10 ก.ย. 2021 เวลา 04:45 • ท่องเที่ยว
ความงามของทางรถไฟ แล้วไปสัมผัสหลังคาแห่งยุโรป @ Jungfrau
เมื่อเดินทางมาเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตที่ใครๆก็ต้องมาสัมผัส คือ ยอดเขา Jungfrau ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Top of Europe โดยมีสถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ด้านบน
ยอดเขา Jungfrau เป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Interlaken ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ .. Jungfrau เป็นยอดเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,158 เมตร และได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2007
คำว่า Jungfrau ในภาษาเยอรมันมีความหมายน่ารักๆว่า “สาวน้อย” คงจะเปรียบเทียบว่า ภูเขาเป็นสาวน้อยที่สวยงามจนใครๆก็หลงรัก
การเดินทางขึ้นไปสัมผัสกับ สาวน้อย หรือยอดเขา Jungfrau ได้นั้น นอกจากคนเก่งๆที่สามารถเดินและปันเขาสูงได้แล้ว นักท่องเที่ยวธรรมดาๆอย่างเราทำได้วิธีเดียวคือการนั่งรถไฟขึ้นไป ...โดยนักท่องเที่ยวสามารถที่จะขึ้นรถไฟจากเส้นทางหนึ่ง แล้วลงอีกเส้นทางหนึ่งก็ได้ เพื่อที่จะได้เห็นวิวสองข้างทางของทั้ง 2 เส้นทาง ใช้เวลาเดินทางไม่นานมากนัก
เส้นทางทั้งสอง คือ Lauterbrunnen และ Grindelwald ... ทั้งสองเส้นทางจะวิ่งผ่านหมู่บ้านและทุ่งหญ้า ค่อย ๆ ไต่ความสูงขึ้นไปจนถึงสถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ที่ความสูง 3,454 เมตร ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป
การเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาจุงเฟราก็สะดวกสบายมากค่ะ เริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Interlaken OST สามารถเลือกเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ เลี้ยวไปทางเมืองกรินเดลวาลด์ (Grindelwald) กับอีกเส้นจะเลี้ยวไปทางเมืองเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) และจะไปเจอกันที่สถานีไคลน์ไซเด็ก (Kleine Scheidegg) จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนไปนั่งรถไฟสีแดงซึ่งเป็นรถไฟที่วิ่งช้าที่สุดในโลก เพื่อเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟราที่สถานีสุดท้าย จุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป อยู่ที่ความสูง 3,454 เมตร
เราเลือกที่จะเดินทางจาก Lauterbrunnen .. ไกด์ของเราอธิบายเส้นทางและสถานีที่ต้องขึ้น-ลงไปต่อรถไฟขบวนอื่นให้ฟังอย่างละเอียด ทั้งขาไปและขากลับ ด้วยเหตุที่เราเลือกจะใช้เส้นทางที่ไม่ซ้ำกันในการขึ้น-ลง
จากสถานี Lauterbrunnen เรานั่งชมวิวมาเรื่อยๆ ... มีทัศนียภาพสวยๆของหมู่บ้านชนบทของสวิสที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูง และป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ผ่านสายตาเข้ามาเหมือนนั่งชมภาพยนต์
นักท่องเที่ยวจะต้องมาต่อรถไฟอีกสายที่สถานี Kleine Scheidegg เพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง .. ที่สถานี้นี้เป็นชุมทาง ก็จะมีผู้คนหนาตา
ทุกคนจะมาขึ้นรถไฟสีแดง จำง่าย แต่ต้องเข้าให่ถูกประตู เพราะจะมีการแยกกันระหว่างกรุ๊ปทัวร์ และนักท่องเที่ยวที่มาเอง .. เจ้าหน้าที่จะคอยดูและให้คำแนะนำค่ะ
รถไฟสายสีแดง ซึ่งเป็นรถไฟที่จะขึ้นไปที่ยอดเขา เป็นรถไฟที่วิ่งช้าที่สุดในโลก ...
พอรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวไต่ความชันของภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆ จะมองเห็นตัวสถานีที่เราเพิ่งจะจากมาเป็นมุมกว้าง มีภูเขาและหิมะขาวๆ เป็นฉากหลัง
เมื่อมองไปในมุมที่สูงขึ้นจะเห็นอุโมงค์รถไฟเป็นช่วงๆ บางช่วงอุโมงค์จะมีลักษณะเหมือนกับทางรถไฟเลียบผา ก่อสร้างให้มีหลังคา และจำด้านข้างเป็นช่องๆเหมือนหน้าต่างของอุโมงค์ ... จินตนาการได้ไม่ยากว่า ในช่วงที่ก่อสร้างคงมีความยากลำบากไม่น้อย
 
อากาศที่สถานีปลายหนาวมากๆ .. พอออกจากสถานีเราขอเก็บภาพกับป้ายไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต เราได้มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว
ในกรณีที่เรามีสัมภาระหลายๆชิ้น เราจะต้องเอาไปเก็บที่ Left Luggage Locker .. สำหรับกลุมเรา มีเฉพาะเป้สะพายหลัง ก็เดินเที่ยวไปยังจุดต่างๆได้เลย
ด้านบนนี้ มีสถานที่ที่เราสามารถเดินเที่ยวได้ทะลุกันหมด แต่จะเริ่มที่สถานที่ด้านใน หรือจะออกไปชมภูเขาหิมะก่อนก็ได้ ... เราเลือกที่จะเดินเที่ยวด้านในให้โอกาสร่างกายสร้างความเคยชินกับอุณหภูมิติดลบ และอากาศหนาวเย็นก่อน
การเดินเที่ยวไม่ยากค่ะ มีโบรชัวร์เป็นแผนที่ให้ศึกษาก่อนเดิน หรือเดินตามลูกศร “Tour” ไปได้เลย แล้วเดินต่อไปตามป้ายต่างที่เขาทำแนะนำเอาไว้แล้ว .. ไม่สับสนละไม่หลงทางแน่นอนค่ะ
Alphine Sensation อุโมงค์โลกอัลไพน์ โถงสวิสมหัศจรรย์ ... ทำเป็นลูกแก้ว Snow Globe ขนาดใหญ่ ด้านในแสดงวิถีชีวิต วัฒนธรรมและธรรมชาติของสวิส เหมือนโลกใบน้อยในลูกแก้ววิเศษ
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟสายนี้ จัดแสดงในอุโมงค์ยาว .. โซนนี้เราจะได้พบกับเรื่องราวการบุกเบิกการท่องเที่ยวยอดเขาจุงเฟราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งการสร้างทางรถไฟและอาคารบนเขาที่แสนยากลำบาก
Mr.Adolf Guyer Zeller นักพัฒนาธุรกิจชาวสวิสที่มีชื่อเสียง เป็นผู้บุกเบิกเส้นทางรถไฟสู่ยอดเขา Jungfrau .. เขามีไอเดียที่จะระเบิดภูเขาหินไอเกอร์และเมิ้นซ์ เพื่อสร้างรถไฟเฟืองสู่ยอดเขาจุงเฟรา เพื่อใช้ในการท่องเที่ยว และเขาได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่นเป็นอย่างดี
เส้นทางรถไฟสู่ยอดเขาจุงเฟราเริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี 1898 และเสร็จสิ้นเมื่อปี 1912 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ปี 1912 รวมระยะเวลาในการก่อสร้างนานถึง 16 ปี โดยใช้งบประมาณถึง 16 ล้านฟรังค์ ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของการประมาณการเริ่มต้น
ความงดงามของยอดเขาแห่งนี้ จากอดีตถึงปัจจุบัน .. เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกเดินทางมายังยอดเขาแห่งนี้มานานกว้าร้อยปี แล้วร่วมกว่า 100 กว่าปี
Ice Palace .. ถ้ำน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลาย ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นในปี 1930 ด้วยการขุดเจาะใต้ธารน้ำแข็งลึกลงไป 30 เมตร แต่ได้ตัดเจาะใหม่เป็นครั้งคราว เพราะเมื่อผู้คนเข้าไปชมมากๆ อุณหภูมิจากร่างกายของนักท่องเที่ยวได้ไปทำลายถ้ำบางส่วนอย่างช้าๆ และต้องปรับแต่งกันพอสมควรเมื่อเวลาผ่านไป
ภายในถ้ำ ... มีผลงานศิลปะเป็นน้ำแข็งแกะสลักอยู่ตามจุดต่างๆให้เรามาชม และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน รูปปั้นแกะสลักด้วยน้ำแข็งก้อนโตๆ ให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย บางก้อนสวยมาก ฝีมือการสลักน้ำแข็งเยี่ยมทีเดียว แต่ทำให้นึกถึงช่างแกะสลักน้ำแข็งจากเมืองไทยที่เคยกวาดรางวัลชนะเลิศครั้งแล้ว ครั้งเล่าในเทศกาลหิมะที่ซับโบโร .. หากได้รับเชิญให้ไปแกะสลักน้ำแข็ง ฝากฝีมือคนไทยไว้ที่นี่ คงจะดีไม่น้อย
... หากคุณเป็นแฟนละครทีวี และได้ชมละครในซีรีย์ชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายปวรรุจ นักการทูตมาดเท่ .. ในถ้ำนี้จะเป็นฉากที่คุณชายกับท่านหญิงรสา ไปโยนเหรียญกับน้ำแข็งแกะสลักกัน และเชื่อกันว่าถ้าใครโยนลงแล้วจะได้กลับมาที่นี่อีก .. หากดมาเที่ยว ก็อย่าลืมควงแขนคนข้างตัวไปโยนเหรียญกันนะคะ
ภาพจาก Internet
บริเวณจุดชมวิวที่ หอคอย Sphinx ณ ระดับความสูงถึง 3,571 เมตร ... หลังจากขึ้นลิฟท์ไปด้านบนสุด สามารถจะสามารถชมวิวผ่านห้องกระจกได้แบบพาโนรามิก 360 องศา มองเห็นยอดเขาอื่น ๆ เรียงรายสลับซับซ้อน ยอดเขาแต่ละแห่งต่างปกคลุมไปด้วยหิมะสวยงาม
ลานชมวิว Sphinne Viewpoint .. บนลานที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน งดงามตามแบบของบรรยากาศเขาสูงของยุโรปที่ตระการตา โดยมีทัศนียภาพของธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ รวมถึงเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่มากอีกแห่งหนึ่งในยุโรป
ในวันที่อากาศดีๆ เราจึงสามารถออกไปสัมผัสหิมะได้อย่างรื่นรมย์ .. แต่ แม้ว่าด้านบนนี้จะหนาวเย็นด้วยหิมะ แต่ยังมีแดดที่เมื่อส่องมากระทบกับหิมะแล้ว กลายเป็นแสงที่จัดจ้านสะท้องแสงขึ้นมาให้แสบตาเล่นอยู่ไม่น้อย ดังนั้นควรจะเตรียมแว่นตากันแดดมาด้วยนะคะ
.. ดูหิมะขาวกันแล้ว ก็ถ่ายภาพให้มีธงสวิสเป็นฉากหลังฟินๆ
นอกจากสถานที่ที่เล้าให้ฟังมาแล้ว ยังมีลาน Snow fun ให้ได้ออกไปเล่นกหิมะอย่างใกล้ชิด แต่เราไม่ได้ออกไป กลัวว่าจะลื่นจนเกิดอุบัติเหตุ
พิพิธภัณฑ์ช็อคโกแลต Lindt ... ประวัติของการผลิตซช็อคโกแลตยี่ห้อดังของประเทศสวิส ได้รับการจัดแสดงให้ได้ชมด้วยค่ะ พอเดินเข้ามา ก็จะมีโซนการแสดงขั้นตอนและวิธีการทำช็อคโกแลตให้ดู
โซนทำช็อคโกแลต ... กลิ่นนี้หอมฟุ้ง ยั่วยวนใจและกระตุ้นต่อมความอยากทานให้เด้งดึ๋งๆๆๆ ขึ้นมาทันทีค่ะ เลยต้องเข้าไปดูว่ามีอะไรกันบ้า
.. Selection ของช๊อกโฏแลตมีมากมาย สีสันและกลิ่นหอมๆ ทำให้น่าทานไปทุกอย่าง เราสามารถขอคำอธิบายหรือคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ได้ ก่อนจะเลือกซื้อ
จากจุดนี้ ก็เป็นอันว่า เราเดินชมทั่วแล้ว เท่าที่ตั้งเป้าหมายมา
.. แต่จะว่าไป แม้ว่ายอดเขา Jungfrau จะเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป และทุกคนที่มาเที่ยวสวิสจะต้องมาเยือน .. แต่ส่วนตัวแล้ว ความประทับใจยังน้อยกว่าการไปเดินเขาที่ Sternhorn หรือที่ Glindelwald First มาก
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา