29 ส.ค. 2021 เวลา 19:42 • หุ้น & เศรษฐกิจ
expert view – STOCKS: หุ้น AOT
สรุปจาก: "Alpha Investor: EP12 “เจาะลึกหุ้น AOT การเติบโตครั้งใหม่ ที่หลายคนไม่รู้"" (https://www.youtube.com/watch?v=58ZmgpIbLDY)
ที่มาภาพประกอบ: "freepik" (Medical vector created by freepik - www.freepik.com)
จากมุมมองแบบนักลงทุนรายย่อย:
การท่องเที่ยวถือว่ามีสัดส่วนค่อนข้างมากใน GDP ของประเทศไทย หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้หุ้นไทย underperform แต่ตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะกลับมามองหุ้นไทย และจากผลประกอบการของ Airbnb ในช่วงหลังก็ทำให้เชื่อได้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใกล้จะกลับมามาก ๆ แล้ว
งานวิจัยจากหลายที่ระบุว่าสิ่งที่คนคิดถึงมากที่สุดในช่วงนี้คือการท่องเที่ยว โดย Airbnb เชื่อว่าการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นจากภายในประเทศก่อน แต่หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวเองก็ประกอบไปด้วยทั้งโรงแรม สายการบิน สนามบิน ฯลฯ มีทั้งหุ้นขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งบางบริษัทก็มีหนี้สินจำนวนมาก บางบริษัทก็ปลดพนักงานไปเป็นจำนวนมาก แต่บริษัทอย่าง AOT นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง ดังนั้นหากการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวและเติบโตใหม่อีกครั้ง AOT ก็อาจจะเป็นหุ้นที่กลับมาเติบโตได้ แม้จะไม่ได้โตอย่างรวดเร็วมากนักแต่มีความแน่นอนสูงกว่าบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
จากการสำรวจมูลค่าบริษัทของสนามบินทั่วโลกที่มีการจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นพบว่า AOT เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุด ตามมาด้วย AENA ของสเปนและ SYD ของออสเตรเลีย ฯลฯ แม้ในปัจจุบันกำไรในปัจจุบันของ AOT จะยังไม่กลับมาเหมือนกับสนามบินแห่งอื่น ๆ ในโลกอีกหลายแห่งก็ตาม ซึ่งอาจแปลความได้ว่าราคาหุ้นของ AOT ไม่ได้ถูกนักเมื่อเทียบกับผลประกอบการในปัจจุบัน แต่เมื่อลองเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของราคาใน 1 ปีกับ 5 ปีจะพบว่าใน 5 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของ AOT มีการปรับตัวขึ้นสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 แต่เมื่อเทียบภายใน 1 ปีที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นน้อยจนเกือบจะรั้งท้าย จึงเรียกได้ว่าราคาในปัจจุบันของ AOT อาจจะ Laggard หุ้นของสนามบินอื่น ๆ ทั่วโลกอยู่พอสมควรก็ว่าได้
เมื่อพิจารณากราฟราคาของ AOT ย้อนหลังไปประมาณ 5 ปีพบว่าหลังจากราคาลงไปต่ำสุดในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกแรก จากนั้นก็มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอย่างช้า ๆ
นอกจากนี้การขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่จะเปิดใช้งานได้ในปี 2022 รวมถึงแผนการพัฒนาอื่น ๆ ในระยะเวลาอันไม่ไกลนี้ ก็จะทำให้การกลับมาฟื้นตัวของ AOT ไม่ใช่เพียงการกลับไปที่จุดเดิม แต่จะเป็นการกลับไปเติบโตได้ในจุดที่สูงกว่าเดิมอีกด้วย
สำหรับจังหวะในการเข้าซื้อหุ้น AOT นั้นมองว่าเวลานี้เป็นจังหวะที่ดีแล้วสำหรับการซื้อลงทุนในระยะยาว แต่สำหรับการลงทุนในระยะสั้นนักลงทุนควรจะพิจารณาปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
-ความล่าช้าในการกระจายวัคซีน
-การแพร่ระบาดรอบใหม่ของเชื้อโควิด-19
-Phuket Sandbox ที่ไม่ประสบความสำเร็จ
-ไม่มีมาตรการสำหรับช่วยเหลือสายการบินและร้านค้าออกมาเพิ่มเติม
ซึ่งมองว่าปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ต่างก็ส่งผลให้ราคาของหุ้น AOT ปรับลงมาในระยะสั้น และเชื่อว่าราคาของ AOT ในปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยเหล่านี้ไปแล้ว ดังนั้นราคาของ AOT ในปัจจุบันจึงถือว่าอยู่ในจุดที่น่าสนใจ ยกเว้นเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง
สำหรับธุรกิจของ AOT นั้นประกอบด้วยสนามบินทั้งหมด 6 แห่งได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง แม่ฟ้าหลวง-เชียงราย เชียงใหม่ หาดใหญ่ และภูเก็ต ซึ่งทั้งหมดล้วนถือเป็นสนามบินหลักของประเทศ ส่วนสนามบินอื่น ๆ นั้นประกอบด้วยสนามบินของกรมการบินพลเรือนซึ่งมีหลายแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ สนามบินของบางกอกแอรเวย์ส 3 แห่ง และสนามบินอู่ตะเภาของกองทัพเรือ
ที่มาของรายได้ของ AOT แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการบินและรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน โดยรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการบินมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปอันเกิดจากผลกระทบของสถานการณ์โควิดดังนี้
-ค่าบริการผู้โดยสารขาออก (แปรผันตามจำนวนผู้โดยสาร) 76% -> 42%
-ค่าบริการสนามบิน (แปรผันตามจำนวนเที่ยวบิน) 21% -> 49%
-ค่าเครื่องอำนวยความสะดวก 3% -> 9%
และรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบินมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปอันเกิดจากผลกระทบของสถานการณ์โควิดดังนี้
-ส่วนแบ่งจากยอดขายของร้านค้าภายในสนามบิน 63% -> 31%
-รายได้เกี่ยวกับบริการ 29% -> 39%
-ค่าเช่าพื้นที่ 8% -> 30%
ดังนั้นหากนักลงทุนจะทำการวิเคราะห์ธุรกิจของ AOT อาจจะไม่สามารถใช้สัดส่วนรายได้ในปัจจุบันมาวิเคราะห์ได้เนื่องจากมีความผิดเพี้ยนจากภาวะปกติของธุรกิจไปมาก จึงควรใช้สัดส่วนของปี 2562 แทน
สำหรับ capacity ของสนามบินสุวรรณภูมินั้นสามารถรับเที่ยวบินได้ 68 เที่ยว/ชม. โดยในปี 2019 และ 2020 ให้บริการจริงอยู่ที่ 67 เที่ยว/ชม. รองรับผู้โดยสารได้ 45 ล้านคน/ปี โดยในปี 2019 และ 2020 ให้บริการจริงอยู่ที่ 64.71 และ 30.75 ล้านคนตามลำดับ จะเห็นว่าหากเป็นในสถานการณ์ปกติ capacity เดิมของสนามบินสุวรรณภูมินั้นไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณการเดินทางที่เกิดขึ้น แม้แต่สนามบินอื่น ๆ ที่เหลืออีก 5 สนามบินนอกเหนือจากสุวรรณภูมิก็มีสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน
การที่ AOT มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 70% ทำให้ยังคงมีลักษณะการบริหารงานที่คล้ายรัฐวิสาหกิจอยู่บ้าง เมื่อต้องเจอกับภาวะวิกฤติทำให้บริษัทมีรายได้ลดเกือบ 80% แต่การบริหารจัดการทำให้ลดรายจ่ายไปได้เพียงประมาณ 10-20% เท่านั้น ทำให้บริษัทต้องพบกับภาวะขาดทุนอย่างหนักในปัจจุบัน
