24 ส.ค. 2021 เวลา 09:49 • หุ้น & เศรษฐกิจ
"10 คำกล่าวของสุดยอดนักเทรด ที่จะเปลี่ยนวิธีการเทรดของคุณไปตลอดกาล"
#บอกก่อนว่านี่ไม่ใช่การสรุปแต่เป็นการแปลมาจากต้นฉบับทั้งดุ้นดังนั้นมันจะยาวมาก #ถ้าอ่านจนจบจะขอบคุณมากครับ555
#บทนำ
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแทบทุกคน
มักจะศึกษาจากครูของพวกเขา
ครูของลุงบัฟเฟต คือ เบนจามิน เกรแฮม หรืออย่างสตีฟจ็อปก็อาจเรียกได้ว่าเป็นครูของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แม้กระทั่ง ริชาร์ด แบรนสัน ก็มีครูเป็น เฟรดดี เลเกอร์
เมื่อตอนที่ผม (เจ้าของบทความ) เข้าไปทำงาน Prop Firm ก็มีเทรดเดอร์รุ่นพี่ที่คอยชี้แนะและสอนผมเช่นกัน
หลังจากสองสามปีให้หลัง ผมก็ได้รับมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาให้กับเทรดเดอร์รายใหม่ในบริษัทด้วย
ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในสักสายงานหนึ่ง ให้รีบหาที่ปรึกษาให้ไวเลย นั่นจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จเพราะพวกเขามีทั้งประสบการณ์และความรู้
ในบทความนี้ ผมจะแบ่งปัน 10 คำกล่าวอันทรงพลังจากสุดยอดนักเทรดของโลก
ที่จะช่วยให้การเทรดของคุณดีขึ้นอย่างแน่นอน!
#บทความหลัก
#คนที่1 William Eckhardt
“อย่าไปเดาว่าตลาดจะไปทางไหน คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งนั้นได้อย่างแน่นอน แต่ให้ลองนึกถึงสิ่งที่คุณจะทำในทุกความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น”
นี่เป็นหนึ่งในคำกล่าวที่ผมชอบมาก ๆ มันช่วยผมได้มากจริง ๆ ในช่วงตลอดหลายปีที่ผมทำการเทรด เพราะมันหมายความว่าคุณ "ต้อง" พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ (ไม่ว่าตลาดจะไปทางไหนก็ตาม)
บ่อยครั้งที่เมื่อนักเทรดมือใหม่เข้ามาในตลาด แล้วพวกเขาจ้องมองที่กราฟและเริ่มวิตกกังวล (รน) เมื่อเห็นว่าตลาดไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง
แต่ก็อย่างที่ William Eckhardt บอก:
"ไม่เห็นมีต้องกังวล มันก็มีแค่ ถ้าราคาขึ้นไปก็เก็บกำไร กับ ถ้าราคาร่วงลงมาก็ตัดขาดทุน แค่นั้นแหล่ะ!"
ส่วนอื่น ๆ ก็แค่ต้องบริหารการเทรด เช่น ถ้ามีข่าวร้ายของหุ้นตัวที่คุณถือคุณจะ...
- เลื่อน Stop Loss ขึ้นมาหน่อยไหม?
- หรือจะขายออกหมดเลย?
- หรือจะลดขนาดของแต่ละไม้ลง?
