ดีเบทของฮาเย็กกับเคนส์ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อฮาเย็กได้เขียนบทความวิจารณ์งานของเคนส์อย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน เคนส์ก็ได้เขียนโต้กลับฮาเย็กอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน โดยการดีเบทของปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ทั้งสองได้ดำเนินไป ทั้งผ่านบทความ ไปถึงจดหมายที่ทั้งคู่เขียน เพื่อตอบข้อโต้แย้งของกันและกัน และสิ้นสุดลงเมื่อเคนส์ได้เขียนจดหมายโต้ตอบฮาเย็กเพื่อขอบคุณที่ได้พยายามชี้แจงข้อสงสัยของตัวเองอยู่เรื่อย และขอจบการดีเบทแต่เพียงเท่านั้น เพราะเคนส์จะหันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการโต้เถียงด้านวิชาการ นั่นคือการผลักดันทางออกจากวิกฤติเศรษฐกิจในขณะนั้นนั่นเอง ซึ่งภายหลังก็ได้เกิดเป็นงานเขียนชื่อดังที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ The General Theory of Employment, Interest, and Money
1
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังจากนั้น ก็ยังมีการประชันความคิดกันอยู่เรื่อย ๆ ผ่านลูกศิษย์ลูกหาของปรมาจารย์ทั้งสอง มีการเขียนบทความเพื่อแย้งกันอยู่ตลอด แต่แล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญก็เกิดขึ้นในปี 1936 เมื่อหนังสือ The General Theory of Employment, Interest, and Money ได้ถูกตีพิมพ์และรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกได้ใช้แนวคิดของเคนส์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังเช่น อเมริกาที่มีการใช้นโยบาย New Deal ของประธานาธิบดี Roosevelt ซึ่งได้ทำให้ประเทศเหล่านี้ออกจากวิกฤติในที่สุด ส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Keynesian Revolution และฉันทามติเคนส์ (Keynesian Consensus) ขึ้น ซึ่งทำให้แนวคิดของเคนส์ได้กลายมาเป็นเสาหลักในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในช่วงราวครึ่งศตวรรษต่อมา
หลังจากนั้น ฮาเย็กก็ได้เก็บตัวเงียบไป และเขียนงานชื่อดังของเขาที่ชื่อ The Road to Serfdom ออกมาในปี 1944 เพื่อวิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจ ที่บทบาทของภาครัฐได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเขาได้บอกว่านโยบายเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ ที่ภาครัฐมีบทบาทมากเช่นนี้ ท้ายสุดแล้ว จะนำพาเราไปสู่สังคมอำนาจนิยมในที่สุด ดังเช่นในอิตาลี หรือเยอรมนี ที่พรรคอำนาจนิยมได้ขึ้นมามีอำนาจ จากที่ภาครัฐมีบทบาทในนโยบายเศรษฐกิจที่มากเกินไป
1
นอกจากนี้ ฮาเย็กยังได้ก่อตั้ง The Mont Perelin Society ซึ่งเป็นที่พบปะกันของนักเศรษฐศาสตร์ นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ ที่เชื่อในเรื่องของตลาดเสรี มุ่งค้านแนวคิด Big Government ร่วมกัน แต่ในช่วงแรกนั้น ก็ยังไม่ได้มีอิทธิพลมากนัก เนื่องจากสังคมยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Keynesian Consensus อยู่
ฮาเย็กก่อตั้ง The Mont Perelin Society ในทศวรรษ 1940 ซึ่งรวมคนที่เชื่อเรื่องของตลาดเสรี
📌 จุดจบของฉันทามติเคนส์...สู่การหวนคืนสู่แนวคิดตลาดเสรี (The Demise of Keynesian Consensus to the Return of Laissez-faire)
ทำให้รัฐบาลละทิ้งนโยบายเศรษฐกิจแบบเคนส์ที่เคยทำมา เป็นจุดสิ้นสุดของ Keynesian Consensus ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน และหันกลับไปพึ่งตลาดเสรีอีกครั้ง โดยส่วนสำคัญของเรื่องนี้ก็คือจาก The Mont Pelerin Society ซึ่งฮาเย็กได้ก่อตั้งมา ที่แม้ว่าจะไม่มีอิทธิพลในช่วงแรก แต่ในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้ผลิตลูกศิษย์ลูกหาต่างๆ ออกไปอยู่ตามมหาวิทยาลัย สื่อ สถาบันการเงิน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ตั้งแต่ Institute of Economic Affairs ในอังกฤษ The Heritage Foundation ในสหรัฐฯ ไปจนถึง IMF และธนาคารโลก
แนวคิดตลาดเสรีต่างๆ ที่ถูกริเริ่มโดยฮาเย็กและ The Mont Pelerin Society อย่างเช่นการลดกฎเกณฑ์ (Deregulation) การเปิดเสรีการค้าและการลงทุน (Liberalization) ได้ถูกนำไปใช้แพร่หลาย จนกระทั่งถูกนำไปบรรจุในฉันทามติวอชิงตัน (The Washington Consensus) ซึ่งใช้เป็นเงื่อนไขสำหรับประเทศที่ประสบวิกฤติเศรษฐกิจปฏิบัติตาม เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IMF และธนาคารโลก
จอห์น วิลเลียมสัน นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้ให้กำเนิด Washington Consensus