22 ส.ค. 2021 เวลา 08:42 • กีฬา
ศึกปะทะกันของนักเตะคนสำคัญ vs ผู้บริหารทีม ผู้ชนะมีได้แค่หนึ่งเดียว นี่คือเรื่องคลาสสิคของรุด กุลลิท ตำนานทีมชาติฮอลแลนด์ สมัยอยู่พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น
2
นักเตะกับผู้บริหาร ทะเลาะจนแทบจะฆ่ากันตาย ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในยุคนี้เท่านั้น แต่มันมีมานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว
ยุคนี้เราเห็นเมสซี่ขัดแย้งกับบาร์โตเมว เห็นอีเกร์ กาซียาส ดราม่ากับฟลอเรนติโน่ เปเรซ แต่ถ้าถามถึงความขัดแย้งคลาสสิคในยุคทศวรรษ 1980 เหตุการณ์ของรุด กุลลิท ถือเป็นเรื่องแรกๆ ที่คนจะนึกถึง
2
รุด กุลลิท คือซูเปอร์สตาร์ชาวฮอลแลนด์ เขาเป็นผู้เล่นที่แจ้งเกิดกับสโมสรเฟเยนูร์ด ในยุคทศวรรษ 1980 จนได้ติดทีมชาติชุดใหญ่อย่างสม่ำเสมอ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในฤดูกาล 1985-86
ตอนอยู่เฟเยนูร์ด กุลลิทว่าเก่งแล้ว แต่พอย้ายมาพีเอสวี เขาพัฒนาตัวเองขึ้นอย่างมากจริงๆ สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในสนาม ตั้งแต่สวีปเปอร์ ยันกองหน้าตัวเป้า และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมทันที ที่ย้ายมา
1
ในปีแรกกับพีเอสวี (1985-86) กุลลิทเล่นสวีปเปอร์เป็นหลัก และทำสถิติยิงประตู 24 ลูกในซีซั่นเดียว เป็นนักเตะกองหลังที่ยิงได้มากที่สุดในโลก และช่วยพีเอสวี คว้าแชมป์ลีกได้ในซีซั่นนั้น พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกดัตช์อีกด้วย
ณ เวลานั้น แฟนฟุตบอลทั่วโลกชอบกุลลิทมาก คือไม่ใช่แค่เรื่องฝีเท้าเท่านั้น แต่บุคลิกของเขาก็โดดเด่นมาก และมีความแตกต่างจากนักฟุตบอลโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
2
เขามีผมทรงงูเก็งกองเหมือนบ๊อบ มาร์เลย์ นอกจากนั้นยังวงดนตรีของตัวเอง เพลงที่กุลลิทร้องขึ้นชาร์ทเพลงในฮอลแลนด์มาแล้ว นักบอลแต่ร้องเพลงได้ดีขนาดนี้มีที่ไหน
นอกจากนั้น ยังมีความอหังการ เคยมีสื่อมวลชนแซวเขาเรื่องสีผิว เขาตอบโต้กลับด้วยการไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อ 3 เดือนเต็ม โทษฐานไม่ให้เกียรติกัน นอกจากนั้นยังเป็นคนตรงไปตรงมา พูดเรื่องยากๆ อย่างการเมืองโดยไม่เกรงกลัวใคร
นั่นทำให้กุลลิท กลายเป็นขวัญใจมหาชนอย่างแท้จริง และสำหรับพีเอสวี แม้จะมีผู้เล่นเก่งๆ หลายคนอย่างเอริค เกเร็ตส์ หรือแฟรงค์ อาร์เนเซ่น ก็เถอะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กุลลิทเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่ทีมไม่อยากจะเสียไปเลย
