Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Itsmesarn
•
ติดตาม
2 ก.ย. 2021 เวลา 12:45 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Review: The Suicide Squad (Superhero / 2021) : เอาจริง ๆ ควรต้องยกให้เป็นอันดับ 1 บนจักรวาล DCEU ในตอนนี้เลย
เนื่องจากการที่เราอ่านคอมมิคอยู่บ้าง และเราเป็นคนที่ชอบคอนเซปของคอมมิค Task Force X (หรือ Suicide Squad) ที่ยกเรื่องของการตายของสมาชิกในทีมเป็นจุดเด่นพิเศษ เราจึงค่อนข้างคาดหวังมากขึ้นหลังจากที่ช่วงถ่ายทำ James Gunn ได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า The Suicide Squad มันจะต้องมีความ Suicide จริง ๆ ตัวละครทุกตัว มีสิทธิ์ที่จะตายได้หมด ไม่เว้นแม้แต่ Haley Quinn ก็ตาม ซึ่งนั่นมันยิ่งจุดประกายให้เรารู้สึกว่า เราเจอผู้กำกับที่เข้าใจคอนเซปของคอมมิค Task Force X แล้วจริง ๆ และมันต้องเจ๋งแน่ ๆ
The Suicide Squad (2021)
Task Force X มันควรที่จะต้องเป็นทีมที่พร้อมตายได้อย่างทุกคน และถ้าให้พูดตรง ๆ Version ตอนปี 2016 สำหรับเรามันแทบไม่มีความรู้สึกให้ลุ้น หรือรู้สึกว่ามันคือทีมที่จะต้องพลีชีพตามสถานการณ์เลยสักนิดเดียว แต่กลับกันใน Version ของ James Gunn นั้น มันต่างออกไปอย่างมาก เพียงแค่ช่วงเปิดเรื่อง บอกตรง ๆ ว่า เราเห็นได้ทันทีว่า James Gunn มีวิธีที่ชาญฉลาด และตลกร้ายเป็นอย่างมากในการเล่าช่วงเปิดเรื่อง ที่เป็นการตอกย้ำ Message และ Service แฟน ๆ คอมมิคว่า “ตัวละครทุกตัวในเรื่อง มันตายได้ทุกวินาที และทุกรูปแบบจากภารกิจจริง ๆ นะ”
การเล่าช่วงเปิดเรื่องเป็นอะไรที่ชาญฉลาดในการกำหนดทิศทางหนังมาก
มันคงไม่เป็นการสปอยเท่าไหร่ ถ้าเราต้องบอกว่าจะมีตัวละครที่ตายในหนังแน่นอน เพราะผู้กำกับเขาก็ออกมาบอกแบบนั้น เพราะถ้าไม่มีใครตายเลยแม้แต่ตัวประกอบ มันก็คงจะตอกย้ำคอนเซปหลักไม่ได้ แต่ความเหนือชั้นอีกขั้นของ James Gunn คือ การทำให้การตายของทุกตัวละคร มันโคตรที่จะน่าจดจำ แม้จะเป็นตัวประกอบเลเวลไหน หรือ บทมากน้อยเพียงใด เรากล้าบอกได้เลยว่าทุกคน!! “ย้ำว่าทุกคน!!!” น่าจดจำหมด (แค่นึกตามตอนพิมพ์บางตัวก็คือขำระหว่างพิมพ์แล้ว) ซึ่งแม้แต่ตัวประกอบ ที่โคตรจะประกอบแบบไม่เกี่ยวอะไรกับทีมเลยก็ยังน่าจดจำอ่ะ (ถ้าดูแล้วน่าจะรู้ว่าเราหมายถึงตัวไหน) ซึ่งนี่แหละคือหนึ่งในความเทพที่มันส่งผลมาตั้งแต่ 10 นาทีแรกของหนัง ไปยันจบเรื่อง
ในเรื่องทำให้เชื่อจริง ๆ ว่าตัวละครทุกตัวสามารถตายได้ แถมการตายก็น่าจดจำมาก
นอกจากคอนเซปของทีมพลีชีพที่ทำได้แข็งแรงมากนั้น James Gunn ก็ยังไม่ลืมที่จะยัดสิ่งที่ตัวเองถนัดปั้นที่สุดเอาไว้ในตัวหนัง ซึ่งนั่นก็คือเรื่องของ “มิตรภาพ และความเป็นครอบครัว” นั่นเอง (ครับ ความเป็นครอบครัวที่ไม่ได้จับยัดแบบตระกูล Fast) สิ่งเหล่านี้ จะถูกเล่าและปลูกเข้าไปให้เราได้รับรู้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งเรื่องโดย เราจะรับรู้และรู้สึกเข้าใจ รวมถึงเห็นอกเห็นใจตัวละครหลาย ๆ ตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และเมื่อการทำให้เรารับรู้เรื่องของตัวละครหนึ่งไปพร้อมกับตัวละครอื่นเรื่อย ๆ มันจึงทำให้เรายิ่งดู แล้วยิ่งเชื่อว่าทีมนี้ยิ่งค่อย ๆ ก้าวข้ามความสัมพันธ์เข้าหากันและกันไปสู่ความเป็นครอบครัวเรื่อย ๆ ไปจนจบเรื่อง และแน่นอนว่ามันทำให้เรารักทุกตัวละครในเรื่องทันที
เรื่องราวปูมหลังของตัวละครที่ทำให้เราอยากเอาใจช่วยพวกเขามากยิ่งขึ้น
ทีนี้ลองนำเอา 2 สิ่งที่เราได้บอกไปก่อนหน้านี้มาผนวกรวมกันสิครับ ทั้งความที่ตัวละครทุกคนสามารถตายได้ และความสัมพันธ์ของเรากับตัวละครที่ดันหลงรักเข้าไปแล้ว มันจะเป็นยังไง ใช่ครับ! ความลุ้นมันทวีคูณขึ้นเป็นเท่าตัวทันที ซึ่งมันเป็นความลุ้นในแบบที่หนัง Superhero ตัวไหนก็ไม่เคยให้เราได้เลย (แม้กระทั่ง Avengers Endgame ก็เถอะ) โดยนอกเหนือจากการสร้างความลุ้น และเชียร์ให้บรรดาตัวละครที่เรารัก (ซึ่งก็คือตัวหลักแทบทุกตัว) รอดจากภารกิจแล้ว มันยังทำให้เราอิ่มเอมใจในบางช่วงเวลาที่บรรดาตัวเอกทำบางอย่างสำเร็จด้วยเช่นกัน รวมถึงความสะเทือนใจกับเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับบรรดาตัวละครหลาย ๆ ตัวอีกด้วย ซึ่งมันก็เป็นสูตรแบบที่ James Gunn เคยใช้มาแล้วใน Guardians of the Galaxy 2 แต่จัดเต็มมากขึ้นกว่าเดิมในด้านอารมณ์ และใครก็ตามก็มีสิทธิ์ตายได้นั่นเอง
ความลุ้น และความอยากเอาใจช่วยตัวละครที่มากกว่าหนังฮีโร่เกือบทุกเรื่อง
ทั้งหมดนี้คือภาพรวม และความรู้สึกของหนังที่คุณจะได้รับชมใน The Suicide Squad เวอร์ชั่นนี้ แต่นอกจากจุดเด่น จุดชูโรงที่ได้บรรยายไปแล้ว มันยังมีจุดเด่นจุดอื่นอีกมากมายเต็มไปหมด อย่างเช่นฉากแอ๊คชั่น ที่แม้อาจจะไม่ได้สานต่อความดีงามของ Fight Choreography จาก Birds of Prey มา แต่ฉากแอ๊คชั่นก็มีรูปแบบที่เด่นชัดของแต่ละตัวละครกันไป หรือพูดง่าย ๆ ก็คือมีการแสดงให้เห็นความแต่ละตัวละครมีความสามารถที่แม้จะใกล้กัน แต่ดีเทลนั้นต่างกัน และแทบทุกคน ดูมีความจำเป็นในการบรรลุภารกิจจริง ๆ
ฉากแอ๊คชั่นที่อาจดูไม่โดดมาก แต่ยังมีความสนุกเปี่ยมล้นตลอดทั้งเรื่อง
