21 ส.ค. 2021 เวลา 11:25 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หนังผีที่น่ากลัวที่สุด กับ The Exorcist
(William Friedkin, 1973)
หนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกจัดอันดับว่าน่ากลัวที่สุดตลอดกาล เรื่องราวของเด็กน้อยในเมืองจอร์จทาวน์ ที่โดนผีเข้าสิงร่างและเริ่มทำพฤติกรรมที่รุนแรงและท้าทายต่อศีลธรรม เรื่องราวเลยเถิดไปจนขนาดที่เด็กน้อยได้ทำการฆาตกรรม จนเป็นหน้าที่ของศาสนาที่ต้องมาแก้ไข แม้ความหวังจะดูริบหรี่ก็ตาม
ก่อนจะมาเป็นหนัง The Exorcist เป็นนวนิยาย Bestseller ที่มีที่มาจากคดีเด็กถูกผีเข้าในเมืองจอร์จทาวน์และเริ่มทำพฤติกรรมแปลกประหลาด จนบาทหลวงต้องเข้ามาจัดการ ซึ่งสุดท้ายนั้นผีก็ได้ออกจากร่างของเด็กไป ในเวลาต่อมา William Peter Blatty นักเขียนบทภาพยนตร์ต้องการนำเรื่องราวนี้มาเขียนเป็นหนังสือ แต่ติดที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อจริง เขาจึงดัดแปลงเรื่องราวนั้นให้เป็นนวนิยายแทน โดยการนำโครงเรื่องที่เกิดขึ้นมาใช้ เติมแต่งเหตุการณ์กับเรื่องราวทางจิตวิทยาเข้าไป แล้วแปลงชื่อของตัวละคร พอนวนิยายเรื่องนี้ขายดี ฮอลลีวูดก็ได้ติดต่อมาที่ William จนในที่สุดเป็น Warner Brothers ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการทำเป็นภาพยนตร์
.
The Exorcist กับความเฮี้ยนข้างนอกโรงภาพยนตร์
ต้องบอกว่า The Exorcist เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความสะพรึงกลัวได้เป็นอย่างมาก ในด้านการถ่ายทำก็เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นหลายอย่าง ทั้งนักแสดงสมทบที่ตายหลังจากแสดงได้ 2 สัปดาห์ คนที่เล่นเป็นแม่ต้องประสบเหตุเข่าพัง รวมทั้งคนรอบตัวทีมงานที่ต้องประสบเหตุการณ์ลึกลับหลายอย่าง จนผู้กำกับต้องนิมนต์บาทหลวงมาให้ศีลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงานต่อไป
เหตุการณ์ยังไม่จบ เพราะหลังจากที่ออกฉายก็เกิดกระแสแบบปากต่อปากในเรื่องของอาถรรพ์ของภาพยนตร์ ทั้งในอังกฤษที่มีคนตายหลังจากดูภาพยนตร์ เกิดเหตุฆาตกรรมที่ผู้ต้องหาอ้างว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่ตัวเขา แต่ถูกเข้าสิงหลังจากดู The Exorcist รวมทั้งมีคนที่ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตหลังจากดูภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เรื่องเริ่มวายป่วงเมื่อจิตแพทย์ก็ออกมาคอนเฟิร์มว่า The Exorcist เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจได้จริง โปรดระมัดระวังในการรับชม สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ภาพยนตร์มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้นและในที่สุดก็ทำเงินไปได้มากมาย
The Exorcist เป็นภาพยนตร์มีการดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เพราะหนังค่อยๆสร้างปมทางจิตวิทยาให้ตัวละคร ทั้งคนที่ต้องเผชิญเหตุอย่างแม่และลูกสาวและคนที่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์อย่างบาทหลวงหนุ่มและบาทหลวงแก่ เราจะเห็นผีครั้งแรกแบบชัดเจนก็ปาเข้าไปที่นาที 40 – 50 แล้ว
.
ความสมเหตุสมผลของผี
โครงสร้างของบทที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องของความสมจริงของผีก็คือหนังพูดถึงการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เมื่อลูกสาวมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ด้วยความที่แม่เป็นคนสมัยใหม่ทำให้เธอก็นำลูกไปรักษาที่โรงพยาบาลตามปกติ พอรักษาธรรมดาไม่หาย ก็ไปรักษากับหมอจิตเวช แต่ยิ่งรักษาก็ยิ่งเจอทางตัน ตรงนี้ภาพยนตร์นำเสนอเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ที่พยายามอย่างที่สุดแล้วก็ไม่เจอคำตอบได้อย่างสมเหตุสมผล จนมีน้ำหนักมากพอเมื่อแม่และลูกสาวตัดสินใจหันหน้าไปพึ่งการรักษาด้วยเวทมนตร์
.
บรรยากาศสยองขวัญยุค 70’s
ไม่ผิดที่เราจะตั้งคำถามถึงความเชยของมัน เพราะมันผ่านมานานหลายสิบปีแล้วนี่ แต่กล้ารับประกันได้เลยว่า การที่มีคนเป็นลมคาโรงภาพยนตร์ หรือต้องเข้าบำบัดนี่ไม่ใช่เรื่องที่เว่อร์เกินไปแต่อย่างใด เพราะทั้งการสร้างพฤติกรรมของผีหลอกที่สร้างสรรค์ รุนแรง และท้าทายศาสนาคริสต์ได้อย่างที่กล้าพูดได้เลยว่าอาจไม่มีภาพยนตร์ที่กล้าท้าทายแบบนั้นอีกแล้วในปัจจุบัน รวมถึงการสร้างบรรยากาศแบบผีๆ เช่น หมอก ลมพัด ใบไม้ปลิว อากาศที่เย็นลงอย่างฉับพลัน เชื่อได้เลยว่าคนดูไม่ได้อินแค่ผีหลอกอย่างเดียวแน่นอน แต่รวมถึงอินบรรยากาศช่วงผีมาด้วย ลองนึกถึงผีไทยที่ก่อนผีมาแล้วมีฝนตกฟ้าร้องหมาหอนอะไรแบบนั้น ดูไปขนลุกไปแน่นอน
.
ปมจิตวิทยาที่สร้างตัวละครจนนำไปสู่ไคลแมกซ์
นอกจากความน่ากลัว ภาพยนตร์ยังมีการสร้างตัวละครที่ดี ซึ่งการที่ภาพยนตร์ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์นับว่าไม่ใช่เรื่องประหลาด อย่างที่เกริ่นไปในข้างต้น ภาพยนตร์ค่อยๆสร้างปมของตัวละครต่างๆให้เราได้เห็นถึงขอบเขตการตัดสินใจของเขา
มีตัวละครหลักอยู่ 4 ตัว คือ 1.ลูกสาวผู้ถูกผีเข้าสิง ลูกสาวเป็นเด็กที่ร่าเริง สดใส แต่ลึกๆแล้วมีปมขาดความอบอุ่น เพราะพ่อแม่เลิกกัน 2.แม่ เป็นดาราฮอลลีวูด หัวสมัยใหม่ ไม่เชื่อในศาสนา แต่สุดท้ายก็ต้องพึ่งศาสนา 3.บาทหลวงหนุ่ม จบจิตวิทยา ถึงอยู่ในฟากศาสนาแต่ก็มีวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นวิทยาศาสตร์ เริ่มมีปัญหากับความศรัทธาในพระเจ้า 4.บาทหลวงแก่ ผ่านการปราบผีมาอย่างโชกโชน อยู่ในฟากของศรัทธาเต็มตัว แต่กำลังจะตายด้วยปัญหาสุขภาพ
เราจะเห็นได้เลยว่าตัวละครแต่ละตัวต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง และปัญหาเหล่านี้ก็นำไปสู่ไคลแมกซ์ที่เป็นบทสรุปของชีวิตแต่ละคน ซึ่งพอเราเริ่มจับปมของตัวละครได้ เราก็จะลุ้นเอาใจช่วยตัวละครว่ามันจะรอดไปได้กันมั๊ยวะ ซึ่งรอดไม่รอดนี่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนดูแล้วล่ะ
.
Pop Culture – หลักฐานทางอารมณ์ของผู้คนในยุคสมัย
Pop Culture หรือ วัฒนธรรมกระแสหลัก ใครว่ามันเป็นแค่วัฒนธรรมลูกกวาดอย่างเดียว มีเพียงความสนุกแต่ไม่ได้ให้คุณค่าใดๆในแง่ของสังคมหรือความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในยุคนั้นๆ อย่างไรก็ตาม Pop Culture เป็นหลักฐานอย่างดีสำหรับความรู้สึกของมนุษย์ในยุคสมัยนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ทำไมวัฒนธรรมไลฟ์โค้ชถึงเป็นกระแสอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งของประเทศไทย หากเราพิจารณาจากบริบททางสังคมก็จะเห็นได้ว่าอาจเป็นเพราะว่าสังคมนั้นขาดความรู้สึกถึงการพึ่งพิงพึ่งพาได้อันเกิดจากทั้งรัฐบาลที่ไม่ได้เรื่อง หรือศาสนาที่มีแต่ข่าวฉาวโฉ่ทุกวัน พอคนในสังคมขาดที่พึ่งทางจิตใจจากสถาบันหลัก ก็มักจะหันไปหาสถาบันใหม่ๆที่เกิดขึ้นมา นั่นก็คือการมุ่งไปหาไลฟ์โค้ชนั่นเอง
ยังคงเป็นเรื่องเดียวกันกับ The Exorcist สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะเห็นตัวละครที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันที่ชัดเจนอยู่หลายครั้ง ทั้งสาเหตุของผีที่มาเข้าสิงเด็กน้อยอันมีสาเหตุที่คลุมเครือ หาที่มาที่ไปไม่ได้ หรือว่าตัวละครบาทหลวงหนุ่มและบาทหลวงแก่ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน และมาเจอกันที่เดียวเลยตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเราคนดูก็จะเกิดคำถามแน่นอนว่า เอ๊ะ ไอตรงนี้มันเป็นมายังไงวะ
ยังรวมทั้งภาพยนตร์มีความรุนแรงอย่างสุดขีด ทั้งในทางพฤติกรรมและในทางคำพูดซึ่งจะออกมาทางผี รวมถึงมีความก้าวร้าวในการดูหมิ่นศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง
พอเราลองมองลงไปถึงความรุนแรงและคลุมเครือพวกนี้ที่ปรากฏในภาพยนตร์ มันก็น่าจะพูดถึงบริบทนอกภาพยนตร์ว่าตอนนั้นอเมริกาเป็นอย่างไร ในปี 1973 เป็นปีที่อเมริกาต้องเผชิญกับหลายเรื่องที่สั่นสะเทือนความรู้สึกของผู้คน ทั้งความเครียดจากสงครามเวียดนามและการประท้วง รวมถึงการเผชิญหน้ากับคดีวอเตอร์เกตที่ต่อมาทำให้ประธานาธิบดีนิกสันถึงกับต้องลาออก ซึ่งการขาดที่พึ่งพิงทางใจของผู้คนมันได้แสดงออกมาผ่าน Pop Culture อย่างหนังสือ ดนตรี และภาพยนตร์อย่างชัดเจน ซึ่ง The Exorcist ก็เป็นหนึ่งในนั้น อีกสิ่งที่การันตีถึงการขาดสิ่งพึ่งพิงทางใจอย่างรุนแรงก็คือภาพยนตร์อีกเรื่องที่ทำเงินมากกว่า The Exorcist ก็คือ The Godfather ซึ่งเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับมาเฟียที่ท้าทายกฎหมายและมีความรุนแรงเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าความเครียดของผู้คนถูกแสดงออกในรูปแบบของการระบายออกสู่ภาพยนตร์นั่นเอง
.
สรุป
The Exorcist นอกจากจะเป็นภาพยนตร์ผีหรือสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดจากการจัดอันดับหลายๆครั้งแล้ว ภาพยนตร์ยังมีคุณค่าในด้านศิลปะทางภาพยนตร์อันมีรางวัลการันตีจากเวทีออสการ์ คือรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และรางวัลบันทึกเสียงยอดเยี่ยม ทั้งภาพยนตร์ยังเป็นบันทึกความรู้สึกของผู้คนในยุคสมัยนั้นๆไว้อีกด้วย หากความบันเทิงและสาระมาบรรจบกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือชิ้นงานที่กาลเวลาไม่อาจทำอะไรได้ เหมือนกับ The Exorcist เรื่องนี้
โฆษณา