ก่อนที่คุณจะเทรดในแต่ละครั้ง ควรมีการวางแผนเตรียมไว้เผื่อในทุก ๆ สถานการณ์เพื่อไม่ให้ตลาดเล่นงานคุณได้ และเมื่อคุณทำการเทรดแล้ว สิ่งที่คุณต้องทำคือทำตามแผนที่คุณวางไว้นั่นแหล่ะ
#คนที่2 Jesse Livermore
“ไม่มีกฎการซื้อขายใดที่จะให้ผลกำไร 100 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลาหรอกนะ”
เขาเป็นหนึ่งในนักเทรดในตำนานที่ทำให้ผมเข้าวงการเลยแหล่ะ เมื่อผมอ่านหนังสือ "Reminiscences of A Stock Operator" ของเขา ผมก็ได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากในการเรียนรู้การเคลื่อนไหวของราคา
แต่มีเนื้อที่สำคัญกว่านั้นก็คือ
"การขาดทุน เป็นส่วนหนึ่งของการเทรด"
คุณไม่สามารถหลีกหนีมันพ้น ยังไงก็ต้องเจอการขาดทุน ซึ่งมือใหม่จะไม่เข้าใจสิ่งนี้ และพยายามที่จะเทรดยังไงก็ได้เพื่อไม่ให้ขาดทุน และพวกเขามักจะใช้กลยุทธ์ Martingale ที่เพิ่มจำนวนไม้เข้าไปเพื่อถัวเฉลี่ยราคาขาดทุน นี่เป็นกลยุทธที่อันตรายมาก และหลายคนพอร์ทแตกเพราะกลยุทธนี้ สมมุติเทรด 100 ครั้ง เขาอาจจะเทรดชนะ 99 ครั้ง แต่เวลาตลาดมันเอาคืนแค่ 1 ครั้ง มันจะรูดเอาทั้งกำไรและต้นทุนจนทำให้พอร์ทแตกได้
ดังนั้น!!! แทนที่จะคิดว่าต้องได้กำไรทุกรอบในการเทรด จงรู้ไว้ซะว่าการขาดทุนมันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แม้แต่นักเทรดมืออาชีพยังจะต้องเจอการขาดทุนเลย
ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือกำไรโดยรวมของคุณมีมากกว่าการขาดทุนทั้งหมด และคุณจะเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้ในระยะยาว
#คนที่3 Bruce Kovner
“นักเทรดมือใหม่วางขนาดในการเทรดของแต่ละไม้ใหญ่เกินไป พวกเขากำลังรับความเสี่ยง 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ต่อการเทรด ซึ่งจริง ๆ แล้วนั้น พวกเขาควรเสี่ยงเพียงแค่ 1 ถึง 2 เปอร์เซ็นต์"
ในทุกวันนี้ มีหลายคนที่สถาปนาตัวเองว่าเป็น "กูรู" ในด้านการเทรดมากมายบน Youtube ที่พูดถึงวิธีที่พวกเขาเปลี่ยนเงิน $500 ให้เป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่วันด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว
หากคุณเพิ่งเริ่มต้นและจริงจังกับการเทรดเพื่อสร้างกำไรให้ตัวคุณเอง คุณต้องฟังคำพูดของ Bruce Kovner อีกอย่าง เมื่อคุณเพิ่งเริ่มต้น คุณ "ต้อง" ฝึกการบริหารความเสี่ยงให้ดีเพื่อที่จะอยู่ในตลาดได้นานพอที่จะทำกำไรได้
#คนที่4 Bill Lipschutz
“ถ้านักเทรดเรียนรู้ที่จะนั่งทับมือของพวกเขาไว้ซะบ้างซักได้ซักครึ่งหนึ่งในตลอดการเทรดของพวกเขา พวกเขาอาจจะทำเงินได้มากขึ้นก็ได้”
มีนักเทรด 2 ประเภทบนโลกที่ต่างกันอย่างสุดโต่ง
1. ชนิดที่ว่าโคตร ๆ จะกลัวการขาดทุนซะจนไม่กล้าเข้าซื้อ
2. ก็ตรงข้ามกับข้อ 1 (ฮ่า ๆ)
ประเภทที่ 1 คือพอมีสัญญาณให้ซื้อก็จะหาข้ออ้างร้อยแปดที่จะไม่เข้าซื้อ จนพวกเขาตกรถแทบจะทุกครั้งที่มีสัญญาณซื้อเข้ามา
ประเภทที่ 2 คือคนที่พวกเราเรียกว่า "นักเทรดเอามันส์" พวกเขาจะสรรหาเหตุผลมาจนได้ว่าทำไมต้องซื้อตอนนี้!! เดี๋ยวนี้!! แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณเข้าซื้อก็ตาม และนี่แหล่ะคือสิ่งที่ Bill ต้องการจะบอก ถ้าคุณถอยหลังออกมาดูตลอดการเทรดทั้งหมดที่ผ่านมาของคุณ แล้ววิเคราะห์ว่าวิธีไหนที่ทำให้คุณขาดทุนบ้าง คุณอาจจะพบได้ว่าช่วงไหนควรเข้าซื้อ หรือช่วงไหนควรนั่งทับมือ การทำแบบนี้จะทำให้คุณทำกำไรโดยรวมมากกว่าที่เคยเป็น
#คนที่5 Tom Basso
“ผมคิดว่า จิตวิทยาการลงทุนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุด รองลงมาคือการควบคุมความเสี่ยง ส่วนสิ่งสุดท้ายที่ควรคำนึงถึงคือคำถามที่ว่า คุณจะซื้อและขายตอนไหน?”
นักเทรดมือใหม่จำนวนมาก ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการค้นหา “จอกศักดิ์สิทธิ์ (ระบบการเทรดที่ดีที่สุด)” ที่สามารถช่วยทำเงินให้พวกเขาได้ชัวร์ ๆ แต่สิ่งที่พวกเขามักจะมองข้ามไปคือ ระบบมันจะทำกำไรได้ มันขึ้นอยู่กับคนที่ใช้ระบบนั้น ๆ ต่างหากหล่ะ
ยกตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ 1980 มีนักเทรดในตำนาน 2 ท่าน ชื่อ Richard Dennis และ William Eckhardt รับสมัครคนจำนวนมากพื่อสอนระบบการเทรดของพวกเขา ซึ่งเป็นระบบแบบเดียวกันกับที่ทำให้ทั้งคู่มีรายได้หลายล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม แม้จะสอนทุกคนในสิ่งเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำกำไรได้...
มาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านจะเกิดคำถามแล้วว่า "ทำไมวะ?"
ก็เป็นไปตามที่ Tom กล่าวข้างต้นเลยครับ (เลื่อนขึ้นไปอ่านอีกที ถ้าจำไม่ได้) แต่เชื่อหรือไม่? มือใหม่แทบจะทุกคนจะไปเน้นว่าจะต้องเข้าตอนไหน ออกตอนไหน
ดังนั้น!!! ถ้าคุณอยากจะกลายเป็นนักเทรดที่ดีขึ้น จงให้ความสำคัญกับจิตวิทยาของคุณมากขึ้น เพราะเมื่อคุณมีจิตวิทยาในการเทรดที่ถูกต้องแล้ว ระบบการซื้อขายก็จะง่ายขึ้นนั่นเอง
#คนที่6 Paul Tudor Jones
"ถ้ามีซักไม้ที่ผมถือ แล้วมันไม่เป็นไปตามที่ผมคิด ผมจะขายมันออก แต่ถ้ามันทำกำไรให้ผม ผมก็จะเก็บมันไว้ การควบคุมความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด หากคุณมีซักไม้ที่คุณถือไว้แล้วนอนไม่หลับ วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก ขายมันทิ้งซะ!!! เพราะคุณสามารถกลับเข้ามาใหม่ได้เสมอ"
สิ่งที่ Paul พูด แทบจะเป็นท่าพื้นฐานที่นักเทรดระดับโลกเขาทำกัน และเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำด้วยเช่นกัน
เขากล่าวว่าเขาจะตัดขาดทุนหุ้นผู้แพ้ทิ้ง แล้วให้หุ้นผู้ชนะวิ่งทำกำไรไปเรื่อย ๆ นั่นทำให้ค่าเฉลี่ยกำไรของเขามากกว่าค่าเฉลี่ยขาดทุน ดังนั้นลองกลับไปดูบันทึกของคุณแล้ววิเคราะห์ว่าค่าเฉลี่ยกำไร/ขาดทุน ของคุณเป็นอย่างไร ค่าเฉลี่ยไหนมากกว่ากัน?
สิ่งที่คุณควรทำคือแค่ให้เทรดชนะประมาณ 50% เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอที่จะทำกำไรได้ในระยะยาวได้แล้ว
อีกเรื่องที่ Paul พูดเกี่ยวกับขนาดของความเสี่ยง เขาบอกว่า
"หากคุณมีซักไม้ที่ขาดทุน แล้วมันทำให้คุณไม่สบายใจ วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก...ขายซะ!"
แต่ถ้าจะให้ดีเลยนะ ถ้าในขณะนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุน คุณก็แค่ไม่ต้องเทรดซะก็หมดเรื่อง (ระบบแดงก็ไม่ต้องซื้อ) เพราะมันหมายความว่าคุณไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ หรือความเสี่ยงนั้นมันเกินไปสำหรับคุณ ดังนั้น ให้จำไว้เสมอว่าหากคุณรู้สึกแบบนี้ สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ลดความเสี่ยงลงสักครึ่งหนึ่ง หากคุณยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ ให้ลดลงไปเรื่อย ๆ จนคุณสามารถยอมรับความเสี่ยงนั้นได้
#คนที่7 Martin Zweig
“มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่จะทำผิด แต่ถ้ายังทำผิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ อันนี้ไม่น่าให้อภัย"
นี่เป็นคำพูดที่แสนจะสั้นแแต่กินใจของ Martin
หลายครั้งที่เหล่าเทรดเดอร์มักมีอัตตา (อีโก้) บางทีเราถูกครอบงำโดยความมั่นใจที่มากเกิน พอหุ้นที่เราถือมันขาดทุน เราก็แทบจะไม่อยากยอมรับมัน
ผมจำได้เมื่อหลายปีก่อน ผมกำลังคุยกับเพื่อนที่กำลังจะเทรดด้วยเงินของครอบครัวของเขา ครอบครัวของเขามอบเงินจำนวนมหาศาลให้กับเขาเพื่อทำการเทรดในตลาดหุ้น และเขามั่นใจเสมอว่าเขาจะชนะในทุกการเทรด เขาชนะการซื้อขาย 20 ครั้งติดต่อกัน และเล่าให้ผมฟังว่าจะเป็นเทพในตลาดหุ้นได้อย่างไร
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเลยถามเขาเกี่ยวกับกลยุทธ์นั้น หลังจากคุยกับเขา ผมก็รู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่เรียกว่า "กลยุทธ์" ของเขา จริง ๆ แล้วมันคือ "ระเบิดเวลา" เขารู้ว่าจะเข้าตอนไหน แต่ไม่รู้วิธีออกตอนไหน พอมีกำไรนิดหน่อย เขาจะขายมันออกทุกครั้ง แต่ถ้าราคาสวนทางกับไม้ที่เขาเข้า (ติดดอย) เขาจะรักษาไม้นั้นไว้จนกว่ามันจะกลับมาที่เดิม ผมจึงถามเขาว่า
“ถ้าวันหนึ่ง ราคาหุ้นมันไม่กลับขึ้นมา จะทำยังไง”
เขาบอกว่าไม่มีแผนรองรับในสถาณการณ์นั้น เพราะเขามั่นใจมากว่าตลาดมันไม่ลงตลอดไปหรอก เดี๋ยวก็ขึ้น
สองสามเดือนต่อมา ผมก็ได้เจอกับเขาอีกครั้งเพื่อดูว่าเขาเป็นไงบ้าง เขาบอกกับผมว่าเขาไม่ได้เทรดแล้ว เพราะพอทร์ทแตก เขาทนดอยในหุ้นไม่กี่ตัวแล้วราคาก็ไม่เคยกลับมาที่เดิมอีกเลย ซึ่งการเทรดเพียงไม่กี่ครั้งเหล่านั้นได้ล้างบัญชีของเขาไปเป็นที่เรียบร้อย
ก็อย่างที่ Martin บอก...มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่จะทำผิด และนั่นก็หมายความว่ามันไม่แปลกที่จะขาดทุนบ้าง แต่มันไม่น่าให้อภัยจริง ๆ ถ้ายังทำผิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ คือยังทนถือหุ้นที่ขาดทุนนั้นอยู่แล้วหวังว่ามันจะกลับมาที่เดิม
คุณจะต้องตัดขาดทุนและจัดการความเสี่ยงให้ดีในทุก ๆ การเทรด
#คนที่8 Stanley Druckenmiller
“ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะไปถูกหรือผิดทาง มันสำคัญที่ว่าคุณหาเงินได้เท่าไหร่เมื่อคุณไปถูกทาง และคุณสูญเสียเงินเท่าไหร่เมื่อคุณไปผิดทาง”
สิ่งที่ Stanley จะบอกก็คือ อัตราของการแพ้ชนะ ของคุณไม่สำคัญเท่ากับผลลัพธ์ของกำไรกับผลลัพธ์ของการขาดทุนของคุณ
การเทรดตามแนวโน้มนั้นขึ้นชื่อเรื่องอัตราการชนะที่ต่ำ เพราะปกติแล้วมันมักจะมีอัตราชนะเพียงแค่ 30% นั่นก็หมายความว่าถ้าทำการเทรด 10 ครั้ง คุณจะมีแค่ 3 ครั้งเท่านั้นที่จะได้กำไร (อีก 7 ครั้งคือขาดทุน) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าระบบเทรดตามแนวโน้มจะไม่ทำกำไร ในทางตรงกันข้าม มันสามารถทำกำไรได้อย่างมาก ซึ่งเป็นเพราะว่า พอเทรนมันมาจริง จะสามารถทำกำไรได้มากพอที่จะกลบเงินที่ขาดทุนไปได้ นั่นแหล่ะที่ Stanley อยากจะบอก
ในหนังสือ Trade Your Way to Financial Freedom เขียนโดย Dr. Van K. Tharp เขาพูดเกี่ยวกับความคาดหวังของระบบการเทรด วิธีคำนวณความคาดหวังของระบบการเทรดคือการใช้สูตรนี้:
(%จำนวนครั้งที่ได้กำไร x กำไรเฉลี่ย) – (%จำนวนครั้งที่ขาดทุน x ขาดทุนเฉลี่ย)
หากคุณสังเกตดี ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบเดียวกับที่ Stanley พูด เมื่อใช้สูตรนี้ คุณจะสามารถทราบได้ว่าระบบการเทรดของคุณคาดว่าจะทำกำไรหรือขาดทุนโดยเฉลี่ยสำหรับการเทรดแต่ละครั้งได้มากน้อยเพียงใด
สิ่งหนึ่งที่มือใหม่จำนวนมากมุ่งเน้นคือ "เปอร์เซ็นต์การชนะที่สูง"
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำกำไรได้
สมมติว่าระบบการซื้อขายของคุณมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- อัตราส่วนการชนะ-แพ้: 70-30
- กำไรเฉลี่ย: $100
- ขาดทุนเฉลี่ย: $300
แทนค่าในสูตร จะได้ว่า
(70% x $100) – (30% x $300) = -$200
ดังนั้นก็จะเห็นว่าโดยเฉลี่ยแล้วคุณจะขาดทุน $200 ต่อการเทรดนั่นเอง
แม้จะมีอัตราการชนะสูง แต่ระบบการเทรดนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใด อัตราการชนะที่สูงไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำกำไรได้เสมอไป และอัตราการชนะที่ต่ำไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่สามารถทำกำไรเสมอไป
ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามาก็จะตรงกับที่ Stanley พูด:
"มันสำคัญที่ว่าคุณหาเงินได้เท่าไหร่เมื่อคุณไปถูกทาง และคุณสูญเสียเงินเท่าไหร่เมื่อคุณไปผิดทาง”
#คนที่9 Richard Dennis
“ผมบอกเสมอว่าต่อให้คุณประกาศวิธีการเทรดที่ทำกำไรลงในหนังสือพิมพ์ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทำตามมันได้อยู่ดี เพราะหัวใจสำคัญของมันคือความสม่ำเสมอและการมีวินัย”
สิ่งที่ Richard อยากจะบอกนั่นก็คือ แม้ว่าคุณจะอยากเอาระบบการเทรดที่ทำกำไรได้นั้นถวายใส่พานให้ผู้คนก็ตาม พวกเขาก็อาจจะทำกำไรจากมันไม่ได้อยู่ดี อันที่จริงสิ่งนี้เกิดขึ้นกับนักเทรดในตำนานหลายคน (ย้อนกลับไปดูคนที่ 5 ย่อหน้าที่ 3)
แม้ว่าพวกเขาจะทำให้ผู้คนบางส่วนประสบความสำเร็จ แต่ก็มีอีกมากมายที่ล้มเหลว และเหตุผลก็คือนักเทรดเหล่านั้นไม่ได้มีวินัยหรือความสม่ำเสมอพอที่จะทำตามระบบได้ตลอดเวลา
ปัญหาของมือใหม่จำนวนมากคือพวกเขาไม่สามารถทำกำไรได้ทั้ง ๆ ที่ก็มีระบบที่ใช้งานได้อยู่ในมือแล้วก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น
- ถ้าระบบมันใช้ง่าย พวกเขาก็จะสงสัยและบอกว่ามันดูง่ายเกินไป แล้วพวกเขาเริ่มเพิ่ม โน่น-นี่-นั่น เข้ามามากขึ้นโดยคิดว่ามันจะทำให้ระบบที่มีอยู่ “ดีขึ้น” นั่นเหมือนกับการเพิ่มวัตถุดิบที่ไม่จำเป็นลงในอาหารที่มีรสชาติสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
ก็อย่างที่ Richard กล่าวไว้ข้างต้น
"หากคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จ แค่มีระบบการเทรดที่ทำกำไรนั้น มันไม่เพียงพอ...คุณต้องมีวินัยและความสม่ำเสมอในการปฏิบัติตามระบบนั้นทุกครั้ง เมื่อคุณสามารถทำเช่นนั้นได้ ก็จงทำมันต่อไปในระยะยาว"
#คนที่10 Richard Wycoff
“จงฟังในสิ่งที่ตลาดกำลังบอกกับผู้คน ไม่ใช่ไปฟังสิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึงตลาด”
Richard Wycoff เป็นผู้มีอำนาจในตลาดหุ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1900 และได้คิดค้นวิธี "Wycoff" ซึ่งระบุว่ามี 4 ขั้นตอนในทุกตลาดไว้ว่า
1. เก็บของ (Accumulation)
2. ทำราคา, ลาก (Mark Up)
3. แจกของ (Distribution)
4. กดราคา, ทุบ (Mark Down)
วิธีการของเขายังคงใช้กันอย่างแพร่หลายโดยนักเทรดจำนวนมากในปัจจุบัน เพราะเขาเชื่อว่าทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับตลาดกำลังแสดงอยู่บนกราฟนั่นแหล่ะ และนี่เองก็จะสอดคล้องกับคำกล่าวข้างต้นของเขา
คุณจะเห็นได้ว่าหนึ่งในข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดที่ที่มือใหม่ทำคือพวกเขาจะต้องฟังคนอื่นก่อนเสมอ (เทรดด้วยหู) หากพวกเขาได้ยินจากนักเทรดรายอื่นว่ามีสัญญาณซื้อ พวกเขาจะเข้าซื้อโดยไม่สน 4 สน 8 และไม่วิเคราะห์อะไรทั้งนั้น นี่แหล่ะคือสิ่งที่แย่ที่สุดที่เม่าทำกัน
หากคุณไม่รู้ว่าทำไมคุณควรเทรด ณ ขณะนั้น ก็แสดงว่าไม่ใช่เรื่องของคุณที่จะต้องเทรดตามเขาเพียงเพราะคนอื่นมีสัญญาณซื้อ
นักเทรดมืออาชีพทุกคน ทำการตัดสินใจของตนเองในตลาด ถ้างั้น หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวเองเช่นกัน และมีเพียงแค่ 3 การตัดสินใจนี้ที่คุณต้องทำ:
1. จะซื้อเมื่อไหร่
2. จำนวนเงินและขนาดความเสี่ยงของคุณ
3. จะขายเมื่อไหร่
ส่วนที่เหลือก็อย่างที่ Richard บอก คือความสม่ำเสมอและมีระเบียบวินัยในการทำตามแผนการเทรดของคุณ
#บทสรุป
ถ้าสังเกตดี ๆ คุณจะเห็นว่า ไม่ใครเลยสักคนพูดใพูดถึงวิธีเข้าหรือวิธีออก ซึ่งภาพรวมจากคำกล่าวทั้ง 10 คือการบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาการซื้อ-ขาย
หลาย ๆ คนจะมองแค่ว่าต้องเข้าตอนไหน ออกตอนไหน และพวกเขาละเลยการบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาการซื้อ-ขายโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นสาเหตุที่เทรดเดอร์มากกว่า 95% ไม่ได้กำไรจากตลาดอย่างที่ Richard กล่าวว่า "ต่อให้เอาระบบถวายใส่พานให้ผู้คนเหล่านั้น เขาก็อาจจะไม่สามารถทำกำไรได้อยู่ดี"
ดังนั้น แทนที่จะหาแต่จุดเข้ากับออก คุณควรใช้เวลาของคุณในการเรียนรู้การจัดการความเสี่ยงและจิตวิทยาการเทรดด้วย เพราะมันจะเหมือนกับว่าคุณมีดาบ lightsaber แต่ถ้าไม่รู้วิธีใช้งานมันอย่างเหมาะสม คุณก็เป็นได้เพียงแค่คนถือดาบ แต่ถ้าคุณอยากที่จะสามารถใช้งานมันได้ดีและเหมาะสม คุณก็ต้องให้เวลาตัวเองในการฝึกฝนก่อน ท้ายที่สุดแล้วคุณจะกลายเป็น "อัศวินเจได" ได้ในที่สุด
(อันนี้ดัดแปลงจากต้นฉบับ เพราะอยากให้จบเท่ ๆ 555)
#ทิ้งท้าย
บอกผมหน่อยว่าคุณชอบคำกล่าวใดมากที่สุด คอมเม้นท์ทิ้งไว้ได้เลย
.
.
แปลบทความจาก: FOREX WITH DAVIS
หัวข้อ: 10 Top Traders’ Quotes That Will Change How You Trade Forever
ติดตาม Fanpage Facebook: https://www.facebook.com/JontFanpage
โฆษณา