28 ส.ค. 2021 เวลา 22:25 • กีฬา
สิงห์สิบตัวยันหงส์อยู่หมัดบุกฉก 1 แต้มจากแอนฟิลด์
คู่เอกของ พรีเมียร์ลีก ประจำแมตช์เดย์ 3 เป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านรับมือ เชลซี โดยลุ้นชิงตำแหน่งจ่าฝูงกัน
"หงส์แดง" เริ่มฟอร์มเข้าฝักหลังคว้าชัย 2 เกมติดแบบไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว บรรดาตัวหลักทยอยกลับมาจนขุมกำลังพร้อมรบสุดขีด
เช่นเดียวกันกับ "สิงห์บลูส์" ฟาดชัยตลอด 2 นัดแรกแบบยังไม่โดนเปิดบริสุทธิ์ แถมยังยิงได้ 5 ลูกเหมือนกันด้วย
มันเป็นเกมที่สูสีกันอย่างที่ส่วนใหญ่คาดกัน ต่างฝ่ายต่างได้โอกาสลุ้นประตู ก่อน "สิงโตน้ำเงินคราม" ชิงบุกนำ 1-0 จากลูกโหม่งย้อยเสียบคานของ ไค ฮาแวร์ทซ์
ทีมเยือนเริ่มคุมสถานการณ์ได้ดีกว่าแถมเกือบได้ประตูเพิ่มอีกหลายจังหวะ แต่ก็ทำไม่ได้จนมาเกิดเหตุชุลมุนในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก
รีซ เจมส์ โดนจับแฮนด์บอลหลังบอลโดนท่อนแขนในจังหวะจะข้ามเส้นประตุ เลยโดนใบแดงแถมทำทีมเสียจุดโทษ
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รับหน้าที่สังหารเสียบตาข่ายเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ในข่วงเวลาสำคัญ
ทว่าในช่วง 45 นาทีหลัง ทั้งที่ได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นแต่ "หงส์แดง" ทำอะไรเพิ่มไม่ได้และต้องแบ่งไปฝั่งละ 1 แต้ม
และนี่คือประเด็นน่าสนใจ 90 นาทีที่ แอนฟิลด์...
- จุดเปลี่ยนของเกม
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงทดเจ็บครึ่งแรกของเกมนี้เกิดเหตุการณ์ที่พลิกโฉมหน้าของเกมนี้อย่างแท้จริง
ใบแดงของ เจมส์ ทำให้ เชลซี ตกเป็นรองเรื่องตัวผู้เล่น เหลือเพียง 10 คน ต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม
สำหรับเรื่องใบแดง บางเสียงก็บอกว่าใบเหลืองก็ได้ แต่ในเคสนี้ ผู้ตัดสินว่ามองว่าแขนของ เจมส์ กระตุกออกไปปัดบอลนั่นเอง เหมือนแสดงความตั้งใจที่จะป้องกันประตูเลยตัดสินใจชูใบแดงให้นั่นเอง
ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ทื่พลิกมาได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่น ก็ได้จุดโทษนำไปสู่ลูกตีเสมอของ ซาลาห์
2
โมเมนตั้มดูเหวี่ยงมาทางฝั่ง "หงส์แดง" เพราะมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญซะด้วย แต่ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถฉวยโอกาสนั้นได้เอง
แต่การที่เล่น 11 ต่อ 10 คน มองอีกมุม มันก็ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสทองในการเจาะพื้นที่ของ เชลซี เพราะการเหลือผู้เล่นน้อยกว่าทำให้ "สิงห์บลูส์" ไม่มีทางเลือกนอกจากถอยไปตั้งรับแล้วรอสวนกลับ
ลองเป็นสถานการณ์ 11 ต่อ 11 ลิเวอร์พูล อาจมีโอกาสคว้าชัยมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะ เชลซี ก็พร้อมจะบุกใส่ แปลว่ามันจะเป็นการเปิดพื้นที่ข้างหลังให้ ลิเวอร์พูล ได้ฉวยโอกาสนั่นเอง
- วินัยเกมรับของ "สิงห์บลูส์"
โธมัส ทูเคิ่ล จัดระเบียบวินัยเกมรับของ เชลซี ได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะในช่วง 45 นาทีหลัง ทั้งที่เจอสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจเพียบ
ไม่ว่าจะเป็น เจมส์ โดนใบแดง แถม เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เจ็บข้อเท้าติดตัวจากครึ่งแรกจนต้องถอดออกในช่วงพักครึ่ง
ทูเคิ่ล เลยปรับระบบจาก 3-4-3 มาเป็น 5-3-1 โดยเปลี่ยน ไค ฮาแวร์ทซ์ ผู้ทำประตูนำ 1-0 ออกไปแล้วส่ง ติอาโก้ ซิลวา ลงไปกระชับแนวรับ แล้วส่ง มาเตโอ โควาซิช ลงแทน ก็องเต้ ขณะที่ โรเมลู ลูกากู ยืนหน้าเป้า แต่ก็ถอยต่ำมาเป็นพิเศษ
แม้ว่าโดน "หงส์แดง" ขึงพืดอย่างหนัก แต่ผู้เล่นของ เชลซี ตั้งรับกันอย่างมีวินัยและป้องกันไม่ให้เจ้าถิ่นเจาะตาข่ายเพิ่มสำเร็จ คงไม่ต้องบอกว่ามันเป็นการร่วมแรงร่วมใจครั้งสำคัญจนบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด 1 คะแนนก็เหมือน 3 คะแนนยังไงยังงั้นเลย
1
- ความไม่เด็ดขาดของ คล็อปป์
ลิเวอร์พูล เหมือนได้ของขวัญกล่องใหญ่ผูกโบเป็นอย่างดีในช่วงทดเจ็บหลังได้ทั้งจุดโทษและความได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่น
ในทางทฤษฎีแล้ว การมีตัวผู้เล่นมากกว่าย่อมหมายถึงโอกาสชนะที่สูงกว่า มันเป็นโอกาสสำหรับ ลิเวอร์พูล ในการเดินหน้าบด เชลซี ให้น่วมก่อนยิงประตูเพิ่มเพื่อเก็บชัยชนะให้ได้
ลิเวอร์พูล เสียโควตาเปลี่ยนตัวไปตั้งแต่ก่อนหมดครึ่งแรกหลัง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ดันเจ็บขึ้นมาทำให้ ดีโอโก้ โชต้า ต้องลงเล่นก่อนเวลาที่วางแผนเอาไว้
ถ้าเกิดว่า ฟีร์มิโน่ ยังอยู่ในสนามมันอาจจะดีกว่าในการส่ง โชต้า ลงไปเพิ่มในแดนหน้า
กระนั้น 3 กองหน้าทั้ง โม ซาลาห์, โชต้า และ ซาดิโอ มาเน่ ก็เดินหน้ากดดัน เชลซี ได้ต่อเนื่อง เพียงแต่เจาะเข้าพื้นที่สุดท้ายไม่ค่อยได้
แทนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะส่งตัวรุกลงไปเพิ่มเพราะ เชลซี ก็ไม่กล้าแลกอยุ่แล้ว เอาแต่เน้นตั้งรับแล้วรอสวนกลับ
แต่กลายเป็นว่า คล็อปป์ รอจนถึงเกือบ 15 นาทีสุดท้าย แต่คนที่ลงไปกลับไม่ใช่ตัวรุก ติอาโก้ อัลกันตาร่า ถูกส่งลง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เพราะ คล็อปป์ มั่นใจว่าการผ่านบอลของ ติอาโก้ จะปลดล็อกเกมรับของทีมเยือนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
1
แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าแผนไม่เวิร์ค คล็อปป์ ก็เปลี่ยนตัวครั้งสุดท้าย ซึ่งควรจะเป็นตัวรุกแต่กลับเป็น คอสตาส ซิมิคาส ลงแทน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และสุดท้ายก็จบด้วยผลเสมอ 1-1 โดยที่ความรู้สึกเหมือนว่า ลิเวอร์พูล โยน 2 แต้มทิ้งไปเอง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา