29 ส.ค. 2021 เวลา 10:13 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งแห่งโลกฟุตบอล
เอเอส โรม่า(As Roma) vs ลาซิโอ้ (SS Lazio)
ศึกแห่งกรุงโรม
ความขัดแย้งของทั้งสองทีมนี้เริ่มมาตั้งแต่ ค.ศ. 1927 ตังแต่มีการก่อตั้งทีม AS Roma ขึ้นมาเลยทีเดียว โดยความขัดแย้งนี้มีมาเกือบ 100 ปีแล้ว โดยความขัดแย้งเริ่มขึ้นมาจากแนวคิดชาตินิยม และลุกลามไปจนถึงเรื่องของชนชั้น อุมการณ์ จนเกิดเป็นแผลในใจของแฟนบอลทั้งสองทีมนี้มาอย่างยาวนาน
เบนนิโต้ มุสโซลินี่ (Benito Mussolini) เป็นผู้นำเผด็จการฟาสซิส(Fascist) ของอิตตาลี่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 - 1943
เบนนิโต้ มุสโซลินี่ (Benito Mussolini)
ด้วยรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการชาตินิยม มุสโซลินี่ จึงมีความพยายามที่จะสร้างทีมฟุตบอลแห่งชาติขึ้นมาเพื่อที่จะ ใช้เป็นทีมฟุตบอลประจำตัวของเขา จึงได้มีการยุบรวมทีมฟุตบอล Fortitudo , Di Roma , Alba-Audace ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลในแคว้นลาซิโอ้รวมกันเป็นทีม As Roma ขึ้นมาในปี ค.ศ.1927
โดยใช้สัญลักเป็นหมาป่าเลี้ยงเด็ก ตามตำนานการสร้างกรุงโรมของฝาแฝด
โรมูลุส เรมุส และใช้สีเหลือง-แดง ตามสีของสำนักวาติกันในกรุงโรม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาตินิยมอิตาลี่
ฝาแฝดโรมูลุส - เรมุส
แต่ยกเว้นทีม SS Lazio ที่ไม่ถูกควบรวมเข้าไปกับทีม AS Roma เพราะพวกเขาเป็นทีมค่อนข้างใหญ่และมีแบ็คดี
ความขัดแย้งของแฟนบอลทั้งสองเริ่มเกิดขึ้น ด้วยทีม As Roma เป็นทีมที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมเด็กเส้น เป็นทีมของท่านผู้นำจึงได้อภิสิทธิ์มากกว่าทีมอื่นๆ แล้วยังใช้อำนาจมืดในการรวมทีมของตัวเองขึ้นมา จึงมีทีมหลายๆทีมใน Serie A ไม่ชอบโดยเฉพาะแฟนบอลทีม SS Lazio ที่ถือว่าตัวเองเป้นเจ้าถิ่น
ซึ่งแคว้นลาซิโอ้นั้นมีจุดศูนย์กลางคือกรุงโรม แฟนบอลส่วนใหญ่ของ AS Roma นั้นจะรวมอยู่ในกรุงโรม ส่วนแฟนบอล SS Lazio จะอยู่ในเมืองรอบๆกรุงโรมในแคว้นลาซิโอ้
แผนที่แคว้นลาซิโอ้
ด้วยสมัยนั้นระบอบฟาสซิส(Fascist) ได้มีอิทธิพลในอิตาลี่อยู่อย่างมาก SS Lazio ถูกโจมตีว่าเป็นทีมนอกรีตและไม่มีความเป็นชาติอิตาลี่
เพราะ SS Lazio ใช้สีฟ้า-ขาว เป็นสีประจำทีม ที่หมายถึงประเทศกรีซอันเป็นประเทศต้นกำเนิดกีฬาและการแข่งขันกีฬาอย่างโอลิมปิก และใช้สัญลักษณ์นกอินทรี ที่เป็นสัตว์ประจำตัวของเทพจูปิเตอร์ หรือเทพซุส ในตำนานกรีก