1
พีเอสวี เป็นสโมสรฟุตบอลของบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าฟิลิปส์ ซึ่งฟิลิปส์ก็รู้มูลค่าการตลาดของกุลลิทเป็นอย่างดี จึงจับเอากุลลิทมาถ่ายโฆษณาหลายต่อหลายชิ้น ช่วยโปรโมทสินค้าของบริษัทให้ได้รับความสนใจในวงกว้าง
1
ด้วยความโดดเด่นขนาดนั้น ทำให้หลายสโมสรอยากได้ตัวกุลลิทเป็นอย่างมาก หนึ่งในสโมสรที่จริงจังมากที่สุด คือเอซี มิลาน ที่ถูกเทกโอเวอร์โดยซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ในปี 1986
ในการแข่งขันฟุตบอลโจน กัมเปร์ ปี 1986 เป็นศึก 4 เส้า ระหว่างบาร์เซโลน่า, มิลาน, พีเอสวี และ สเปอร์ส ในรายการนั้น แบร์ลุสโคนี่ กับ อาเรียโด้ บรัยด้า เข้าไปทาบทามกุลลิทโดยตรง และยื่นข้อเสนอให้ย้ายมาเล่นที่เอซี มิลาน โดยพร้อมจ่ายค่าตัวเป็นสถิติโลก
1
แต่ในวันนั้นกุลลิทหัวเราะ และตัดสินใจไม่ย้ายไปร่วมทีมมิลาน เพราะเขาเพิ่งมาอยู่พีเอสวีได้แค่ 1 ปีเอง คือกำลังเอ็นจอยกับชีวิตกับทีมใหม่ และอยากจะเล่นฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพกับเพื่อนๆด้วย จึงยังไม่พร้อมจะย้ายทีมในตอนนี้
3
การไม่ยอมย้ายไปลีกใหญ่กว่า ทำให้แฟนๆ พีเอสวี จึงรู้สึกศรัทธากุลลิทเข้าไปใหญ่ ยิ่งยกให้เขากลายเป็นฮีโร่มากกว่าเดิมอีก
1
การได้รับความนิยมชมชอบ ยิ่งส่งเสริมอีโก้ของกุลลิทให้เพิ่มมากขึ้น คราวนี้ไม่ใช่แค่ทะเลาะกับสื่อ แต่เขาพร้อมด่ากราดใส่ทีมตัวเองด้วย ถ้ารู้สึกไม่พอใจกับอะไรสักอย่าง
1
ตัวอย่างเช่น เวลาโค้ช กุส ฮิดดิงค์จัดทีมผิดพลาดจนทีมตกรอบแรกยูโรเปี้ยนคัพ กุลลิท ก็ด่าฮิดดิงค์ว่า "ผมพยายามช่วยเหลือสโมสรแห่งนี้ ผมบอกพวกเขาเลยว่าเราวางแท็กติกแบบนี้ เราไปไม่ถึงไหนหรอก"
นอกจากตกรอบยูโรเปี้ยนคัพแล้ว ความน่าหงุดหงิดใจอีกอย่างของกุลลิท คือเขาไม่มีตำแหน่งประจำ สาเหตุเพราะเขาเล่นได้ทุกตำแหน่งในสนามด้วยคุณภาพสูงลิ่ว ดังนั้นจึงโดนจับโยนไปเล่นในตำแหน่งต่างๆ ตามแต่ว่าเกมนั้นทีมจะขาดอะไร
สไตล์ของฮิดดิงค์เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เขาไม่สนความรู้สึกของนักเตะ แต่มองผู้เล่นเป็นเหมือนเครื่องมือที่จะช่วยให้ทีมชนะแค่นั้น มุมของฮิดดิงค์คิดว่า หน้าที่ของนักเตะต้องทำเพื่อทีมเสมอ โค้ชสั่งให้เล่นตรงไหนก็ต้องไปตรงนั้น
2
กุลลิทให้สัมภาษณ์ว่า "ผมต้องเล่นทั้งกองหน้า เล่นมิดฟิลด์ตัวรุก เล่นสวีปเปอร์ บางทีก็เล่นปีก ผมเล่นมันทุกตำแหน่งในสนาม การที่โดนจับเล่นแบบนี้ มันเหมือนปิดกั้นพัฒนาการของผม สโมสรแห่งนี้ไม่เหมาะกับผมเลย ผมมีความทะเยอะทะยานมากกว่าสโมสรอีก"
2
"แล้วแผนของพีเอสวีก็บ้าบอมาก ทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ แบบที่ไม่ต้องให้เกียรติกัน บางทีสกอร์ตามอยู่ 1-0 ก็จับผมเอาไปยืนกองหน้าให้ยิงประตู แล้วพอผมยิงได้ เราแซงนำ ก็จับผมมายืนแบ็กโฟร์อีก คือจะเอายังไงกัน"
3
ไม่ใช่แค่ฮิดดิงค์ แต่เขายังด่าผู้จัดการทีม ฮันส์ คราย ที่ไม่ยอมช่วยกระตุ้นฮิดดิงค์เลย โดยกล่าวว่า "ฮันส์ คราย รู้ดีอยู่แล้วว่าตำแหน่งที่ผมถนัดที่สุดคือมิดฟิลด์ตัวรุก แต่เขาทำแบบนี้ มันเหมือนกับผมเป็นกะหรี่ คนอย่างกุลลิทรับได้ทุกอย่าง อะไรก็ได้โยนให้มันเลย ทำเหมือนผมเป็นโสเภณีไปได้"
4
นอกจากฮิดดิงค์ กับ ฮันส์ ครายแล้ว ยังด่าไปถึงผู้บริหารด้วย โดยกุลลิทใส่ยับว่า "พวกผู้บริหารของฟิลิปส์ ก็ทำกับผมไม่ได้ต่างกัน ถ้าหากฟิลิปส์เปิดตัวเครื่องดูดฝุ่นตัวใหม่แล้วขายไม่ดี ก็จะรีบโทรหาผมให้ช่วยถ่ายโฆษณาให้ที คุณลองไปดูสิ สินค้าฟิลิปส์ทุกอย่างมีผมโฆษณาหมดนั่นแหละ บางทีผมอยู่ในโบรชัวร์ซะจนคิดว่าตัวเองเป็นเครื่องดูดฝุ่นหรือเตารีดไปแล้วเนี่ยะ"
7
ดราม่าของเรื่องนี้ จึงเกิดขึ้นจากจุดนี้ กล่าวคือกุลลิทเป็นนักเตะคีย์แมนเบอร์ 1 ของทีมก็จริง แต่เมื่อคุณด่ากราดไม่ยั้งเลย มันก็ทำให้บรรยากาศทีมเสีย ซึ่งฮันส์ คราย ในฐานะผู้จัดการทีม ก็ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องไป Take Action ทำอะไรสักอย่าง
3
ฮันส์ คราย กล่าวว่า "นักเตะที่พูดจาแย่ๆ กับสโมสรที่จ่ายเงินเดือนแพงๆให้เขาทุกปี ไม่สมควรที่จะเล่นให้พีเอสวีอีกต่อไป ผมยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาพูด กุลลิทต้องโดนแบนทั้งฤดูกาล เขาสามารถไปนั่งดูบอลบนสแตนด์ได้เลย และผมบอกได้เลยว่า ทีมสามารถลงแข่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเขา"
2
"แล้วถ้ากุลลิทบอกว่าเขาเป็นกะหรี่ งั้นพีเอสวีก็เป็นแมงดางั้นหรือ ผมยอมรับคำพูดคำจาแบบนี้ไม่ได้จริงๆ"
1
ฮันส์ ครายสั่งยึดตำแหน่งกัปตันทีมของกุลลิท พร้อมทั้งเตรียมบทลงโทษอย่างรุนแรง ไม่สำคัญว่าคุณเป็นคีย์แมนขนาดไหน แต่การมาวิจารณ์ทีมแบบนี้เขาปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้
1
สงครามครั้งนี้ จึงเป็นการปะทะกันโดยตรงของ นักเตะคีย์แมนเบอร์ 1 ผู้ปากร้าย กับ ผู้จัดการทีมที่พยายามผดุงไว้เพื่อความถูกต้อง
2
ดราม่าจากคีย์แมนทั้งสองคนตึงเครียดกันอย่างมาก มันส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมของทีมด้วย สองคนนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ มันต้องมีสักคนที่ต้องไป
บทสรุปคือบอร์ดบริหารของพีเอสวีต้องกำจัด 1 คนออก
และคนที่โดนไล่ออก คือ ฮันส์ คราย
8
นี่เป็นเรื่องที่สร้างความตกใจให้กับวงการฟุตบอลฮอลแลนด์อย่างมาก เพราะฮันส์ ครายเอง ก็ทำถูกตามตำราทุกอย่าง นักเตะที่เป็น Toxic ก็ต้องโดนลงโทษ กุลลิทด่ากราดทุกคนแบบนี้ เห็นกันชัดๆ ว่ามีแต่ผลเสียสู่สโมสร
ถ้าคิดตามหลัก จุดยืนของครายก็น่าจะถูกต้อง แต่ในโลกนี้ มันไม่ได้เป็นไปตามหลักการเสมอไป บางครั้งเรื่อง "คุณค่า" มันก็มีส่วนช่วยในการตัดสินใจด้วย
กล่าวคือฮันส์ คราย เป็นผู้จัดการทีมที่ดี เขาเป็นคนซื้อตัวนักเตะเก่งๆ มาเสริมทัพมากมาย โรนัลด์ คูมันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ปัญหาคือสโมสรไม่สามารถขัดใจกุลลิทได้จริงๆ
กุลลิทคือกัปตัน คือคีย์แมนเบอร์หนึ่ง เป็นผู้เล่นที่แฟนๆรัก ส่วนบริษัทแม่-ฟิลิปส์ ก็มีเขาเป็นโปสเตอร์บอย คอยโฆษณาสินค้าต่างๆอยู่ตลอด
1
ยิ่งไปกว่านั้น เขาควรได้รับการลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะถ้าสโมสรคิดจะขายเขาทิ้งในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึง เพื่อยืนยันว่านักเตะเล่นดีอยู่ สามารถปั่นราคาให้สูงได้ ดังนั้นถ้ามีฮันส์ ครายอยู่ ก็คงไปบล็อกไม่ให้กุลลิทลงเล่น มันจึงช่วยไม่ได้จริงๆ ที่สโมสรต้องเด้งครายออกไปซะ
2
เมื่อฮันส์ คราย โดนไล่ออก เขาย้ายไปทำงานกับเฟเยนูร์ดสั้นๆ อีกไม่กี่เดือน จากนั้นก็อำลาวงการไปเลย ไม่ข้องเกี่ยวกับฟุตบอลอีกตลอดชีวิต หลายคนเชื่อว่าเขาตรอมใจ ที่โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม จนทำงานต่อในวงการนี้ไม่ไหวจริงๆ
2
ขณะที่กุลลิท เมื่อเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ ก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงตามเดิมทุกนัด ก่อนช่วยพีเอสวีคว้าแชมป์ได้สำเร็จ และจากนั้นในช่วงซัมเมอร์ สโมสรก็ขายกุลลิทให้เอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 17 ล้านกิลเดอร์ (5.5 ล้านปอนด์) ซึ่งเป็นสถิติโลก ณ เวลานั้น
1
การย้ายทีมของกุลลิท ทำให้เขายกระดับจากผู้เล่นดีกรียุโรป กลายเป็นนักเตะระดับโลก ที่เอซี มิลาน กุลลิทร่วมกับ มาร์โก แวน บาสเท่น และ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เป็นสามประสานดัตช์ ที่เดินหน้าคว้าแชมป์มากมาย ทั้งยูโรเปี้ยนคัพ และ เซเรียอา รวมไปถึงแชมป์ยูโร 1988 กับทีมชาติฮอลแลนด์ด้วย
2
และถึงตรงนั้น สเตตัสของเขาก็สูงค่าเหมือนเป็นพระเจ้า แทบไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเขาอีก
เหตุการณ์คลาสสิคอีกเรื่อง เกิดขึ้นตอนที่กุลลิทย้ายไปเอซี มิลานแล้ว โดยเฮดโค้ชของมิลาน คืออาร์ริโก้ ซาคคี่ ซึ่งน้อยคนนักจะกล้าแหยม แต่กุลลิทกล้า
กุลลิทเคยเล่าเหตุการณ์ที่เอซี มิลาน ว่า "ผมเคยคุยกับอาร์ริโก้ แล้วเล่านิทานให้เขาฟังว่า กาลครั้งหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมีจู๋ยาว 200 เซนติเมตร มันยาวเกินไปจนเขาไม่สามารถใช้การได้ เลยไปหาหมอศัลยกรรม ซึ่งหมอบอกว่า 'โอเค เราจะผ่าตัดมันออกสัก 175 เซนติเมตร เหลืออีก 25 ซม. ก็น่าจะพอใช้การได้"
"1 วันหลังผ่าตัดเสร็จ ผู้ชายคนนั้นกลับไปหาคุณหมอที่ผ่าตัดพร้อมด้วยขวดแชมเปญ เขาอยากฉลองกับหมอ เพราะว่าในที่สุดเขาก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง จู๋ของเขาสั้นลงเหมือนคนปกติแล้ว จากนั้นคนไข้กับหมอก็ดื่มแชมเปญด้วยกัน และพอเริ่มเมา ผู้ชายก็ถามไปว่า 'คุณหมอ บอกผมหนอ่ยได้ไหม ไอ้ส่วนที่เฉือนทิ้งไป 175 ซม. น่ะ คุณเอาไปไว้ไหน"
"หมอผ่าตัด ยิ้มแล้วตอบกลับมาว่า 'ง่ายมากเลย' เราจับมันใส่วิก แล้วตอนนี้ก็ปล่อยให้มันทำงานเป็นเฮดโค้ชของเอซี มิลานไง!"
4
ถ้าคุณหลอกด่า เฮดโค้ชว่าเป็นอวัยวะเพศแบบนี้ ถ้าเป็นนักเตะคนอื่นโดนเด้งไปนานแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ ว่ากุลลิทก็ยังได้อยู่ต่อ เพราะเขามีคุณค่าเรื่องฝีเท้าเกินกว่าจะปล่อยไป ซึ่งอาร์ริโก้ ซาคคี่ก็ได้แต่อดทนไว้ คิดถึงประโยชน์ของทีมมาก่อน
1
เรื่องนี้ ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยๆ ว่าหากวันหนึ่งมีนักเตะที่สเตตัสอยู่เหนือโค้ชและผู้บริหาร สโมสรควรจัดการอย่างไรกันแน่
บทสรุปจากกรณีศึกษาของรุด กุลลิท เป็นเรื่องที่ทำให้เห็นว่า แม้ในตำแหน่ง ผู้บริหารจะมีอำนาจเหนือกว่านักฟุตบอล แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว การปะทะกันของคน 2 คน ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีตำแหน่งสูงกว่าใครหรอก แต่อยู่ที่ว่าใครมีคุณค่ากับองค์กรมากกว่า
1
และกุลลิทก็รู้ดีว่า คุณค่าของเขาเหนือกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงเลือกทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ และเขาก็เป็นฝ่ายชนะทุกครั้งเสียด้วย
ส่งท้ายในเรื่องนี้ มีคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ที่น่าสนใจเขียนว่า ถ้าหากคนที่กุลลิทหลอกด่าว่าเป็นจู๋ คือเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันล่ะ
1
คำถามคือเฟอร์กี้จะยอมโอนอ่อน ยอมๆเด็กมันหน่อย หรือ จะไล่กุลลิทพ้นทีมใน 1 วินาที
#VALUE
โฆษณา