้ว ก็คงจะเป็นเหมือนจิตใจของเรานี่เอง สิ่งสำคัญที่สุดแต่กลับถูกมองข้ามที่สุด
ข้างในเรือนั้นสามารถแบ่งได้หลาย ๆ ห้อง แต่มีอยู่ห้องหนึ่งที่อยู่ลึกลงไปข้างล่างสุด มันคือห้องที่มองไม่เห็นแต่ใช่ว่าจะลงไปไม่ได้
คือห้องลับของกัปตันที่บางทีกัปตันเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่และมันก็มีอิทธิพลควบคุมการกระทำและการตัดสินใจ ความคิดต่าง ๆ ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว โดยจิตวิญญาณของกัปตันเองก็ได้ผูกติดและฝังไว้ในที่แห่งนี้และห้องนั้น
มันก็คือ “ห้องในท้องเรือ” หรือที่อยู่ของจิตใต้สำนึกนั่นเอง
เพราะห้องในท้องเรือนี้มันได้อยู่ลึกลงไปข้างล่างสุดและเนื่องจากมันอยู่ลึกลงไปล่างสุดก็จะไม่ค่อยได้ใช้งานและบางครั้งเมื่อมีห้องที่ไม่ค่อยได้ใช้งานมนุษย์ก็จะใช้มันเป็น “ห้องเก็บของ”
แล้วมนุษย์เราชอบทำอะไรกับห้องเก็บของล่ะ?
คุณมีของบางอย่างที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้งานหรือเปล่าแต่ก็ไม่อยากทิ้งไปเลยนำของนั้นไปไว้ในห้องเก็บของหรือเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งในจิตใจเบื้องลึกของเรา
ของสิ่งนั้นมันอาจจะใช้ได้อีกหรือมันอาจจะเป็นแค่ขยะสำหรับเราที่ต้องกำจัดทิ้งในอนาคต และความคิด ความทรงจำ ประสบการณ์ทั้งที่ดีหรือไม่ดีที่สั่งสมมาตั้งแต่เราจำความได้ก็เช่นกัน
เราเก็บของเหล่านี้รวมไว้ทุกอย่างในห้องเก็บของที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจ มันมีทั้งความทรงจำที่ดีมาก ๆ ความทรงจำที่เลวร้ายสุด ๆ และมีหลาย ๆ ความทรงจำที่เราได้ลืมมันไปแล้วอีกด้วย
🤕🤒😷
ที่แห่งนี้คือชนวนการกำเนิดบุคคลในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินผู้โด่งดัง นักพูด ผู้ช่วยเหลือสังคมหรือแม้แต่ฆาตกร และผู้ที่จบชีวิตด้วยมือของตัวเอง
สำหรับคนทุกคน ช่วงวัยเด็กคือช่วงเวลาที่จะได้ทำความรู้จักคนคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสมัยเด็กจะส่งผลต่อการกำหนดนิสัยเมื่อโตขึ้น
ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลว คนปากร้าย คนนิสัยเสีย คนมักง่าย คนอ่อนโยน คนเข้มแข็ง นิสัยเหล่านี้คือนิสัยที่เป็นผลผลิตจากเหตุการณ์ที่สั่งสมเรื่อยมาตั้งแต่วัยเด็ก
ในห้องเก็บของเรานั้นมีของต่าง ๆ มากมายแต่ที่แน่ ๆ น่าจะมีเชือกสักเส้นแน่นอน
ฉันเปรียบชีวิตหนึ่งชีวิตเป็นเหมือนเชือกหนึ่งเส้น และเปรียบปัญหา ประสบการณ์ สิ่งแย่ ๆ ที่สะสมมาตั้งแต่สมัยเด็กเป็นปมเชือก
ยิ่งเชือกผูกปมมากเท่าไหร่เชือกก็จะยิ่งสั้นลง นั่นหมายความว่ายิ่งชีวิตมีประสบการณ์เลวร้ายสะสมมาตั้งแต่สมัยเด็กมากเท่าไหร่เมื่อโตขึ้นถ้าหากไม่รู้ว่ามีปมหรือรู้แต่ไม่หาวิธีแกะปมออก
ปมนั้นก็นำมาได้ทั้งหายนะและประโยชน์ขึ้นอยู่กับวิธีเลือกเดินของผู้ที่มีปม
งั้นลองจินตนาการว่าเอาเชือกกระสอบมัดปมหลาย ๆ ปม แล้วผูกปลายเชือกทั้งสองด้านกับอะไรสักอย่างไว้คนละฝั่ง​ (เหมือนผูกราวตากผ้า)​ ก็จะพบว่าปมนั้นจะยิ่งถ่วงเชือกนั้นให้ลดต่ำลง และเมื่อเราพยายามขึงเชือกให้ตึงไม่ให้ถ่วงลงต่ำก็จะพบว่าปมนั้นแน่นขึ้น
เมื่อความเจ็บนั้นมันถาโถมเข้ามาและยิ่งฝืนที่จะใช้ชีวิตต่อไปโดยทนกับความเจ็บปวดของการบีบรัดปมนั้น
ในที่สุดเมื่อเชือกทนกับแรงดึงทั้งสองฝั่งไม่ได้เชือกก็จะขาด
แต่ไม่ว่าเชือกนั้นแข็งแรงแค่ไหนทางด้านกายภาพแต่เชือกที่เป็นชีวิตหนึ่งชีวิตจริง ๆ นั้นมีกำลังหนุนเป็นความแข็งแกร่งของจิตใจ
ไม่ว่าปมนั้นจะเล็กจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับชีวิตและความคิดของคนแต่ละคนที่เติบโตมา
เราทุกคนเติบโตมาคนละที่ คนละแบบ พ่อแม่เลี้ยงดูไม่เหมือนกัน มีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน
ดังนั้นประสบการณ์ก็จะบีบให้ชีวิตเลือกหนทาง และความเจ็บปวดก็จะเป็นเหมือนมีด เมื่อชีวิตไม่สามารถเดินทางโดยลากปมที่หนักอึ้งนี้ต่อไปได้ เมื่อเชือกนั้นขาด
และผู้มีปมนั้นก็เหมือนผู้ที่ถือมีดคมกริบยิ่งกว่ามีดคว้านท้องของซามูไรที่มีชื่อว่ามีดแห่ง "ความเจ็บปวดทรมานทางใจ"
มีสิทธิ์ที่จะหันคมเข้าหาตัวเองหรือหันคมใส่คนอื่นก็ได้
ดูตัวอย่างได้จากภาพยนตร์เรื่องโจ๊กเกอร์ที่เป็นตัวอย่างฆาตกรที่มีชีวิตอยู่ในโลกของภาพยนตร์หรือบุคคลจริงนั่นก็คือ ฮิตเลอร์ ยิ่งปมที่มีในจิตใจแสดงถึงความเจ็บปวดมากเท่าไหร่พลังทำลายล้างก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
นี่ก็เป็นสาเหตุเดียวกันที่ทำให้คนบางคนชอบพูดทำร้ายจิตใจ ชอบกระทำบางสิ่งที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกเจ็บ นั่นเพราะจิตใจของเขาไม่เคยหาความสุขได้เลย เลยอยากให้คนที่อยู่รอบข้างรับรู้ถึงความเจ็บเหมือนในจิตใจของเขา
แต่ใช่ว่าทุกคนที่มีปมแล้วจะกลายเป็นคนร้ายไปซะทุกคน ยังมีคนหลาย ๆ คนที่เติบโตมาโดยใช้ปมเป็นแรงผลักดัน
หากเราจินตนาการที่จะปีนขึ้นที่สูงหรือลงมาจากที่สูงโดยใช้เชือกเส้นเดียวหากเราผูกปมกับเชือกนั้นก็จะยิ่งทำให้เราไต่เชือกได้ง่ายขึ้นใช่ไหม
มีคนหลายคนที่รู้ว่าตัวเองมีปมแต่อาจจะด้วยการอบรมเลี้ยงดู หรือประสบการณ์หรือวิธีการคิดในด้านดีของเจ้าตัวเองทำให้เป็นแรงผลักดันโดยการใช้ปมนั้นก้าวต่อไปข้างหน้า
เจ้าตัวอาจจะเคยลองแกะปมนั้น หรืออาจจะลองพิจารณาปมนั้นแล้วเก็บให้มันเป็นบทเรียนชีวิตที่จะได้เข้าใจชีวิตตัวเองและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
คนบางคนสามารถยอมรับปมนั้นและปล่อยวางมันได้โดยไม่เก็บให้มันเป็นเรื่องหนักอึ้งในใจซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ๆ เพราะการปล่อยวางการโดนทำร้ายทางด้านจิตใจเป็นเรื่องที่ปล่อยวางได้ยาก
บุคคลที่ทำแบบนี้ได้ก็คือโอปราห์ วินฟรีย์ ที่ชีวิตวัยเด็กของเธอโดนพ่อแม่เลี้ยงดูแบบทุบตีเป็นประจำและในวัยเด็กของเธอก็โดนล่วงละเมิดทางเพศจากญาติของตัวเองและคนอื่น ๆ
เพื่อนของฉันเองพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็กและไม่เจอพ่อแม่อีกหลายปีจนโตขึ้นแต่แทนที่จะน้อยเนื้อต่ำใจว่าตัวเองโดนทิ้งให้อยู่กับปู่กับย่าแต่กลับเข้าใจพ่อแม่และไม่ถือโทษโกรธเพราะคิดว่าอย่างน้อยตัวเองก็โตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจชีวิตของผู้ใหญ่และไม่เก็บเรื่องนั้นให้มาเป็นปมหนักอึ้งในใจ
นอกจากเชือกเส้นนี้ก็ยังมีของชิ้นอื่น ๆ เก็บไว้ขึ้นอยู่กับว่าของสิ่งนั้นแท้ที่จริงเป็นแค่ขยะหรืออุปกรณ์ตัวช่วยยามคับขัน
เพราะถ้าเป็นขยะมันจะหมายถึงความคิดด้านลบ ความคิดที่ขัดขวางชีวิต ความคิดดักขาตนเองและคนอื่น การดูถูกตนเองและคนอื่น ซึ่งหากคุณมีขยะในห้องเก็บของเยอะก็ไม่ต่างอะไรกับหลุมขยะดี ๆ เลย ชีวิตก็จะดึงดูดแต่สิ่งแย่ ๆ ที่จะกลายเป็นขยะในจิตใจของคุณนั่นเอง
เอาล่ะฉันกล่าวมาขนาดนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจตัวเอง ว่าลึกลงไปแล้วนั้นในจิตใจของเรามีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ขอให้รู้ว่าจิตใต้สำนึกของเราเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ในการดำรงชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดนิสัย กำหนดอนาคต กำหนดผู้คนที่เข้ามา กำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลว เป็นส่วนที่ใช้กฎแรงดึงดูด เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับจักรวาลและการเข้าใจผู้คนกับสิ่งรอบข้าง
ในเมื่อตัวเราเองยังมีสิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับตัวเรา ยังมีสิ่งที่ยังค้นหาไม่เจอ ยังมีสิ่งที่ยุ่งวุ่นวายในจิตใจและคนอื่นก็มักจะเป็นแบบนั้น บางครั้งที่เราไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรลงไป คนรักหรือครอบครัวของเราแสดงพฤติกรรมแปลก ๆ หรือโมโหเรื่องไม่เป็นเรื่องนั่นก็เป็นผลจากปมที่มีในจิตใต้สำนึกนั่นเอง
วิธีศึกษาจิตใต้สำนึกตัวเองนั้นก็คือการลองไปไหนคนเดียว ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ทำกิจกรรมบางอย่างคนเดียว นั่งสมาธิ สังเกตอารมณ์ว่าเป็นคนที่ใช้อารมณ์หนักไปทางไหน อ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า บางทีก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผลหรือไม่ ขี้โกรธ ขี้งอแง ขี้น้อยใจ หนักนิดเบาหน่อยก็โวยวายหรือเปล่า แล้วลองสาวไปถึงต้นเหตุว่าเกิดจากอะไรทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้
คุณอาจจะพบเจอคำตอบบางอย่างในชีวิตที่กำลังตามหามานานก็ได้
ลองเปลี่ยนการใช้คำ​ ยกเลิกการใช้คำพูดลบๆ​ แล้วสรรหา​คำพูดที่สร้างสรรค์​ให้กับตัวเอง​
เช่น​ การด่าว่าตัวเอง​ โง่​ เปลี่ยนเป็น​ ฉันยังฉลาดไม่พอ​ (ทำให้รู้สึกอยากฉลาดกว่านี้)​ คำว่า​ ไม่เก่ง​เท่าเขา เปลี่ยนเป็น​ ยังฝึกฝนไม่พอ​ การไม่ใช้คำพูดลบ ๆ​ กับตัวเองก็เพื่อที่จะบำบัดใจตัวเอง​และพัฒนาตัวเอง​และมันยังสามารถเป็นประตูขนขยะออกจากใจเราเองได้ด้วย
ในห้องเก็บของของคุณมีของจำเป็นในอนาคตหรือเป็นแค่ขยะที่ควรกำจัดทิ้ง ลองเข้าไปค้นมันและลองพิจารณาดูว่าสิ่งไหนควรเก็บสิ่งไหนควรตัดใจทิ้งและปมอันไหนที่สามารถแก้ได้บ้างหรือยอมรับปมนั้นแล้วใช้ปมนั้นเป็นแรงผลักดันชีวิตแทน
“เมื่อถึงเวลาที่ต้องหนีศัตรูหรือเมื่อเวลาที่ความซวยมาเยือน โจรสลัดก็ยังต้องสละทรัพย์สินส่วนตัวบางสิ่งทิ้งลงมหาสมุทรเพื่อให้เรือได้เดินต่อไป เพราะเพื่อความก้าวหน้ามันถึงเวลาที่จะต้อง โยนทิ้ง”
-The​ Sailor
โฆษณา