28 ส.ค. 2021 เวลา 09:04 • กีฬา
จอดรถบัสคอลัมน์: จากปีกจอมสับสู่เครื่องจักรสังหาร
เมื่อคืนนี้มีข่าวใหญ่ที่ยึดแทบทุกพื้นที่สื่อ นั่นคือการกลับมาสู่ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก
จากตอนแรกที่เขาใกล้จะบรรลุข้อตกลงกับแมนเชสเตอร์ซิตี้แล้ว และในช่วงเช้ามีกระแสต่อต้านจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหลายต่อหลายคนที่รับไม่ได้หากโรนัลโด้จะย้ายไปร่วมทีมเรือใบสีฟ้า คู่ปรับร่วมเมืองของพวกเขา ในช่วงนั้นเราจะได้เห็นบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของโรนัลโด้ ที่เคยบอกว่าจะไม่มีวันย้ายไปร่วมทีมแมนซิตี้เด็ดขาดเพราะหัวใจของเขาคือยูไนเต็ด และการโน้มน้าวของบรูโน่ เฟร์นันเดสและโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ รวมถึงเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
จนจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นประมาณช่วงเย็นของเวลาประเทศไทย ที่อยู่ดีๆ ทางแมนซิตี้ก็ได้ทำการล้มดีลออกไปและแมนยูได้กลายเป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าตัวโรนัลโด้ไปครอบครอง จนสุดท้ายแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็บรรลุข้อตกลงในการคว้าตัวคริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับคืนสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดได้สำเร็จ
หากจะพูดถึงคริสเตียโน่ โรนัลโด้ในช่วงที่เขาโลดแล่นในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เขาได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในตำนานของลีกและตำนานของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะสังเกตว่าเวลาจัดทีม 11 ตัวผู้เล่นที่ดีสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก มักจะมีชื่อของโรนัลโด้เสมอ
โดยโรนัลโด้ค้าแข้งอยู่กับทีมในช่วงฤดูกาล 2003 ถึง 2009 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 3 สมัย (2006/2007, 2007/2008, 2008/2009) และยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย (2008) และบัลลงดอร์อีก 1 สมัย (2008) รวมถึงรางวัลรองเท้าทองคำ (2007/2008) ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด ในยุคกาลาติกอส II
แต่กระนั้นกว่าคริสเตียโน่ โรนัลโด้จะมาถึงจุดนี้ได้ เมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยถูกเรียกว่าเป็นตัวโจ๊กของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์อันโดดเด่นแต่ว่าเขาประสบปัญหา การชอบเล่นบอลชายเดี่ยว โชว์เทคนิคอย่างพร่ำเพรื่อและสับขาหลอกโดยไม่จำเป็นมากมาย จนบางครั้งได้รับฉายาว่า “ปีกจอมสับ” ในช่วงนั้น และการสับขาหลอกของเขาจบลงด้วยการโดนกองหลังเตะจนลงไปกอง หรือโดนเพื่อนร่วมทีมตำหนิเนื่องจากทำให้จังหวะของเกมติดขัด
แต่ด้วยทัศนคติที่เติบโตขึ้นของเขาและการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการพัฒนาตัวเอง การอยู่ภายใต้การดูแลของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับเหล่านักเตะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่าง รอย คีน, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เวย์น รูนีย์, ไรอัน กิ๊กส์ รวมไปถึงพอล สโคลส์ ช่วยให้โรนัลโด้อยู่ในร่องในรอยมากขึ้น
จุดเปลี่ยนของโรนัลโด้เกิดขึ้นหลังจากจบฟุตบอลโลก 2006 มีดราม่าเกิดขึ้นในเกมที่โปรตุเกสดวลจุดโทษชนะอังกฤษในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งในเกมนั้นโรนัลโด้เข้าไปประท้วงผู้ตัดสินอย่างออกหน้าออกตา จนทำให้เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมสโมสรตนเองต้องถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่ประเด็นคือกล้องจับภาพเห็นว่าเขามีการขยิบตาไปยังซุ้มมานั่งสำรองของฝั่งโปรตุเกสทำให้เกิดทฤษฎีมากมายว่านี่เป็นหนึ่งในแผนที่โรนัลโด้ต้องการจะทำให้รูนีย์ถูกไล่ออกจากสนาม
เมื่อกลับมาที่สโมสรก่อนเปิดฤดูกาล 2006/2007 ผู้คนทั้งหลายก็มีความกังวลว่าโรนัลโด้กับรูนีย์จะสามารถเล่นด้วยกันได้หรือไม่จากปัญหาในฟุตบอลโลก 2006 แต่ผลการแข่งขันและฟอร์มการเล่นของทั้งสองที่เข้าขากันมาก ก็ตอบทุกข้อกังวลของผู้คนทั้งหลาย แต่ประเด็นสำคัญคือในฤดูกาลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเรื่องหนึ่งที่ทำให้ทั้งรูนีย์และโรนัลโด้ได้มีโอกาสโชว์ฟอร์มอย่างเฉิดฉาย
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ขายรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าคนสำคัญออกไป และต้องการให้เวย์น รูนีย์ กับคริสเตียโน่ โรนัลโด้เป็นแกนหลักในแนวรุกและปรับมาใช้การโจมตีอย่างรวดเร็วแบบฉบับที่ไม่มีกองหน้าตัวเป้ายืนค้ำในกรอบเขตโทษเป็นแผนการเล่นหลักในฤดูกาลนั้น
ทำให้จบฤดูกาล 2006/2007 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง และโรนัลโด้กับรูนีย์ ยิงประตูได้ 23 ลูกในทุกรายการเท่ากัน โดยไฮไลท์ที่สำคัญในฤดูกาลนั้นเกิดขึ้นในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโรม่าในเลกสอง ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอาชนะโรม่าไปได้ 7-1 จากเกมรุกอันสุดยอดของแมนยูยุคใหม่ และการประสานงานของคู่หูที่มีฉายาว่า รูนัลโด้ (รูนีย์+โรนัลโด้)
ถัดมาในฤดูกาล 2007/2008 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำการคว้าตัวคาร์ลอส เตเวซเข้ามาร่วมทีม ซึ่งการเข้ามาของเขาทำให้การประสานงานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดวูบวาบและดุดันขึ้นมาก เนื่องจากเตเวซมีลักษณะการเล่นที่คล้ายกับเวย์น รูนีย์ และเขาสามารถสลับหมุนเวียนตำแหน่งการเล่นกับโรนัลโด้และรูนีย์ ได้อย่างเข้าขา จนฤดูกาลนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสามารถป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง และที่สำคัญในฤดูกาลนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกได้พร้อมกับรางวัลบัลลงดอร์และรองเท้าทองคำครั้งแรกของโรนัลโด้
ในช่วงชีวิตที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โรนัลโด้มีความสุขมาก จากองค์ประกอบสำคัญหลายๆ ส่วน ทั้งความไว้วางใจของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, การช่วยเหลือของคาร์ลอส เคยรอซมือขวาของเซอร์อเล็กซ์ในขณะนั้นและการช่วยเหลือในการฝึกซ้อมของเรเน่ มูเลนสตีน หนึ่งในสตาฟโค้ชของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ซึ่งมูเลนสตีนนี้เอง เป็นผู้ที่เปลี่ยนโรนัลโด้จากปีกจอมสับให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารประตู เขาสอนให้โรนัลโด้เห็นถึงการมีประสิทธิภาพในการทำประตูมากกว่าความสวยงามของการโชว์เทคนิคต่างๆ และต้องการให้โรนัลโด้เป็นนักเตะที่ทำประตูได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเท้าขวา เท้าซ้าย ลูกกลางอากาศ และต้องการให้โรนัลโด้เฉียบคมยิ่งกว่า อลัน เชียเรอร์, โอเล่ กุนนาร์โซลชาร์ หรือแม้กระทั่งรุด ฟาน นิสเตลรอย จนสุดท้ายโรนัลโด้ได้เปลี่ยนจากปีกจอมสับจนกลายเป็นเครื่องจักรสังหารประตูอย่างสมบูรณ์
จนโรนัลโด้กลายเป็นนักเตะคนที่ 5 ในพรีเมียร์ลีกที่ยิงได้เกิน 30 ประตูในซีซั่นเดียวในช่วงเวลาขณะนั้น ซึ่งโรนัลโด้เองไม่ใช่นักเตะที่เป็นกองหน้าตัวเป้าโดยธรรมชาติด้วยซ้ำไป
พลังในการทำประตูของโรนัลโด้ ทำให้ช่วงท้ายของการค้าแข้งที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดบางครั้งเซอร์ อเล็กซ์ได้ให้เขาขึ้นไปเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าซะเลย นอกจากนี้สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาอีกอย่างคือลูกฟรีคิก โดยโรนัลโด้เป็นคนที่มีการยิงลูกฟรีคิกได้ไม่เหมือนใคร ลูกยิงของเขาจะเป็นการถอยหลังไปประมาณ 3-4 ก้าว ยืนกางขา แล้ววิ่งมากดด้วยหลังเท้า ทำให้ลูกบอลพุ่งแรงเป็นจรวดติดลูกส่าย ทำให้ผู้รักษาประตูยากที่จะป้องกันได้ จนทำให้สถิติการยิงประตูจากลูกฟรีคิกของเขาเพิ่มขึ้นมามากมาย
เมื่อพัฒนาฝีเท้าจนถึงขีดสุดแล้ว ในที่สุดก็ถึงวันที่เขาจะต้องออกไปตามความฝัน นั่นคือการเล่นให้กับเรอัลมาดริด ทีมที่เป็นความฝันสูงสุดของนักฟุตบอลหลายๆ คน ในวันนั้นโรนัลโด้ได้อำลาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปอย่างตำนานของทีมและของพรีเมียร์ลีก
แต่วันนี้เขากลับมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกครั้งในฐานะหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก ขอแสดงความยินดีกับแฟนแมนยูทุกคนด้วยนะครับ
- - -
ติดตามในช่องทางอื่นได้ที่
Facebook: จอดรถบัส - Park the Bus
โฆษณา