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้นอกเหนือจากฉากแอ๊คชั่น ก็คือ “การเลือกใช้เพลงประกอบ” ที่แม้จะเป็นการใช้เพลงที่อาจไม่ได้คุ้นหูเป็นส่วนใหญ่ แต่ในส่วนนี้มันก็ติดหู และเข้ากับสถานการณ์เป็นอย่างมาก และนอกจากนี้มันยังช่วยบิวท์อารมณ์ของฉากแต่ล่ะฉากออกมาได้อย่างดีเยี่ยมมาก ๆ ซึ่งความจริงแล้ว James Gunn เป็นคนที่เก่งในเรื่องนี้มาก ๆ อยู่แล้ว โดยพิสูจน์ได้จาก Guardians of the Galaxy ทั้ง 2 ภาค ที่เพลงทุกเพลง กลับมาฮิตกลับมาปังกันหมด ณ ตอนที่หนังฉายจริง ๆ
หนึ่งในเพลงที่โคตรจะติดหู ตั้งแต่ Trailer ปล่อยออกมา
นอกเหนือจากคอนเซป บท ฉากแอ๊คชั่น และเพลงประกอบที่จัดจ้านแล้วนั้น อีกส่วนที่ต้องชมจริง ๆ ก็คือเรื่องของการแคสติ้งนักแสดงมารับบทแต่ล่ะคน ที่ค่อนข้างสัมพันธ์กับบทได้ดีเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ คือการที่แคสติ้งดาราแบบใช้เปลืองบ้าง ไม่เปลืองบ้าง (คำชม) กล่าวคือ บางคนอาจมีชื่อเป็นดาราใหญ่ ดาราดัง แต่ใครจะไปรู้ว่าบทมันอาจจะมาแค่นิดเดียวก็ได้ ฉะนั้นระวังให้ดีตอนดูล่ะ 55555555
อย่าเพิ่งเชื่อว่าดาราที่คุ้นหน้าจะอยู่ยาว 5555555
โดยภาพรวมนั้น เห็นได้ชัดเลยว่า Warner เรียนรู้จากความผิดพลาดได้เป็นอย่างดี สังเกตได้จากโทนหนังที่ค่อนข้าง Friendly กับคนทั่วไปมากขึ้น (แม้ส่วนตัวเราจะชอบโทนดาร์ก และซีเรียสแบบ Zack Snyder มากกว่า) รวมถึงการดูที่ตัวหนังที่รู้ได้เลยทันทีว่าเป็นหนังที่สมบูรณ์ไม่ได้ถูกแทรกแทรง หรือถูกตัดบางส่วนแบบเรื่องอื่น ๆ (ซึ่งสังเกตได้จากความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง ที่ไม่ค่อยมีจุดให้เราเอ๊ะตรงไหนเท่าไหร่) โดยทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Warner จริง ๆ ที่ยอมให้ James Gunn ได้ทำตามวิสัยทัศน์ของตัวเองแบบอิสระ 100% ไม่หวงตัวละคร และ ไม่ต้องกังวลในการผูกเรื่องไปเชื่อมจักรวาลให้วุ่นวาย ซึ่งทั้งหมดนี้ เมื่อมาผสมกับความเข้าใจคอนเซป และการปั้นคอนเซปอย่างแข็งแรงโดยมหาเทพอย่าง James Gunn สุดท้ายนี้ มันจึงออกมาเป็นหนึ่งในหนัง Superhero ที่ตรงกับอุดมคติที่เราอยากให้เป็นมากที่สุดเป็นเรื่องที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยทำมา
ปล. ในไทยตอนนี้ เอาจริง ๆ เราว่าคงอีกชาติกว่าจะได้ดูในโรงภาพยนตร์ สำหรับใครที่อดใจไม่ไหว แนะนำว่าให้มุด VPN เข้าสู่ US ไปสมัคร HBO MAX ในโปรโมชั่น $14.99 ต่อเดือนเน้อ (แพ๊คเล็กดูไม่ได้เน้อ) หรือไม่งั้นรออีกหน่อย เราว่าเดี๋ยวก็น่าจะใกล้ลง HBO GO และสำหรับที่ไทยหน่ะ 555555 แต่ส่วนตัวเราพูดตรง ๆ ว่าเสียดายมากที่ไม่ได้ดูเรื่องนี้แบบ first experience ในโรงภาพยนตร์ ฉะนั้นใครอดใจได้ก็อดใจไว้หนัก ๆ ก่อนเน้อ 555555
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย