25 ส.ค. 2021 เวลา 06:37 • ปรัชญา
#A Life Well-Live
ผมเคยได้ยินคำถามหนึ่งที่ติดยู่ในใจและยังหาคำตอบอยู่เสมอ คือคำถามที่ว่า "ชีวิตที่ดี" นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งผมครุ่นคิดถึงคำตอบของคำถามนี้บ่อยๆ เพราะผมต้องการจะมี "ชีวิตที่ดี" และมองว่า ซึ่งถ้าผมสามารถเห็นภาพของ "ชีวิตที่ดี" นี้ได้อย่างชัดเจน ก็จะสามารถสร้างสิ่งต่างๆ "ชีวิตที่ดี" นี้ขึ้นมาได้
ก่อนหน้านี้ผมได้ใช้ชีวิตตาม "เส้นทางสู่ความสำเร็จแบบสำเร็จรูป" คือเรียนให้เก่ง เข้าคณะดีๆ หางานดีๆทำ ได้เงินเดือนแพงๆ ทำอาชีพที่ีมีเกียรติ เป็นที่ยอมรับในสังคม สะสมความมั่งคั่งและความมั่นคง แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่ใคร่จะเป็น "ชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริง" สักเท่าไหร่
หลายครั้งที่ผมมีอารมณ์เศร้า หดหู่ ไม่อยากลุกจากเตียง และเริ่มไม่มั่นใจว่าการมีชีวิตอยู่นั้นคือ "การตะเกียกตะกายดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตรอดอย่างไม่สิ้นสุด"หรือเปล่า
ผมไม่ปฏิเสธว่าเราต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ หรือมีทรัพย์สมบัติพอประมาณไว้เลี้ยงปากท้องและดุแลคนใกล้ชิด แต่ถ้าความสุขขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว ทำไมเมื่อไขว่คว้าสิ่งต่างๆเหล่านี้มาได้แล้ว ก็ยังไม่ได้พบกับชีวิตที่เป็นสุขและเติมเต็ม(เสียที)?
จนกระทั่งเมื่อต้นปี 2019 ก่อนที่ COVID จะระบาดจนเดินทางไม่ได้แบบนี้ ผมได้ไปเรียน Positive Psychology หรือวิชาจิตวิทยาเชิงบวกที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้มีการพูดถึงคำว่า Psychological well-being ซึ่งขอแปลเป็นไทยว่า "สุขภาวะทางใจ" ว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง ซึ่งจริงๆแล้วมีหลาย model ที่มีการศึกษาวิจัยรับรอง แต่ครั้งนี้ก็จะขอกล่าวถึงทฤษฎี "องค์ประกอบ 6 ประการของชีวิตที่มีสุขภาวะทางใจ (The Six-factor Model of Psychological Well-being) ของ Carol Ryff ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาอยู่ที่ University of Wisconsin-Madison สหรัฐอเมริกา ซึ่งผมพบว่าเป็น model ที่ดีอันหนึ่งในการวัด "สุขภาวะ" ของชีวิต
ตามทฤษฎีนี้ การวัดสุขภาวะทางใจ (Psychological well-being) ทำได้โดยการพิจารณณปัจจัยในชีวิต 6 ประการ คือ คือ Autonomy, Environmental Mastery, Personal growth, Positive relationships with others, Purpose in life,และ Self-acceptance
(ต่อไปนี้คือที่แปลมาจาก Wikipedia นะครับ)
Autonomy หมายถึง การที่เราสามารถอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง (independent) สามารถจัดการ (regulate) พฤติกรรมของเราได้โดยไม่ขึ้นกับความกดดันที่ได้รับจากสังคมสภาพแวดล้อม มันคือการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า "I have confidence in my opinions, even if they are contrary to the general consensus."
