10 ก.ย. 2021 เวลา 08:31 • ประวัติศาสตร์
พระยศ “กรมสมเด็จพระ”
พระยศ “กรมสมเด็จพระ”
หลายคนเมื่อศึกษาประวัติศาสตร์มักจะเคยได้ทราบพระนามพระราชวงศ์พระองค์ต่างๆ มาบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นมักจะมีสมเด็จพระบรมวงศ์บางพระองค์ที่มีกรม หรือก็คือทรงได้รับการทรงกรม เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และอีกหลายๆ พระองค์ ซึ่งการทรงกรมปรากฏมาตั้งแต่ครั้นกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยถือเป็นการสถาปนาพระอิสริยยศอย่างหนึ่งควบคู่กับพระสกุลยศ เช่น เลื่อนจากหม่อมเจ้าเป็นพระองค์เจ้า เลื่อนจากพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า แล้วแต่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าแผ่นดิน
ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงสถาปนาพระขนิษฐาคือเจ้าฟ้าศรีสุพรรณเป็นกรมหลวงโยธาทิพ พระราชธิดาคือเจ้าฟ้าสุดาวดีเป็นกรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งกรมนี้เปรียบเสมือนสังกัด หมวดหมู่ ให้รวมเข้าด้วยกันคล้ายๆ กับกรมต่างๆ ไว้สำหรับรับใช้พระราชวงศ์พระองค์นั้นตราบสิ้นพระชนม์ โดยในสมัยอยุธยาแบ่งพระอิสริยยศเจ้านายต่างกรมเป็น ๔ ชั้น คือ กรมพระ กรมหลวง กรมขุน และ กรมหมื่น
การจะเข้าใจคำว่า “กรมสมเด็จ” นั้นต้องแยกคำว่า สมเด็จ เจ้าฟ้าและกรมให้ออกก่อน ซึ่งพระยศเหล่านี้ราชสำนักสยามนำมาใช้ต่างเวลากัน
“สมเด็จ” นั้นใช้เรียกพระบรมราชวงศ์ชั้นสูง อันได้แก่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระชนนี สมเด็จพระอัครมเหสี สมเด็จเจ้าฟ้าผู้มีพระอิสริยยศอันสูงศักดิ์ นอกจากจะนำไปเรียกพระนามของสมเด็จพระบรมวงศ์แล้วยังนำไปเรียกภิกษุอันทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะด้วย โดยคำๆ นี้ล้วนมีความหมายว่าเป็นยอดบุคคลในชนิดนั้น และไม่ปรากฏว่าไทพวกอื่นใช้นอกจากราชสำนักกรุงศรีอยุธยา จึงสันนิษฐานว่ามาจากภาษาเขมร และปรากฏเรียกพระนามพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่รัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทอง
“เจ้าฟ้า” นั้นแสดงถึงความเป็นเทพเจ้าอันหมายถึงเทวดาผู้มีบุญจุติมายังมนุษยโลก เป็นคำในกลุ่มภาษาไท และชนชาติไทยังใช้มาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยพวกไทใหญ่นำมาเรียกเจ้าผู้ครองเมืองเป็นเวลานาน แม้กระทั่งเป็นประเทศราชของราชอาณาจักรพม่าก็ยังเรียกนายของตนว่าเจ้าฟ้า แต่กลับกันไทพวกอื่นซึ่งมีอาณาเขตเป็นของตนเอง ทั้งล้านนา ล้านช้าง สุโขทัยหรือกรุงศรีอยุธยาก็ไม่มีธรรมเนียมเจ้าฟ้าในกฎมณเฑียรบาลเลยแม้แต่น้อย แต่สาเหตุที่ในเวลาต่อมากรุงศรีอยุธยาได้รับตำแหน่งเจ้าฟ้ามา เนื่องจากในเวลาต่อมากรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของพระเจ้ากรุงหงสาวดีบุเรงนอง