สำหรับสายการบินที่ใช้บริการของ AOT นั้น ที่สนามบินสุวรรณภูมิ 3 อันดับแรกเป็นสายการบินของไทยได้แก่ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส และไทยสไมล์ ซึ่งมีสัดส่วนแตกต่างกันไม่มากนัก รวมคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใช้บริการทั้งหมด ส่วนที่ดอนเมืองสูงสุดเป็นของแอร์เอเชียที่สัดส่วนกว่า 40% รองลงมาคือนกแอร์และไทยไลอ้อนแอร์
เมื่อดูที่งบการเงินจะพบว่ารายได้ 3 ไตรมาสของปี 2021 (AOT เริ่มนับไตรมาส 1 ของปีตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีก่อนหน้า) นั้นลดลงจนเหลือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1 ใน 10 ของปี 2019 เท่านั้น และมีผลขาดทุนถึง 11,164.54 ล้านบาท แปลความได้ว่าการที่จะทำให้ตัวเลขรายได้และกำไรของ AOT ฟื้นตัวในระดับร้อยหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากปัจจุบันนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยากนักเนื่องจากฐานเดิมต่ำมาก
เมื่อมองที่แนวโน้มการเติบโต ในด้านจำนวนผู้โดยสารคาดว่าจะกลับไปที่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ในปี 2023 หรือภายในประมาณ 2 ปีจากนี้ และจากการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารน่าจะทำให้เห็นการ turnaround ของผลประกอบการภายในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้จนถึงไตรมาส 1 ของปีหน้า หากไม่มีการระบาดของครั้งใหม่ของโรคโควิด-19 อีกระลอก
ในด้าน capacity ของสนามบินก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จะเปิดให้บริการภายในปี 2022 และหลังจากนั้นก็ยังมีแผนขยาย capacity ของสนามบินต่าง ๆ ในเครือซึ่งจะทำให้รองรับจำนวนของผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นทุก ๆ 2-4 ปีไปจนถึงปี 2034 ซึ่งจะทำให้ AOT ณ เวลานั้นมี capacity มากกว่าปัจจุบันประมาณ 140% ดังนั้นจึงมองว่าการลงทุนหุ้น AOT ณ เวลานี้ราคาหุ้นมีโอกาสลงค่อนข้างจำกัดจากแนวโน้มการเติบโตที่รออยู่
ในด้านภาวะเศรษฐกิจ มองว่าในปี 2023-2024 เศรษฐกิจโลกจะยังมีทิศทางที่ดีเนื่องจากหลายประเทศอยู่ในช่วงหลังฟื้นตัวจากวิกฤต แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจโลกจะไม่ค่อยดีนักเหตุผลมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจที่ทำให้เกิดสงครามทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาของหุ้น ดังนั้นหากต้องการลงทุนในหุ้น AOT เวลานี้จึงเป็นเวลาที่น่าจะปลอดภัยกว่ารอให้ผลประกอบการฟื้นกลับมาแล้ว
สำหรับคนที่ต้องการลงทุนในหุ้น AOT ณ เวลานี้ มองว่าเนื่องจาก AOT ถือเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจประเทศไทย จึงค่อนข้างมีความปลอดภัยในระยะยาวทั้งสำหรับการถือลงทุน และการทะยอยสะสมแบบ DCA หรือ VA
จากมุมมองแบบนักลงทุนสถานบัน:
เมื่อมองที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของ GDP หรือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ก็จะเห็นได้ชัดว่าพื้นฐานของประเทศไทยยังด้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกันและในโลก แม้กระนั้นนักลงทุนสถาบันภายในประเทศก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นไทย ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจมีสัญญาณว่าจะฟื้นตัวกองทุนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะเพิ่มการลงทุนในหุ้นไทยทันที โดยมาจากความคาดหวังเรื่องที่วัคซีนคุณภาพสูงกำลังจะถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศ หรือเรื่องที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดชะลอตัว แต่ถ้าเป็นสถาบันต่างประเทศจะมองเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ดังนั้นจะเห็นว่าเงินทุนต่างประเทศยังไม่เข้ามาหุ้นไทยเท่าไหร่นัก ในเวลานี้
