17 ส.ค. 2021 เวลา 05:24 • ข่าว
เหตุผลที่เราไม่เอาโครงการคลองผันน้ำเลี่ยงเมืองอุบล
จากความพยายามในการคุ้ยและค้นหาข้อมูลนี้มีหลายประการที่ทำให้เราไม่เห็นด้วยกับโครงการ ซึ่งสามารถเล่าได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1.การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ตลอดระยะเวลาศึกษาความเหมาะสม นับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 ถึงการส่งมอบงานในเดือนกรกฎาคม 2564 พบว่า มีการการสร้างความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่น้อยมาก จากข้อมูลที่เห็นในรายงานคือการการจัดเวทีปฐมนิเทศซึ่งก็จัดในโรงแรม หรือการเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีก็เป็นการปรึกษากับผู้ใหญ่รายบุคคล และที่สำคัญคือการเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 7 ซึ่งก็เป็นส่วนราชการในหน่วยงานเดียวกัน ที่ย่อมมองแนวทางเป็นไปในทางเดียวกัน หรือการเข้าไปคุยกับหัวหน้าส่วนราชการบางส่วนก็เป็นแค่การคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่
และถ้าจะบอกว่ามีการประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่มีตัวแทนผู้นำและชาวบ้าน ก็เป็นเพียงกลุ่มคนหยิบมือเดียวที่ไม่สามารถเทียบเปอร์เซนต์ได้ด้วยซ้ำไป ที่สำคัญคือทุกคนยังไม่มีข้อมูลไม่เปิดโอกาสให้ทำการบ้านเพื่อนำมาแสดงความคิดเห็นในเวที ดังนั้นพอมาร่วมวงประชุมก็ไม่มีข้อมูลในการแลกเปลี่ยนกลายเป็นว่าต้องยอมจำนนต่อการรับฟังข้อมูลเพียงด้านเดียว (แบบงงๆ) ประกอบกับการจัดเวทีแต่ละครั้งใช้เวลาสั้นมากแค่ชั่วโมงกว่าๆ โดยอ้างว่ามีข้อจำกัดเรื่องโควิด ยิ่งทำให้ไม่มีบรรยากาศในการแลกเปลี่ยน
และรวมทั้งการประชุมออนไลน์กับสื่อมวลชนเมื่อ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็เป็นการนำเสนอผ่านระบบซูมซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึง และผู้ร่วมประชุมส่วนมากไม่ใช่คนในพื้นที่และไม่ใช่คนที่จะได้รับผลกระทบ
2.ที่ผ่านมามีการส่งเจ้าหน้าที่ ที่อาจเป็นนักศึกษาหรือใครก็ตามที่เป็นลักษณะการจ้างมาเก็บข้อมูลเพื่อจดชื่อ ที่อยู่และเลขบัตรประชาชน และถามคำถามในลักษณะการจูงใจ เพื่อถามชาวบ้านเป็นรายบุคคลและหลายกรณีเป็นการถามคนแก่ที่อาจมีข้อมูลในการตัดสินใจน้อยหรือไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร และที่สำคัญเป็นการสุ่มถามที่ไม่เป็นลักษณะเวทีเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนให้มีบรรยากาศการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ดังนั้นจึงอาจมีข้อมูลไม่รอบด้าน
3. จริงๆในข้อมูลที่ออกแบบในเบื้องต้นมีข้อมูล แนวทางที่จะเป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งมี 4 แนวทาง คือ (1) การลอกคลองน้ำเดิมให้น้ำไหลสะดวกขึ้น (2) การระเบิดแก่งเพื่อจัดการเขื่อนธรรมชาติที่ขวางทางน้ำ (3) การจัดการพื้นที่รับน้ำ เช่น แก้มลิง หรือรูปแบบอื่นๆตามศักยภาพและความเหมาะสมในพื้นที่ (ซึ่งควรจะเป็นแนวทานี้มากที่สุด) และ (4) การสร้างคลองผันน้ำ (ที่คงไม่ใช่คลองแต่คือแม่น้ำเนื่องจากมีขนาดความกว้างรวมตลิ่ง 320 เมตร) จะเห็นว่าจริงๆมี 4 แนวทาง แต่ทำไมเจาะจงที่จะเอาแนวทางนี้ ซึ่งอาจมีคำตอบคือมันเป็นโครงการขนาดใหญ่ เนื่องจากกรมชลประทานถูกบังคับกลายๆว่าให้มีโปรเจกขนาดยักษ์ ที่จะได้มีเงินและแสดงถึงศักยภาพในการทำงาน
4. เราเห็นว่าแนวทางคลองผันน้ำน่าจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ทางการเกษตรที่จะเสียหายประมาณคร่าวๆ 8,000 กว่าไร่ เหล่านี้คืออู่ข้าวอู่น้ำของชาวบ้าน คือที่ดิน มูน มรดกของพวกเขากว่าจะได้มา บางคนเก็บเงินมาทั้งชีวิตกว่าจะได้ที่นา 10 ไร่ และมีหลายครอบครัวที่อาจจะต้องสูญเสียที่นาเป็นผืนเจ้าละ 30 ไร่ 40 ไร่ หรือบางเจ้า 70 ไร่ อยากให้ทุกท่านลองเปรียบเทียบมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องสูญเสีย ซึ่งต้องเสียแล้วเสียเลย ไม่สามารถนำกลับมาได้
ต่อให้มีค่าเวนคืน แต่ชาวบ้านไม่อยากได้เงิน เพราะไม่รู้จะไปซื้อที่ใหม่ที่ไหน ใครเขาจะขายให้ในสภาวะแบบนี้ที่โควิดไล่คนกลับบ้านเพื่อมาฝากชีวิตในที่ทำกินซึ่งเป็นมรดกที่ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ และเมื่อแลกกับพื้นที่น้ำท่วมในเมืองซึ่งมาคราวล่าสุดก็ปี 2562 ซึ่งเกิดความล้มเหลวของการจัดการ ที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ยอมถอดบทเรียนว่าน้ำท่วมคราวนั้นมีปัญหามาจากจุดไหน ที่สำคัญคือการสื่อสารข้อมูล การจัดการบานประตูเขื่อนที่มีในหลายจุด และปัญหาอื่นๆ ซึ่งหน่วยงานรัฐอาจเลี่ยงความรับผิดชอบว่าเป็นอุบัติเหตุก็ได้ แต่สำคัญต้องเอาบทเรียนนั้นมาคุยไม่ใช่เอามาเป็นข้ออ้างในการผุดโปรเจกของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
5. ตลอดระยะเวลาหลังน้ำท่วมปี 2562 ในพื้นที่เมืองซึ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมหรือที่เรียกว่าที่ชุ่มน้ำ เช่น หนองกินเพล บ้านท่าบ้งมั่ง หาดวัดใต้ หาดสวนยา หาดสวนสุข ปทุม กุดลาด และรวมถึงพื้นที่ใต้แก่งสะพืออย่างตำบลกุดชมภู เหล่านี้ได้มีการทำวิจัยภายใต้การร่วมคิดกันของคนในพื้นที่ว่าเขาต้องมีการปรับตัวอย่างไร ชาวบ้านจะอยู่กับน้ำได้อย่างไร ซึ่งกำลังเป็นวิวัฒนาการของชุมชน ซึ่งจริงๆก็ไม่อยากปรับตัวหรอกแต่จำเป็น เนื่องจากการก่อสร้างตึกอาคารขาวงทางน้ำเดิม เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และถนน คำถามคือ ทำไม่ไม่จัดการกับนายทุนใหญ่ให้รับผิดชอบสังคม แต่กลับโยนขี้มาให้ชาวบ้านทั้งกลุ่มเมืองและชนบทที่ต้องทั้งปรับตัวและรับกรรมจากการที่จะต้องมาเสียที่ดินกับการสร้างแม่น้ำสายใหม่
6.กรณีน้ำท่วมที่ตำบลไร่ใต้ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานีเมื่อปี 2562 ที่จริงมวลน้ำในช่วงที่ท่วมคือเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน แล้วเริ่มลดวันที่ 10 กันยายน 2562 น้ำทุกหยดคือน้ำจากลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูลคือลำโดมใหญ่ เป็นการท่วมที่ไม่มีสาเหตุมาจากแม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแม่น้ำอื่นๆ จนกระทั่งน้ำเริ่มลด และหลังจากนั้นมวลน้ำจึงเริ่มไหลมาเติมและท่วมเขตเมืองอุบลราชธานี ประมาณวันที่ 13 กันยายน ซึ่งอย่างที่ว่าคือเกิดจากความชะล่าใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ข้อสังเกตคือ ถ้าเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเหมือนปี 2562 น้ำจะท่วมชุมชนไร่ใต้ในปีเดียว 2 ครั้งติดๆกัน คือน้ำจากลำน้ำสาขาคือลำโดมใหญ่ และน้ำจากแม่น้ำชีและมูลที่จะมากับคลองผันน้ำ ดังนั้น เราจึงรับไม่ได้ที่จะต้องเสียทั้งพื้นที่ทำกินให้กลายเป็นคลองน้ำ และเสียพื้นที่น้ำท่วมที่จะมากับคลองผันน้ำ หรือเราอาจเรียกชื่อใหม่ว่า “แม่น้ำผันน้ำ” เพราะมีความยาว 96 กิโลเมตร และกว้าง 320 เมตร ลึกอย่างน้อย 9 เมตร (มหึมามาก)
ชาวบ้าน ต.ไร่ใต้ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ยกมื้อไขว้แสดงสัญลักษณ์ว่าไม่เอาโครงการผันน้ำเลี่ยงเมืองอุบล โดยมีเจ้าหน้าที่โครงการชลประทานอุบลลงพื้นที่รับข้อเสนอ
โฆษณา