19 ส.ค. 2021 เวลา 13:22 • ไลฟ์สไตล์
#ชีวิตสามระดับ
เมื่อวันก่อนได้เขียนเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ว่าทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง อยู่ที่ว่าจะจัดสรรเวลาอย่างไรให้ชีวิตมีรูปแบบตามที่พึงพอใจ ก็คงจะเห็นนะครับว่า เราสามารถจัดการชีวิตของเราเองได้เป็นส่วนใหญ่เลยทีเดียว เพราะเราเป็นผู้กำหนดเอง ว่าจะใช้เวลาในชีวิตของเราอย่างไร
ในวันนี้ก็จะขอกล่าวถึง "การใช้ชีวิตสามระดับ" คือ 1. ชีวิตที่สุขสบาย (pleasant life) 2. ชีวิตที่มีส่วนร่วม (engaging life) และ 3. ชีวิตที่มีความหมาย (meaningful life) ครับ
แนวคิดเรื่องชีวิตนี้ มาจากคำถามที่ผมได้ยินเมื่อ 4-5 ปีก่อนในงานสัมมนาหนึ่ง ว่า "ชีวิตที่ดีนั้นเป็นอย่างไร?"
แน่นอนว่าทุกคนก็ต้องการมีชีวิตที่สุขสบาย หรือ pleasant life ซี่งในที่นี้หมายถึง ความต้องการทางกายและใจของเราได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ คือมีข้าวกิน มีบ้านอยู่ มีที่นอน มีเสื้อผ้าใส่ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง อันนี้เป็นชีวิตระดับรากฐาน หมายถึงว่าเราต้องหารายได้มาใช้จ่ายเพื่อ support ระบบพื้นฐานของชีวิตเรา ซึ่งถ้าเรารู้จักกินอยู่อย่างพอเพียง การมีชีวิตระดับนี้ถือว่าไม่ยากเลยครับ เพราะจริงๆแล้ว แม้ว่าสมัยนี้ก็อาจจะเพิ่ม smart phone กับ internet และการเดินทางเข้าไปด้วย คนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าปัจจัย 4 เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้เลย จริงไหมครับ? มีเท่านี้ก็อยู่ได้แล้ว
แต่การใช้ชีวิตในระดับนี้ เราก็ต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจด้วยนะ อันนี้พูดถึงการที่เรามีโอกาสทำกิจกรรมที่ให้ความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย ตามแบบที่เราชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านนิยาย คุยกับเพื่อน ดู YouTube, Netflix ฯลฯ เป็นกิจกรรมที่ไม่ได้มี challenge อะไรมากมาย เป็นกิจกรรมสบายๆ ที่ทำให้เรารู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน
ถ้าเราจะพอใจแค่นี้ก็ได้นะครับ แต่ในความเป็นจริง ชีวิตของเราจะต้องเจอกับเรื่องท้าทาย ซึ่งแต่ละคนก็จะมีมุมมองตรงนี้ต่างกัน หมายถึงว่าเราอาจจะชอบหรือไม่ชอบความยากลำบากในชีวิตของเรา แต่สำหรับคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินไปเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะพบว่า เป็นชีวิตที่ออกจะน่าเบท่อไปสักหน่อย นอกการที่คนเราไม่เคยต้องฝ่าฟันความยากลำบากเลย ตัวตนก็จะไม่แข็งแกร่ง self esteem ก็ไม่ดี ลงเอยด้วยความซึมเศร้า ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายในเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่สุขสบายเกินไป ผลลัพธ์ก็คือมีชีวิตที่ปวกเปียก ไม่รู้สึกว่าตนเองมีแระสิทธิภาพ จนลงเอยด้วยความรู้สึกซึมเศร้าทหมดอาลัยตายอยาก ไม่อยากมีชีวิตในที่สุด
แล้วคุณล่ะครับ ชอบชีวิตที่เรื่อยๆเอื่อยๆจนน่าเบื่อหรือเปล่า? หรือคุณมีเรื่องท้าทายที่เหมือนเกมส์ที่คุณชอบเล่น ซึ่งคุณสนุกกับมันจนลืมเวลา?
ดังนั้นจึงนำมาสู่ชีวิตระดับที่สอง คือ engaging life หมายถึงชีวิตที่เรามีกิจกรรมที่เรารู้สึกสนุกกับมัน engagement หรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ไม่ใช่ความสุขสบายนะครับ แต่ผมกำลังพูดถึงภาวะที่เรียกว่า Flow หรือ ความไหลลื่น ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ ชีวิตมี challenge หรือความท้าทาย ซึ่งเราจะจ้องมี skill หรือทักษะในระดับที่พอเหมาะกับการจัดการความท้าทายนั้นๆ ซึ่งเวลาที่เราอยู่ในภาวะนี้จะเกิดลักษณะที่เรียกว่า diappearance of time คือเพลินจนลืมเวลา อย่างของผมจะเกิดเวลาเขียนบทความครับ เขียนไปเรื่อยๆ แก้ไปแก้มา เติมนั่นเติมนี่ แป๊บๆก็ผ่านไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว เป็นต้น
สำหรับเรื่อง Flow นี้ มีรายละเอียดที่น่าสนุกอีกเยอะเลย ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกครับ
เอาล่ะครับ เราก็รู้จัก "ชีวิตที่สุขสบาย" และ "ชีวิตที่ "เมามันจนลืมเวลา" แล้ว แต่ยังมีชีวิตอีกระดับหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นชีวิตที่ปรารถนาของคนจำนวนมาก นั้นก็คือ ชีวิตระดับสี่สาม หรือ "ชีวิตที่มีความหมาย" (meaningful life) นั่นเองครับ
คุณต้องการให้ชีวิตของคุณมีความหมายไหมครับ?
ในมุมมองของผม ความหมายและคุณค่าเป็นของคู่กัน คนเราส่วนใหญ่ต้องการให้ชีวิตมีความหมายและมีคุณค่า จริงๆแล้ว ความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่านี้เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกๆคน เพราะหากเรารู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่าหรือความหมาย เราก็มักจะหดหู่ซึมเศร้า ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ เพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม จริงไหมครับ?
ทีนี้ เราจะใช้ชีวิตให้มีความหมายได้อย่างไรล่ะ?
คำตอบที่ผมมีตอนนี้ ก็คือการใช้ชีวิตเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง ในระดับต้นก็คือการช่วยเหลือผู้อื่น ได้แก่การใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย คือเกิดผลกระทบเชิงบวก (positive impact) ต่อชีวิตผู้อื่น ซึ่งการอาจหมายถึงการช่วยให้ผู้อื่นหายจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน การทำให้ผู้อื่นสุขสบาย การทำให้ผู้อื่นมีความรู้ความสามารถในการใช้ชีวิตหรือประกอบอาชีพ และในระดับต่อไปก็คือการเชื่อมโยงตนเองเข้ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง เช่น คุณธรรม จริยธรรม หรือหลักการ หรืออุดมการณ์ที่ดีบางอย่าง เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความเมตตากรุณา ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข การเติบโตฝ่ายวิญญาณ
สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็น "ภาพจำ" เกี่ยวกับชีวิตของเราโดยผู้อื่น กล่าวคือเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นสิ่งหนึ่งที่ "define" ความเป็นตัวเรา เช่น ไม่ว่าจะตามบทบาท เช่น เป็นพ่อแม่ที่ดี เป็นครูอาจารย์ที่ดี หรือเป็น character ที่แสดงความเป็นตัวตนของเรา เช่น เป็นผู้ให้ เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนอดทน เป็นนักสู้ เป็นผู้เสียสละ ซึ่งจะเห็นว่า ชีวิตที่มีความหมายนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองเลย แต่เกี่ยวกับว่าในช่วงที่เรามีชีวิตอยู่ เราใช้เวลาทำอะไร เพื่ออะไร
นอกจากจะทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าแล้ว ชีวิตที่มีความหมายยังทำให้เรารู้สึกมั่นคง และมีกำลังใจในการฝ่าฟันอุปสรรคความยากลำบาก นั่นคือเราไม่ใช้ชีวิตออกนอกความดีงามที่เรายึดถือเป็นแนวทาง เราปรับตัวกับสถนการณ์ แต่เราไม่แปรเปลี่ยน "ธาตุแท้" ของเราแม้ถูกยั่วยุ เพราะเรารู้เสมอว่าเรากำลังทำอะไรเพื่ออะไร
อ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นว่าชีวิตทั้งสามระดับนั้นเกี่ยวโยง และส่งเสริมกันและกัน กล่าคือ ชีวิตจัดสรรความสุขสบายได้ดีตามสมควร ไม่เดือดร้อนเรื่องปากท้อง ย่อมทำให้มีโอกาสไปทำสิ่งท้าทายที่เพลิดเพลิน และสามารถพัฒนาชีวิตไปทำสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมาย หรือยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็คือการใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น
และ สุดท้ายก็กลับมาที่การเริ่มต้นจัดพื้นฐานชีวิตให้ดี จัดเวลาให้ดี เลือก activity ที่ตอบโจทย์ เทียงเท่านี้ ก็ใช้ชีวิตได้สมบูรณ์ทั้งสามระดับแล้วครับ 🙂
ขอให้สร้าง "ชีวิตที่ดี" ได้ตรงใจ สมปรารถนานะครับ
โฆษณา