สำหรับหุ้นไทย แม้เศรษฐกิจไทยจะไม่ได้มีการเติบโตที่ดีแต่ก็มีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังทำได้ ซึ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและเดินทางก็ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ยังสามารถเติบโตได้อีกในระยะยาวเเมื่อเทียบกลับกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นจึงถือเป็นกลุ่มที่นักลงทุนควรจะต้องกลับมาทำการบ้านเพิ่ม นอกจากนี้สถานการณ์ที่ผ่านมายังทำให้ฐานของกำไรในกลุ่มนี้ต่ำกว่าปกติ จึงเชื่อได้ว่าเมื่อเกิดการฟื้นตัวเมื่อไหร่ก็จะสามารถฟื้นตัวได้มาก โดยเฉพาะหุ้น AOT ซึ่งถือเป็นหุ้นที่มีสตอรี่บางอย่างที่หลายคนอาจจะมองข้ามหรือหลงลืมไป
แต่สิ่งที่ควรจะต้องพิจารณาให้ดีสำหรับลงทุนในกลุ่มนี้ก็คือ ฐานะทางการเงินของบริษัท เนื่องจากสถานการณ์โควิดทำให้บริษัทเหล่านี้ได้รับผลกระทบทางการเงินไม่มากก็น้อย การที่จะมีการกลับตัวของกำไร (turnaround) จำเป็นจะต้องดูว่าผลกระทบที่บริษัทได้รับในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินหนักเบาเพียงใดด้วย โดยค่าชี้วัดหนึ่งที่สามารถใช้ประกอบการพิจารณาได้ก็คือสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio)
เมื่อพิจารณาการขยาย capacity ของสนามบินซึ่งก่อนหน้าการระบาดของโควิดถือว่าไม่เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว ก็ทำให้เชื่อได้ว่าฐานรายได้ของ AOT จะเติบโตจนสูงกว่าช่วงก่อนโควิด ดังนั้นราคาของหุ้นที่ sideway มาเป็นเวลาหลายปีก็ถือว่ามีความน่าสนใจในระดับหนึ่งในเวลานี้ นอกจากนี้เมื่อประเทศไทยกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งและมีการไหลเข้าของเงินจากสถาบันต่างประเทศ จะทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นและหุ้นที่มีขนาดใหญ่มากพอได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินเหล่านั้น จึงมีแนวโน้มที่หุ้น AOT จะได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน
หุ้น AOT ถือว่าเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ไม่ค่อยยอมลงเท่าไหร่ในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่น ๆ ดังนั้นเราอาจจะไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นหุ้น turnaround แต่มองว่าเป็นหุ้นที่มีปราการแข็งแกร่ง มีลักษณะที่ค่อนข้างผูกขาดในธุรกิจที่ทำอยู่ และไม่มีแนวโน้มที่จะมีการเพิ่มทุนอย่างที่เกิดกับการบินไทย จึงสามารถลงทุนได้ในระยะยาว ทว่าหุ้นที่ลงมาเยอะอย่างสายการบินและโรงแรม หากนักลงทุนจะเล่นในธีม turnaround ก็จำเป็นต้องพิจารณาผลกระทบที่บริษัทได้รับจากวิกฤติที่ผ่านมาอย่างระมัดระวัง
มองว่าธุรกิจของ AOT ไม่ได้เป็นธุรกิจที่ซับซ้อน ผลประกอบการจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าปริมาณการเดินทางจะมีมากน้อยเพียงใด ส่วนการบริหารงานมองว่าแม้ประสิทธิภาพอาจจะไม่สูงเท่ากับบริษัทที่เอกชนเป็นเจ้าของเนื่องจากค่อนข้างมีความเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่ายังสามารถเติบโตได้อย่างดีเยี่ยมจนกลายเป็นบริษัทระดับต้น ๆ ของประเทศ
เมื่อมองไปในอนาคตเชื่อว่าโมเดลธุรกิจของ AOT ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากนี้มากนัก นอกจากที่จะมีการขยาย capacity แต่เมื่อมองที่ราคาหุ้นก็จะเห็นว่าไม่ได้ลงมามากนักจากความแข็งแกร่งของธุรกิจ หากจะมีปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นลงหลังจากนี้ก็คงจะเป็นการระบาดของโรคโควิด-19 อีกระลอก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ราคาหุ้น sideway ต่อไปอีกระยะใหญ่ ๆ และเงินที่ลงทุนไปก็อาจจะจมอยู่นาน แต่มองว่าปัจจัยที่มาจากผลขาดทุนของบริษัทจะไม่มีผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงจากนี้มากนัก สิ่งที่น่าติดตามหลังจากนี้คือความชัดเจนในการขยาย capacity ซึ่งอาจจะมีบริบทที่ต้องเกี่ยวข้องกับภาคการเมืองด้วย
สำหรับงบการเงินมองว่าส่วนที่ควรต้องพิจารณาคือหนี้สินรวมซึ่งมีการปรับตัวขึ้นจาก 30,526.90 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2563 ไปเป็น 78,734.46 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2564 อาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นและอาจทำให้กำไรสุทธิลดลงด้วย ดังนั้นหากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างช้า ๆ การฟื้นตัวของกำไรของ AOT ก็จะไม่ได้เร็วมากนัก หากจะให้กำไรของ AOT ฟื้นตัวได้ในระดับหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จำเป็นที่การเดินทางจะต้องฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นที่เกิดในสหรัฐ
สำหรับการลงทุนในหุ้น AOT ณ เวลานี้ แนะนำให้ลองพิจารณารายได้และกำไรของบริษัทในช่วงก่อนโควิดเพื่อหา baseline เมื่อนำมาประกอบกับแนวโน้มการเติบโตซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทประมาณ +25% ถึง +30% ก็จะทำให้คาดการณ์ได้ว่ากำไรน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท จากนั้นพิจารณาว่าค่า P/E ควรจะอยู่ที่เท่าไหร่โดยดูจากกราฟของค่า P/E ในอดีต โดยคาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40 เท่า ก็จะทำให้ได้มูลค่าตลาด (Market Cap.) ของหุ้น AOT ออกมาที่ 1,200,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่เกือบ 900,000 ล้านบาท แปลว่าหากเป็นไปตามที่คาดราคาหุ้นก็จะมี upside จากปัจจุบันประมาณ 33% นั่นเอง
สนใจสร้างพอร์ต #กองทุนรวม ผ่าน #FINNOMENA เลือกกองทุนได้จาก 22 บลจ.(กองภาษี 5 บลจ.) ไม่มีค่าบริการเพิ่ม โดยมีผม ทศพล สุวรรณสุต ใบอนุญาตจากกลต.เลขที่ 115000 เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว เพียงยืนยันตัวตนด้วย NDID และทำแบบประเมิน KYC ออนไลน์ อนุมัติใน 1 สัปดาห์ (กรุณากรอก Referral code: 115000) >>> https://link.finnomena.com/ifa?refcode=115000
ติดตามผ่านโซเชียลมีเดีย: https://linktr.ee/2fi_finance_fitness
"2Fi-รายวัน" ประจำวันที่ 2021.08.29 ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ ขอให้ทุกท่านมีการเงินดี มีสุขภาพดี และมีชีวิตที่ดี แล้วพบกันใหม่ครับ 😊
#การเงินส่วนบุคคล #ลงทุน #เศรษฐกิจ #กองทุนรวม #FINNOMENA #ฟินโนมีนา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา