ปามาปากลับไม่โกง
โดย มิสมาต้า
ใครบางคนเคยสร้างวาทะกรรมเอาไว้ว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ"
แต่ในขณะเดียวกันที่หลายต่อหลายครั้ง สถานการณ์ก็ช่วยสร้างโมฆะบุรุษขึ้นมาด้วยเช่นกัน
แล้วในบางครั้ง การเป็นวีรบุรุษกับโมฆะบุรุษมีเพียงกระดาษสากั้นความแตกต่างกันเอาไว้
เหตุการณ์ความวุ่นวายในเกมที่สามของลีกเอิง ระหว่างทีมนีซกับมาร์กเซยที่ไม่สามารถแข่งขันกันจนหมดเวลาได้
ในขณะที่เจ้าบ้านกำลังนำอยู่ 1-0 แล้วเข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม หนึ่งในแฟนบอลกลุ่มอุลตราของนีซเกิดปาขวดน้ำแม่นขึ้นมากะทันหัน
จนขวดเจ้ากรรมที่ยังมีน้ำบรรจุอยู่เกือบเต็มลอยละล่องไปด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนกระทบแผ่นหลังของ ดิมิทรี ปาเยต ดาวเตะเลือดเดือดวัย 34 ปี แบบเต็มๆ
ทันทีที่รู้สึกตัวว่าเจ็บ ปาเยตได้ล้มลงไปนอนคว่ำ แต่แล้วไม่ถึง 2 วินาทีต่อมา พอเจ้าตัวรู้สึกตัวว่าโกรธ ปาเยตจึงลุกขึ้นมาหยิบขวดน้ำของแฟนนีซที่ปามาแล้วปากลับไป โดยที่ ดานเต นักเตะเจ้าบ้านพยายามรั้งเอาไว้แบบยั้งๆ แต่ก็สายเกินการไปแล้ว
แน่นอนว่าขวดน้ำไม่สามารถจดจำเจ้าของเดิมได้ มันจึงลอยกลับไปแบบไม่เลือกเป้า แม้ว่าสปีดของมันอาจจะดูไม่รุนแรงเหมือนขามา แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความบานปลายที่กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อขึ้นชื่อว่าแฟนบอลอุลตรา คนพวกนี้จึงไม่ได้มาแค่ชมเกมแล้วนั่งทานฟลามิชกับจิบโรสไวน์เท่านั้น แต่พวกเขามาแบบพร้อมเชียร์ทีมรัก และพร้อมเอาเรื่องทีมคู่แข่งแบบแสดงออกเกินค่าตั๋ว
ขวดน้ำใบนั้นจึงเป็นเสมือนการเคาะประตูเรียกเจ้าบ้านให้กรูกันลงมาในสนามในทันท่วงที
แม้จะต้องชมว่าการ์ดในสนามมีความพร้อมในระดับสูงจนมาระงับเหตุได้เกือบครบถ้วนกระบวนความ แต่ด้วยความวุ่นวายระดับสุดขีด จึงทำให้มีเหตุการณ์เล็ดลอดไปบ้างให้ได้พอเจ็บตัว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่แฟนบอลนีซถีบจนเกือบถูกผู้เล่นมาร์กเซย , ผู้เล่นของทีมเยือนคนนึงที่ไปต่อยแฟนบอลจนล้มคว่ำ หรือ ปล่อยให้ ฮอร์เก้ ซามเปาลี เกือบได้ฟาดปากกับนักเตะเจ้าถิ่น
รวมทั้งมีนักเตะทั้งสองทีม , แฟนบอลขาลุย และ สต๊าฟฟ์บางคนบาดเจ็บคนละเล็กละน้อยตามเหตุการณ์
::
ในชุดความคิดแบบปามาปากลับไม่โกง หรือ ตาต่อตาฟันต่อฟัน พฤติกรรมของปาเยตย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่มีมนุษย์คนใดรู้สึกชื่นใจเมื่อถูกด่าทอ , ท้าทาย , ทำร้าย , เหยียดผิว หรือ ถูกล่วงเกินครอบครัว
แต่ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพที่มีกฎกติกาควบคุมพฤติกรรมเอาไว้ คุณจึงไม่สามารถแสดงออกด้วยพฤติกรรมอันรุนแรงได้ คุณจึงทำได้แค่เพียงเก็บอารมณ์ แล้วแจ้งให้ผู้ควบคุมเกมจัดการคนที่มาล่วงละเมิดคุณ
เราเคยเห็นนักเตะโดนใบแดง รวมทั้งยังถูกลงโทษแบน เพียงเพราะว่าเขาปกป้องตัวเอง หรือปกป้องเพื่อนร่วมทีมด้วยการทำร้ายร่างกายคู่กรณีเป็นการตอบโต้ ที่แม้มันจะดูว่าขัดใจเราเหลือเกิน แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ
หรือต่อให้แฟนบอลแทบทั้งโลกจะสะใจจนมองว่าโทษแบน 9 เดือนที่ เอริก คันโตนา ได้รับเมื่อปี 1994 นั้นไม่ยุติธรรม
แต่เมื่อผู้คุมกฎมองว่าความรุนแรงจากข้อหาทำร้าย แมทธิว ซิมมอนส์ แฟนบอลปากเสียของทีม คริสตัล พาเลซ ด้วยท่วงท่าที่เรียกว่า "กังฟูคิก" นั้นถือว่าไม่ใช่หนึ่งในหน้าที่หลักของนักฟุตบอล เราจึงมองการลงโทษนั้นด้วยความไม่พึงใจ
ผู้เขียนเองที่แม้จะรู้สึกไม่ค่อยโอเคกับกฎที่ว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่ากฎเหล่านี้มีเอาไว้สำหรับควบคุมความเรียบร้อยของสังคมส่วนรวม
ถ้าเพียงปาเยตจะล้มลงไปนอนพร้อมกับเพิ่มระดับความสำออยให้มากขึ้น เชื่อได้ว่ากรรมการในสนาม , การ์ดสนาม , ผู้ควบคุมการแข่งขัน รวมทั้งนักเตะของนีซเองจะสามารถบริหารจัดการเหตุการณ์นั้นได้ และจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่บานปลายขึ้น
แฟนบอลของนีซเองนั่นแหละที่อาจจะถูกสั่งห้ามเข้าสนามในเกมต่อไป , เจ้าบ้านจะถูกปรับเงิน และหรือ ตามดุลยพินิจของลีกเอิง
ซึ่งก็อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า เมื่อปาเยตเลือกที่จะลุกขึ้นมาแล้วปาขวดกลับ ซึ่งคงไม่บังเอิญจนถึงขนาดที่ว่าเขาจะปากลับไปถูกโจทก์ที่ปามาก่อน เขาจึงมีข้อหาติดตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย
เรื่องหลังจากนั้นจึงบานปลายขึ้นเพราะการขาดสติของปาเยตล้วนๆ
เพราะขนาด อังเคล ดิ มาเรีย หยิบขวดที่แฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปาลงมาแล้วทำท่าจิบ เรื่องก็เกือบจะเลยเถิดถ้าไม่มีคนมาปราม และโชคดีที่แฟนบอลของอดีตทีมของเขาสามารถควบคุมสติได้
แต่ที่ลีกเอิงในวันนั้นไม่เหมือนกัน การ์ดในสนามคือฝ่ายแรกที่เดือดร้อนแม้จะเป็นหนึ่งในงานของพวกเขาก็ตาม ไหนจะเพื่อนๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ
รวมทั้งพากันเสี่ยงต่อการถูกลงโทษแบน โดยเฉพาะตัวของเขาเอง และ ฮอร์เก้ ซามเปาลี เทรนเนอร์ของมาร์กเซย ที่แทนจะลงไปห้ามปรามลูกทีมให้เบาได้ต้องเบา
กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ที่ชื่นชอบการฟิตกล้าม และมีนิสัยใจร้อน กลับเลือกที่จะเข้าไปเติมเชื้อฟืนให้อุณหภูมิมันเพิ่มขึ้น
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงไม้ลงมือกับคู่อริอย่างชัดเจน แต่ด้วยพฤติกรรมเยี่ยงนี้ที่ดูห่างไกลวิสัยของผู้นำที่เจริญแล้ว เขาย่อมต้องถูกคาดโทษแน่ๆ
::
ทั้งหมดนี้ผู้เขียนไม่ได้สนับสนุนให้แฟนบอลคุกคามนักฟุตบอลอาชีพแต่อย่างใด รวมทั้งยังรังเกียจทุกพฤติกรรมเลวๆ ของคนพวกนี้อย่างถึงที่สุด
แต่ผู้เขียนเองก็ไม่เคยนิยมชมชอบผู้เล่นที่ด้อยสปิริต ไม่ว่านักเตะคนนั้นจะอยู่ฝั่งเดียวกันหรือฝังตรงข้ามก็ตาม
ไม่ว่าจะการที่นักเตะฝ่ายนำพยายามเลี้ยงบอลเข้ามุมธงเพื่อยั่วยุคู่แข่ง , การโชว์ความแพรวพราวเพื่อจูงใจให้คู่แข่งขาดสติ หรือ การแสดงความดีใจหลังได้ประตูด้วยท่าทีอันมีเจตนาเยาะเย้ยคู่แข่ง และแฟนบอลของคู่แข่ง
อันจะทำให้คู่แข่งเกิดอารมณ์จนทำให้เกมการแข่งขันมีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่เหตุการณ์ความวุ่นวายที่ตามมาในภายหลัง
ผู้เขียนเคยไม่ชอบท่าทางการดีใจแบบหยิ่งยะโสของ เธียร์รี อองรี ไม่ชอบการเป็นผู้ริเริ่มการเลี้ยงบอลเข้ามุมธงเพื่อถ่วงเวลาของผู้เล่นอาร์เซน่อล
ไม่ชอบการวิ่งสุดสนามของ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ เพื่อเยาะเย้ยกองเชียร์ทีมเก่า และยังเคยต่อว่า โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่ดีใจตอนยิงทีมเก่าได้เพื่อตอบโต้เสียงโห่
เพราะนอกจากจะไม่ใช่หน้าที่ของนักกีฬาอาชีพที่ดีแล้ว พวกเขายังมีส่วนก่อให้เกิดความรุนแรงในเกมในอนาคตอีกด้วย
เพราะต่อให้คุณเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนที่มีความอ่อนไหว แต่เมื่อคุณเป็นนักกีฬาอาชีพที่เล่นฟุตบอลแลกเงิน ซึ่งเงินที่ว่าล้วนมีรากฐานมาจากความนิยมของแฟนบอลทั้งสิ้น
หน้าที่หลักของคุณคือทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุด ไม่ใช่การไปยั่วยุคู่แข่งจนให้ได้รับโทษเพื่อสร้างความได้เปรียบให้ทีมของคุณ หรือที่ภาษากีฬาเรียกว่าเก๋าเกม กับ เสียเหลี่ยมนั่นเอง
ในส่วนของแฟนฟุตบอลนั้น หน้าที่คือสนับสนุนนักเตะของตน และกดดันคู่แข่งให้ครั่นคร้ามจนแข้งขาสั่น
แต่ไม่ใช่การนำความรักต่อทีมไปทำตามอำเภอใจจนสโมสรเดือดร้อน ซึ่งสิ่งนี้ย่อมไม่ใช่ความรักที่แท้จริง แต่มันคือการนำเอาความรักมาอ้างเพื่อสนองตัณหาของตัวเองล้วนๆ
สำหรับผู้จัดการทีม คุณเป็นทั้งผู้นำ และเป็นแบบอย่างให้ลูกทีม คุณสามารถทำสงครามจิตวิทยาได้ แต่คุณไม่สามารถยั่วยุคู่แข่งด้วยการถ่วงเวลา หรือวิ่งลงไปในสนามเพื่อลงไม้ลงมือได้
เพราะเมื่อคุณทำตัวเป็นเด็กๆ แบบนั้น แล้วต่อให้ลูกทีมของคุณจะมองว่าคุณเป็นผู้นำจนได้ใจพวกเขาไปทั้งดวง
แต่ถ้าคุณถูกลงโทษแบนขึ้นมา ลูกทีมของคุณเองนั่นแหล่ะที่จะเสียประโยชน์มากที่สุดรองลงมาจากสโมสรอันเป็นนายจ้างของคุณ
แล้วถ้าโอเอ็มจบฤดูกาลนี้ด้วยการพลาดโควต้าสำคัญอย่างเฉียดฉิว การถูกปรับแพ้ที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นในเกมนี้ก็จะเป็นคะแนนที่คุณจะคิดถึงมันมากที่สุด
::
อดีตทีมแชมป์ถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปเมื่อฤดูกาล 1992/1993 อันเป็นทีมแรกของฝรั่งเศสยังคงตามหาเส้นทางของความยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลา
พวกเขาเคยเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 1993 และแชมป์ลีกเอิงในปีเดียวกัน พวกเขากลับถูกริบแชมป์ลีก แล้วถูกปรับให้ตกชั้นในอีกหนึ่งฤดูกาลถัดมาด้วยข้อหาเกี่ยวกับเรื่องใช้เงินผิดประเภท
แบร์กนาร์ ตาปี เจ้าของทีมในตอนนั้นจึงเป็นทั้งผู้สร้าง และเป็นผู้ทำลายในเวลาเดียวกัน
เมื่อเขาถูกตั้งข้อหาว่ากระทำการคอร์รัปชันเงินภาษีประชาชน ด้วยการนำเงินที่ควรถูกนำมาใช้บริหารประเทศ แต่กลับโยกย้ายมาสร้างความสำเร็จให้กับสโมสรฟุตบอลส่วนตัว
แม้ว่านั่นจะเป็นกลยุทธ์ที่วงการธุรกิจเรียกว่า "หมุนเงิน" แต่การที่ตาปีเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล ทริกนี้จึงถูกเรียกว่าการคอรัปชั่นนั่นเอง
แต่สิ่งที่ทำให้มาร์กเซยถึงกาลอวสาน หมดสภาพแชมป์ลีก 5 สมัยติดต่อกันเป็นทีมแรก ที่แม้จะถูกริบแชมป์ไปหนึ่ง แต่พวกเขายังถูกจดจำว่าเป็นแบบนั้น
นั่นก็คือการจ้างคู่แข่งอย่าง วาล็องเซียนส์ ให้ล้มบอล เพื่อให้พวกเขาเป็นแชมป์ลีกแบบนักเตะไม่เหนื่อยจนเกินไป เพื่อที่จะเก็บร่างกายไปเล่นเกมนัดชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปกับ เอซี มิลาน ในอีก 6 วันต่อมา ซึ่งพวกเขาสมหวังทั้งสองประการ
วาล็องเซียนส์ที่มีผู้เล่นบางคนล้มบอลกลายเป็นทีมตกชั้น และมีการสืบสวนเป็นการภายในจนสุดท้ายเรื่องจึงแดงขึ้นมาในที่สุด
การสืบเส้นทางทางการเงินจึงเกิดขึ้น ทำให้ได้ทราบว่าตาปีที่ใช้เงินมือเติบราวกับเจ้าบุญทุ่มรุ่นแรกนั้น เขาใช้ทั้งเงินกู้ และนำเอาเงินงบประมาณแผ่นดินมาทำทีม
ยุคนั้นสตาร์ดังของยุโรปบางคนที่ควรจะย้ายไปกัลโช่ กลับย้ายมาเป็นนักเตะของโอเอ็มจนประสบความสําเร็จอย่างสูงที่สุดเพราะพลังเงินของตาปี
ตาปีในสายตาแฟนบอลคือเทพเจ้า แต่เขาหลีกหนีความเป็นไอ้ขี้โกงในสายตาทีมอื่นไม่ได้
แทบจะไม่มีสาวกโอเอ็มคนใดไม่ชื่นใจในสิ่งที่ตาปีทำ แม้จะรู้ดีว่ามันผิด แต่เมื่อมองไปว่าตาปีทำเพื่อสโมสรของพวกเขาล้วนๆ
ความรักอันยิ่งใหญ่แต่ร้ายกาจนั้นจึงบดบังตาพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง นั่นก็เพราะว่าในหลายต่อหลายครั้งที่ความรักมักไม่เคยจำกัดวิธีการ
เราจึงเคยเห็นกันว่าหลายครั้งที่ความรักในรูปแบบผิดๆ จึงกลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงดวงใจในเวลาต่อมา
ขึ้นต้นด้วยรัก จบลงด้วยล้ม หวังว่าคนในวงการฟุตบอลจะมีดวงตาอันเห็นธรรมได้ก่อนจะสายเกินไป
#PlayNowThailand #khelnow #football #ปาเยต #ปาขวด #มาร์กเซย
- 3
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
