28 ส.ค. 2021 เวลา 08:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ
"จิตวิทยาการลงทุน"
ในช่วง 34:34 ของคลิป คุณเฟิร์นได้ถามถึงความหมายและความสำคัญของ “จิตวิทยาการลงทุน” กับ อ. นิพนธ์
ท่านก็ได้เล่าว่า อ. ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งในเรื่องของ “จริต 6” อยู่ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้พูดถึงจริตของคนเอาไว้ที่ทำให้คนมีความแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละประเภทนั้นไม่ใช่ว่าไม่ดีไปเสียทีเดียว แต่หลัก ๆ ของจริตนั้นมักจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนะ (เอ้า 5555) จะเป็นจุดอ่อนซะส่วนใหญ่ จริตในภาษาโบราณเรียกว่าสันดานดิบ เป็นเรื่องที่เปลี่ยนไม่ได้ ปิดยังไงก็ปิดไม่มิด สุดท้ายแล้วเราจะหลุดตลอด (เผยธาตุแท้)
จริตทั้ง 6 ประกอบไปด้วย
1. #โทสจริต
- จุดอ่อน คือ ขี้โกรธไว ใจร้อน
- จุดแข็ง คือ วิเคราะห์แม่น เป็นนักวิเคราะห์ที่เก่ง
- วิธีแก้ ต้องแก้ด้วยการทำให้ตัวเองใจเย็นลง อย่ารีบทำ
2. #ราคจริต
- จุดอ่อน คือ ชอบเพ้อเจ้อ คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ไม่มีกรอบความคิดระยะยาว ชอบเปลี่ยนโน่นนี่นั่นไปเรื่อย ชอบควบคุมคนอื่น ชอบทำตามใจตัวเอง
ถ้าจะลงทุนก็ต้องควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะงั้นถ้าจะซื้อแล้วขายๆๆๆๆ ก็พังครับ เพราะนั่นไม่ใช่หลักของการลงทุนที่จะทำให้คุณรวย อาจจะพอทำให้มีกินมีใช้บ้าง แต่การชอบทำตามใจตัวเองนั้นไม่มีทางทำให้สำเร็จได้
- วิธีแก้ อย่าไปดูราคาหุ้นบ่อย เพราะดูแล้วชอบเพ้อเจ้อ บอกว่าจะถือยาวแต่หุ้นร่วงหน่อยก็ขายละ มันทำให้คนที่มีราคะจริตไปไม่รอด แล้วเขาก็จะกลับมาซื้อแพงไปเรื่อย ๆ
3. #โมหจริต
- จุดอ่อน คือ มีความลุ่มหลง เป็นคนที่คิดอะไรถูกไปหมด แต่ไม่ยอมทำ เชื่องช้า เซื่องซึม ผลัดวันประกันพรุ่ง เล่นหุ้นไม่ขาดทุน แต่ได้ไม่เยอะ
- วิธีแก้ ตัดสินใจซื้อขายวันไหน ก็ซื้อขายวันนั้น
4. #สัทธาจริต
- จุดอ่อน คือ เชื่อในตัวบุคคลแต่ไม่เคยทำตามคำสอน เช่น เชื่อลุงโฉลกนะ แต่ไม่เคยทำตามคำสอนลุงเลย ลุงบอกเขียวซื้อ-แดงขาย ไม่เคยจะทำ แต่ศรัทธาลุงนะ หรืออย่างเช่นไหว้พระ ไหว้อยู่นั่นแล้วก็ขอพร แต่ไม่เคยศึกษาธรรมะ
- วิธีแก้ ศรัทธาให้ถูกตัวบุคคล แล้วลงมือทำตาม
5. #พุทธิจริต
- จุดแข็ง คือ มีเหตุ มีผล
- จุดอ่อน คือ มีเหตุมีผลที่มากเกินไป (ฮ่า ๆ) คือคิดเยอะไป หาเหตุหาผลของสิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่นั่น
6. วิตกจริต
ซึ่งประเภทนี้พบมากที่สุด อ. เล่าว่าคนทุกคนเล่นหุ้นได้ยกเว้นคนประเภทนี้ เพราะจะคิดนู่นนี่นั่นไปเรื่อย
ซึ่งหลัก ๆ เลยคือเราต้องรู้ก่อนว่าเรามีจริตอะไร สังเกตได้จากอารมณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ของตัวเราเอง เช่น ขี้โมโหหรือเปล่า ถ้าใช่ก็โทสจริต หรือชอบสวยงาม ชอบอาหารอร่อย ถ้าใช่ก็ราคจริต ซึ่งใน 1 คนอาจไม่ได้มีแค่จริตเดียว
ทั้งหมดทั้งมวลคือคุณต้องแก้จริตในตัวคุณ ไม่ใช่ไปทำตามจริตของคุณ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในโลกใบนี้คือ “คนที่เอาชนะตัวเองได้” ถ้าคุณโมโห คุณต้องควบคุมความโมโหของคุณได้ เพราะมันจะส่งผลต่อชีวิตอย่างมาก
ซึ่งถ้าคุณมีจริตแบบอื่น คุณก็ไม่มีมีทางเข้าใจคนที่มีจริตต่างกัน เช่น
- บางทีเราอาจสงสัยว่าแค่มีมอไซต์มาเฉี่ยวทำไมต้องลงไปชก
- ทำไมต้องซื้อน้ำหอม หรือต้องซื้อกระเป๋า 20-30 ใบ
- ทำไมต้องขับรถเป็นร้อยกิโลเพื่อไปกินของอร่อย
คุณไม่เข้าใจหรอก เรื่องเหล่านี้เราจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยเพราะจริตเรามันต่างกัน คุณต้องลองเป็นเขาจึงจะเข้าใจคนอื่น เมื่อเข้าใจแล้วจึงสามารถเอาตังค์จากคนอื่นมาเป็นของได้ โดยสุจริตนะ ไม่ได้ไปโกงแต่อย่างใด
อาจารย์เล่าต่อไปว่าเมื่อคนเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีจริตเป็นเช่นไร เขาจะถูกความโลภและความกลัวเข้าครอบงำเสมอ ซึ่งการเป็นนักลงทุนต้องจะต้องมี "จิตใจที่มั่นคง" ใน "สภาพแวดล้อมที่ไม่มั่นคง"
สุดท้ายอาจารย์ให้แง่คิดว่า:
เมื่อมีความกลัวให้ “ตั้งสติ” เช่น ถ้าหุ้นที่ถือมันร่วง ก็ให้ไปดูว่ามันถึงจุด stop loss (sl) แล้วหรือยัง ซึ่ง sl ก็คือวินัยของ TA ซึ่งก็คือ down theory ถ้ามันถึงจุด sl เราก็ต้องขายเพราะ
1. ถ้ามันหลุด sl TF day มันจะบอกเราได้ว่าอาจเกิดการปรับฐานนาน
2. ถ้าหลุด sl TF week มันจะบอกเราได้ว่าจบ cycle ของหุ้นตัวนี้แล้ว
อาจารย์เน้นย้ำ!!! ว่าเราจะต้องมีวินัยในส่วนของการใช้ sl
การลงทุนตลอด 10 ปี ของอาจารย์แทบไม่ได้อะไรเลย มีแต่ได้มาเสียไป ๆ ซึ่งมันทำให้ “เจ้ง” แต่การที่เจ้งนี่แหล่ะที่นำไปสู่ “ชัยชนะ” เพราะเราจะรู้ว่าอะไรที่ไม่ควรทำ
.
.
.
คุณเฟิร์นสรุปในหัวข้อนี้ว่าจริง ๆ คนเรารู้ว่าตัวเองมีข้อดียังไง แต่ไม่ค่อยจะมองเห็นข้อด้อยของตัวเองหรือบางทีก็มองข้ามไปด้วยซ้ำ ซึ่งคนที่จะประสบความสำเร็จได้คือคนที่ควบคุมจริตของตัวเองได้ แต่เราจะคุมตัวเองไม่ได้เลยถ้าเราไม่รู้ว่าข้อด้อยของตัวเองคืออะไร ซึ่งจริตนี่แหล่ะจะสะท้อนว่าเราเป็นคนแบบไหน ไปคุมข้อด้อยตรงนั้นให้ได้ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
อาจารย์เสริมต่อไปว่า "ต่อให้คุณเก่งพื้นฐานและ TA แต่ถ้าจิตวิทยาไม่ผ่านคุณก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อยู่ดี"
ฝากติดตาม Facebook fanpage: https://www.facebook.com/JontFanpage
โฆษณา