ประกอบกับแฟนบอล AS Roma นั้นถือว่าตันเองเป็นคนของกรุงโรม ส่วนพวกแฟนบอล SS Lazio นั้นเป็นพวกนอกเมือง ชายขอบ จึงมีคำด่าพวกนี้ว่า บูรินี่(Burini) แปลว่าพวกบ้านนอก
ส่วนแฟนบอลทีม AS Roma เป็นคนในเมืองและส่วนมากมีฐานะยากจน จึงที่เรียกว่า โพเวโร (Povero) หรือพวกกุ๊ย
ต่อมาหลังจากหมดยุค ฟาสซิส(Fascist) ของเบนนิโต้ มุสโซลินี่ ลง แนวคิดของโลกก็ได้เปลี่ยนไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สู่แนวคิดช่วงสงครามเย็น ที่มีค่ายประเทศใหญ่สองค่ายที่สู้กันระหว่างแนวคิดตะวันตกแบบเสรีนิยม กับ คอมมิวนิสต์แบบสังคมนิยม
ค่านิยมความคิดของแฟนบอลจึงเปลี่ยนไป SS Lazio ไม่ใช่ทีมที่ถูกมองว่านอกรีตจากความเป็นชาตินิยม ส่วน AS Roma ก็ไม่ใช่ทีมเด็กเส้นของท่านผู้นำอีกต่อไป
แต่ความขัดแย้งก็ยังไม่จบลง เพราะแฟนบอล SS Lazio ที่เป็นกลุ่มคนที่อยู่รอบนอกกรุงโรมค่อนข้างจะเป็นกลุ่มคนมีฐานะจึงทำให้มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
ส่วนแฟนบอลที่ AS Roma เป็นคนในกรุงโรมที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีฐานะยากจนทำให้พวกเขามีความคิดเอียงซ้ายแบบสังคมนิยม
การโจมตีแฟนบอล AS Roma จึงเป็นการเหยียดถึงฐานะ และชาติพันธ์ุเพราะในกรุงโรมมีชาวยิวอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นการสร้างรอยแผลความเกลียดชังที่ฝังรากลึกเข้าไปถึงเรื่องของชนชั้นทางสังคม และอุดมการ์ทางการเมือง
โดยแฟนบอล SS Lazio นั้นมีกลุ่มที่มีอุดมการขวาจัดแบบฟาสซิส(Fascist) อยู่เป็นจำนวนมากจึงมีหลายครั้งที่มีภาพเหตุการณ์ที่แฟนบอลยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า 45 องศา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของระบอบนาซี(Nazi) ที่มีอุดมการณ์แบบขวาจัด และเหยียดชาวยิวออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
แฟนบอล SS Lazio ชูสัญลักษณ์นาซี
แนวคิดแบบ ฟาสซิส(Fascist) นั้นฝังรากลึกลงไปในสังคมอิตาลี่ ก่อให้เกิดปัญหาทางชนชั้น และการเหยียดผิว ซึ่งเราจะเห็นได้ในหลายๆครั้งในข่าวในวงการ
ฟุตบอลอิตาเลี่ยน ซึ่งเป็นปัญหาทางสังคมของอิตตาลี่มาอย่างยาวนาน .
โดยส่วนตัวแล้ว จากเรื่องราวเหล่านี้ทำให้ยืนยันความคิดลึกๆของผมได้ว่า ประวัติศาสตร์ การเมือง ศิลปะ กีฬา วิธีชีวิต วัฒนธรรม หรืออะไรก็ตามที่อยู่รอบๆตัวเราล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเดียวกัน และมันผสานเข้ากับวิถีชีวิตเราอย่างแนบเนียนจนเราแยกไม่ออกหรือมองไม่เห็นมันเลย
หวังว่าทุกท่านคงจะได้อะไรไม่มากก็น้อยจากบทความนี้ ขอคุณครับ .
อ้างอิง
โฆษณา