Environmental Mastery หมายถึง ความสามารถที่จะใช้โอกาสที่ผ่านเข้ามา และมีความรู้สึกว่าสามามรถบริหารจัดการบริบทและกิจกรรมต่างๆในชีวิต เพื่อให้เกิดประโยชน์และตอบสามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลได้ มันคือการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า "In general, I feel I am in charge of the situation in which I live."
Personal Growth หมายถึง การเติบโตของชีวิต ด้วยการต้อนรับประสบการณ์ใหม่ และตระหนักได้ถึงการพัฒนาพฤติกรรมและตัวตน (Self) ในช่วงเวลาของการมีชีวิตอยู่ มันคือการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า "I think it is important to have new experiences that challenge how I think about myself and the world."
Positive Relations with Others หมายถึง การมีส่วนร่วม(engagement) ในความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้อื่น โดยมี reciprocal empathy, intimacy, and affection. มันคือการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า "People would describe me as a giving person, willing to share my time with others."
Purpose in Life หมายถึง การมีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย และมีความเชื่อมั่นว่า ชีวิตนั้นมีความหมาย มันคือการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า "Some people wander aimlessly through life, but I am not one of them."
Self-Acceptance หมายถึง การมีทัศนคติในเชิงบวกต่อตนเอง มันคือการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า "I like most aspects of my personality."
คนที่ตระหนักว่า ในชีวิตของตนได้สร้างองค์ประกอบทั้ง 6 ประการเอาไว้ก็แน่นอนว่าจะมี "สุขภาวะทางใจ" ที่แข็งแรง ชีวิตไม่เคว้งคว้างว่างเปล่าและมีทิศทางไปสู่ความเจิญงอกงามเหมือนต้นไม้ทีได้รับการดูแลเป็นอย่างดี (Flourishing Life)
การได้เรียนทฤษฎีนี้ก็ทำให้รู้ว่า ในชีวิตของคนเรามีสิ่งอื่นๆที่นอกเหนือจาก Financial asset ที่ทำให้ชีวิตของเราเติมเต็ม และการใช้ชีวิตอย่างสุดโต่งที่ผ่านมาก็ทำให้ได้ตระหนักว่า การทำงานเพื่อให้ได้เงินเดือนแพงๆ โดยยอมแลกกับความสุขกายสุขใจ หรือการออกกำลังกายเพื่อมุ่งเน้นให้หุ่นดีมากๆจนชีวิตเสียสมดุล จนในที่สุดเกิดผลลัพธ์คือความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ได้ส่งสัญญาณเตือนว่าเรากำลังไปผิดทาง และได้สะท้อนความต้องการลึกๆว่า จริงๆแล้ว เราต้องการจะมี “ชีวิตที่เป็นสุข” เท่านั้นเอง
ซึ่ง "ชีวิตที่เป็นสุข" ที่ว่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแสวงหาสิ่งต่างๆภายนอกจนเกินพอดี ไม่ได้ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อให้มี “ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ” แต่เป็นการจัดการภายใน คือการมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตและการใช้ชีวิต อันจะนำชีวิตไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง จนเกิดผลลัพธ์เป็นชีวิตที่ปรารถนา คือ “ชีวิตที่ใช้มาเป็นอย่างดี” (“A life well-live”) ซึ่งก็คือชีวิตที่เมื่อเรามองย้อนกลับไปแล้วพบว่า เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีมีความสุข มีความหมาย และมีคุณค่า เป็นชีวิตที่กว้างขวางและลุ่มลึกมากกว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ชื่อเสียงแต่เพียงอย่างเดียว เป็นชีวิตที่ให้ความรู้สึกเติมเต็มมากกว่า เรียกว่า "ไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมา"
ก็เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆได้ลองประเมินดูนะครับ ว่าในแต่ละด้าน ได้ใช้ชีวิตมาเพื่อเติมเต็มในแต่ละส่วนได้มากน้อยเพียงใด และมีส่วนใดบ้างที่ต้องการจะเสริมเพิ่มเติม และจะทำชีวิตให้ดีเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
Flourish
แล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ 🙂
โฆษณา