โดยทรงแต่งตั้งพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองพระพิษณุโลกสองแคว เป็นเจ้าฟ้าสองแควเช่นเดียวกับเจ้าฟ้าประเทศราชไทใหญ่ทั้งหลาย โดยมีหลักฐานในทางไทยเช่นกัน เรียกพระนามของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่า “สมเด็จบรมบาทบงกชลักษณอัครบุริโสดม บรมหน่อนรา เจ้าฟ้านเรศ เชษฐาธิบดี” อันปรากฏเป็นสร้อยพระนามในยุคสมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งเมื่อถึงครั้นรัชกาลของสมเด็จพระเอกาทศรถนั้นพระองค์ก็ทรงไม่ได้เลิกใช้ธรรมเนียมเหล่านี้ แต่ทรงปรับที่จากเดิมเป็นสร้อยพระนามในพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงปรับลดลงให้ใช้สำหรับพระยศพระราชวงศ์ชั้นสูงแทน ทรงแต่งตั้งเจ้าฟ้าสุทัศน์เป็นพระองค์แรก ใช้สำหรับกรณีที่พระมารดาเป็นเจ้าไม่ได้เป็นพระสนมซึ่งเป็นสามัญชนทั่วไป
ถ้าเป็นพระราชบุตรในพระมเหสีเรียกว่า “สมเด็จเจ้าฟ้า” ถ้าไม่ใช่พระราชบุตรในพระมเหสีเรียก “เจ้าฟ้า” รวมถึงกรณีที่เจ้าฟ้าทรงสมรสกันเองและพระราชบุตรของเจ้าฟ้าก็เรียกว่าเจ้าฟ้าเช่นเดียวกับพระบิดาพระมารดา
“กรม” ดังที่กล่าวไปข้างต้นนั้น กรมแสดงถึงความเป็นหมวดหมู่ สังกัด เช่นเดียวกับกรมต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นพนักงานราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงแม้เจ้ากรมจะมียศสูงถึงเพียงใด แต่กรมนั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนชื่อ ปรากฏครั้งแรกในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยสาเหตุที่ต้องนำกรมมาไว้ในพระอิสริยยศ เช่น เจ้าฟ้า……กรม…… ไม่เหมือนกับขุนนางทั่วไปที่ชื่อกรมไม่ปรากฏในนามของเจ้ากรม นั้นเพราะกรมเหล่านี้เป็นกรมชั่วคราว สำหรับรับใช้เจ้านายตราบสิ้นพระชนม์ หากสิ้นพระชนม์กรมนั้นก็ยกเลิก แสดงถึงความเป็นเจ้าของ
ตัวอย่างเช่น เจ้าฟ้า (ของ) กรมหลวงโยธาทิพ เป็นต้น ไม่เหมือนกรมต่างๆ เช่น กรมสรรพากรที่เป็นกรมประจำราชการ ด้วยเหตุนี้ทำให้เจ้านายต้องมีกรมตามท้ายพระนามด้วย เป็นการเฉลิมพระอิสริยยศเป็นพิเศษกว่าเจ้านายที่ไม่มีกรม ซึ่งต้องเข้าใจว่ากรมนั้นหมายถึงองค์กรๆ หนึ่ง ไม่ใช่เป็นพระนามของเจ้านายพระองค์นั้น โดยในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีแต่กรมหลวง ในรัชสมัยของสมเด็จพระเพทราชามีกรมพระกับกรมขุน จนกระทั่งในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงมีกรมหมื่นเพิ่มขึ้นมาเป็น ๔ กรมจนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตกในปีพุทธศักราช ๒๓๑๐
โดยกรมทั้ง ๔ ขั้นนี้ก็มีลำดับศักดิ์ลดหลั่นกันไปตามพระอิสริยยศ คือ
- กรมพระ ได้แก่ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังหลัง กรมพระเทพามาตย์หรือสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
- กรมหลวง ได้แก่ พระมเหสี พระขนิษฐา พระราชธิดา
- กรมขุน ได้แก่ เจ้าฟ้า
- กรมหมื่น ได้แก่ พระองค์เจ้า
และข้าราชการที่เป็นเจ้ากรมนั้นจะมีบรรดาศักดิ์เท่ากับพระยศของเจ้านายที่ทรงกรม เช่น เจ้านายเป็นกรมหลวง เจ้ากรมก็ต้องเป็นหลวง เป็นต้น
ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิรัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนามหาจักรีบรมราชวงศ์ให้ปกครองผ่านพิภพแผ่นดินสยามแล้วนั้น พระองค์ทรงมีการปรับเปลี่ยนกรมต่างๆ ให้เป็นไปตามพระราชนิยมมากขึ้น เช่น เมื่อพระองค์ทรงขึ้นเสวยราชสมบัติในรัชกาลของพระองค์ก็ไม่มีสมเด็จพระบรมราชชนนี เพราะทรงเสด็จสวรรคตไปก่อนหน้านี้แล้ว พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนาสมเด็จพระพี่นางทั้งสองเป็นกรมพระ เสมอสมเด็จกรมพระเทพามาตย์ และรัชกาลที่ ๑ ทรงไม่ได้แต่งตั้งพระมเหสีเป็นกรมหลวงเหมือนแต่ก่อน
ครั้นถึงรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒ ทรงสถาปนาพระราชมารดาเป็นกรมพระอมรินทรามาตย์ เสมอกรมพระเทพามาตย์
เมื่อรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาพระราชมารดาเป็นกรมพระศรีสุลาไลย เสมอกรมพระเทพามาตย์ และพระองค์ทรงโปรดให้เรียกพระอิสริยยศของพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งมีพระชันษาอ่อนกว่าพระองค์โดยมากว่า “พระเจ้าอาว์เธอ” ซึ่งการเรียกพระอิสริยยศแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อนในธรรมเนียมพระราชสำนัก
จนถึงรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชดำริจะจัดการพระยศเจ้านายใหม่ ทรงสถาปนากรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงพระราชทานบวรราชาภิเษกแทนที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นพิเศษเพียงพระองค์เดียว ส่วนพระเจ้าอาว์เธอทรงโปรดให้เรียกเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กับพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดให้เรียกว่าพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ
นอกจากนี้ยังทรงสถาปนากรมสมเด็จพระให้เป็นกรมชั้นสูงสุด คือ ถวายพระนามพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชชนนีเป็น “กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์” พระองค์หนึ่ง ถวายมหาสมณุตมาภิเษกเลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ซึ่งทรงผนวชอยู่เป็น “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส” พระองค์ทรงเลื่อนพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนเดชาดิศรเป็นกรมสมเด็จพระเดชาดิศร ดังที่กล่าวว่า “เลื่อนเป็น กรมสมเด็จพระเดชาดิศร เทพยนิกรปิยานุรักษ์ บวรศักดิพิเศษ บรมเชษฐวราธิวงศ พงศานุพงศประดิษฐา สุนทรปรีชานุภาพ ศุภกาพยปฏิภาณ สุตไพศาลอรรถธรรมศาสตร ธรรมิกนารถบพิตร เจ้ากรมเป็นพระยา” ส่วนอีก ๒ พระองค์เป็นกรมพระแต่ในพระสุพรรณบัฏโปรดให้เรียกเป็นกรมสมเด็จพระเพื่อถวายพระเกียรติเช่นกัน
โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงมีพระราชดำริว่าถ้านำสมเด็จนำหน้าพระนามจะเหมือนสมเด็จพระราชาคณะ จึงทรงมีพระราชดำริให้นำกรมไปไว้ข้างหลัง ทำให้พระอิสริยยศเจ้านายทั้งหมดในช่วงก่อนหน้า ใช้พระอิสริยยศกรมสมเด็จทั้งหมด ซึ่งปรากฏในพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องเจ้าต่างกรมว่า “แต่กรมนำหน้าสมเด็จ ไม่สนิทเหมือนพระบาทนำสมเด็จ กรมนำเข้าข้างหน้าต้องเข้าใจว่า เจ้าองค์นั้นพระนามเหมือนเจ้ากรม ถ้าเอากรมต่อท้ายสมเด็จตามแบบเก่า ได้ความว่าเจ้าองค์นั้นเป็นสมเด็จ กรมที่ต่อข้างท้ายนั้นเป็นชื่อของเจ้ากรม สำเร็จรูปเป็นเนื้อความว่า “สมเด็จของกรมซึ่งพระปรมานุชิตเป็นเจ้ากรม” เรียกสั้นเป็นสมเด็จกรมพระปรมานุชิต เมื่อมีกรมอยู่ข้างท้ายสมเด็จเช่นนี้ จะเหมือนสมเด็จพระราชาคณะที่ไหนได้
ส่วนกรมพระที่ทิ้งกรมข้างหน้าเสียนั้นผิดแท้ ไม่ทราบว่าเหตุผลอย่างไร จะเป็นด้วยสั้นแลง่าย เคยได้ยินที่สุดจนเจ้านายในกรมนั้นเอง เช่นพระองค์เจ้าชิดเชื้อพงษ์ หม่อมเจ้ายินดี ก็มักจะเรียก ว่าพระพิพิธ พระองค์เจ้าสิงหนาท แลหม่อมเจ้าลมุน ก็เรียกพระพิทักษ์ เว้นไว้แต่ถ้าพูดกันมากๆ จึงจะเรียกแต่ว่าในกรม เหมือนหม่อมเจ้าทั้งปวงเรียกบิดา ข้อที่หลงไปเรียกชื่อเจ้ากรมเป็นเจ้า เช่นพระพิพิธ พระพิทักษ์นี้ เป็นหลงอย่างเอก
พระราชบัญญัติที่ได้ยกมากล่าวนี้ ไม่บัญญัติไปถึงพระนามสมเด็จพระพันปีหลวงก็จริง แต่เมื่อบัญญัติลงว่า เจ้านายอันเป็นสมเด็จจำจะต้องมีกรมนำ จึงจะผิดกับสมเด็จพระราชาคณะเช่นนั้นแล้ว ก็ลามมาถึงพระนามสมเด็จพระพันปีหลวง กลายเป็นกรมสมเด็จพระอมรินทร์ กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย ตลอดจนกรมสมเด็จพระเทพศิรินทร์ ก็เป็นเช่นนั้นด้วย จนสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งเรื่องที่กล่าวอยู่บัดนี้ อันเป็นเจ้าฟ้าทั้ง ๒ พระองค์ ก็ต้องเลิกเจ้าฟ้า เติมกรมนำหน้าสมเด็จ เป็นกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ไปด้วย
แต่ครั้นมาในชั้นหลัง จะทรงระแวงขึ้นมา ว่าสมเด็จพระบรมราชชนนี ไปเหมือนกันเข้ากับกรมสมเด็จต่างๆ ฤๅอย่างไร จะถวายเทศนาโปรดให้หยอดท้าย เช่น กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ สมเด็จพระบรมราชชนนี พระที่ลืมหยอดท้ายเช่นนี้ต้องถูกลงจากธรรมาสน์ไปก็มี แต่ไม่ได้เติมในฉลากสดับปกรณ์ การจึงได้เป็นแบบอย่างมาจนทุกวันนี้”
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงจัดระเบียบเกี่ยวกับพระอิสริยยศต่างๆ เสียใหม่ โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดระเบียบใหม่ซึ่งขัดกับธรรมเนียมเก่า คือ
๑.) ทรงกำหนดให้กรมพระนั้นรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ที่มีพระชันษามากกว่าพระเจ้าแผ่นดินก็อาจเป็นกรมพระได้ จากแต่เดิมสงวนไว้แต่สมเด็จพระมหาอุปราช สมเด็จพระพันปีหลวงและกรมพระราชวังหลังเท่านั้น ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีพระชนมายุอ่อนกว่าพระเจ้าแผ่นดินก็อาจจะเป็นกรมหลวงได้
๒.) ทรงขยายความหมายของคำว่าสมเด็จกว้างขึ้น จากแต่เดิมหมายถึงเจ้าฟ้า แต่ทรงขยายให้คำว่าสมเด็จกว้างขึ้นเป็น ๓ ความหมาย อันหนึ่งหมายถึงเจ้าฟ้า อันหนึ่งหมายถึงกรมพระชั้นพิเศษซึ่งไม่ใช่เจ้าฟ้าอย่างหนึ่ง และพระยศในพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าฟ้าอย่างหนึ่ง เช่น สมเด็จกรมพระเทพสุดาวดี กรมสมเด็จพระเดชาดิศร สมเด็จพระรูปศิริโสภาค ทั้ง ๓ นี้เป็นสมเด็จแต่มีความหมายต่างกัน ซึ่งหลายๆ คนมักจะสับสน เนื่องจากส่วนใหญ่มักอธิบายตามความสะดวก จึงเรียกพระบรมวงศ์ชั้นสูงที่มีสมเด็จทั้งหลายว่า สมเด็จพระเทพสุดาวดี สมเด็จพระเดชาดิศร สมเด็จพระรูปฯ ไปเลย ซึ่งมันผิดและทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิด
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อทรงขึ้นครองราชย์แล้วทรงยกพระองค์เจ้าละม่อม เป็นกรมพระสุดารัตนราชประยูร จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๑๖ ทรงแต่งตั้งพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมพระสุดารัตนราชประยูร เป็นกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์เป็นกรมพระ (ในเวลาต่อมาเป็นกรมสมเด็จพระ)
- กรมหลวงเทเวศวัชรินท เป็นกรมพระ
- กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ที่ทรงเป็นพระภิกษุ เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ (ต่อมาทรงถวายสมณุตมาภิเษก เป็นกรมสมเด็จพระ)
แต่การใช้อิสริยยศกรมสมเด็จพระนั้น ก็มีขัดข้องอยู่พอสมควรเช่นกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีลายพระหัตถ์ว่า
“ตัวอย่างความลำบากซึ่งเคยอึดอัดใจอย่างยิ่ง ได้เกิดขึ้นเมื่อครั้งกรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ ท่านเป็นกรมพระอยู่แล้ว แต่เพื่อจะยกย่องให้สูง เช่นสมเด็จพระปรมานุชิต ฤๅสมเด็จพระเดชา แต่พระองค์ท่านเป็นเจ้าฟ้า เป็นสมเด็จอยู่ในคำนำพระนามเดิมแล้ว แลตั้งเป็นกรมสมเด็จอีกซ้ำหนึ่ง สมเด็จเดิมทิ้งเสียก็ไม่ได้ สมเด็จใหม่ไม่เติมเข้าก็ไม่สำเร็จกิจการเลื่อนกรม จึงต้องลงทั้งสองอย่าง กลายเป็น “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์” สมเด็จถึงสองหนเผยิบผยาบเต็มที”
ด้วยเหตุนี้จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดการกรมเสียใหม่ ตามอย่างจดหมายเหตุของกรมหลวงนรินทรเทวี
ซึ่งในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการปฏิรูปการปกครองให้คล้ายตามแบบตะวันตกมากขึ้น จากแต่เดิมที่เจ้านายย่อมมีข้า มีการปลดปล่อยคนต่างๆ ไปปกครองเทศาภิบาลตามท้องที่ ชายฉกรรจ์ต้องเกณฑ์ทหาร แทนที่การขึ้นทะเบียนเป็นเลกอย่างแต่ก่อน ทั้งยังเลิกกรมของเจ้านายทั้งหมด เหลือเพียงแต่กรมที่ติดไว้ตรงพระนาม ไม่มีตัวตนของเจ้ากรม ปลัดกรรม สมุห์บัญชีอย่างแต่ก่อน จึงนับว่าเลิกกรมเจ้านายตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๓
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง คือทรงให้สมเด็จพระบรมราชชนนีซึ่งเป็นกรมสมเด็จพระ มาเป็นสมเด็จพระแทน และเปลี่ยนกรมสมเด็จพระเป็นสมเด็จ…...กรมพระยา…...แทน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“การที่แก้ยศ กรมสมเด็จพระ เป็น สมเด็จฯ กรมพระยา นั้น เกิดแต่ต้นรัชกาลที่ ๖ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะถวายมหาสมณุตมาภิเษกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส พระอุปัชฌาย์ เป็นสมเด็จพระมหาสังฆปรินายก ตัวอย่างเจ้านายที่ได้รับมหาสมณุตมาภิเษกมาแต่ก่อนเป็น “กรมสมเด็จพระ” เหมือนกันทั้ง ๒ พระองค์ แต่ผิดกันที่ยศเจ้ากรมของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ เป็นพระ เจ้ากรมของกรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระยา ปัญหาเรื่องกรมพระกับกรมพระยาเกิดขึ้นด้วยยศเจ้ากรมเป็นพระยาไม่ตรงกับกรมสมเด็จพระ
เหมือนเช่นกรมพระ กรมหลวง เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสปรึกษากับกรมหลวงวชิรญาณฯ ทรงกำหนดชั้นกรมเจ้านายให้เป็นระเบียบตรงกับชั้นยศขุนนางซึ่งเป็นเจ้ากรมคงตามแบบเดิมตั้งแต่กรมหมื่นขึ้นไปจนกรมพระ ต่อนั้นทรงพระราชดำริจะให้มี “กรมพระยา” (ไม่มีคำสมเด็จ) ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง และแก้ยศกรมสมเด็จแบบเดิมเป็น “สมเด็จกรมพระยา” เทียบเท่าชั้นสมเด็จเจ้าพระยาทางยศขุนนาง อันนี้เป็นพระเค้าพระราชดำริ
มีปัญหาต่อไปว่าคำ “สมเด็จกรมพระยา” จะเอาเข้าพระนามตรงไหน จะเป็น “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ สมเด็จกรมพระยา” หรือ “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา” สมเด็จพระมหาสมณะทรงเห็นควรเป็นอย่างข้างหลัง และทรงพระดำริต่อไปว่า สมเด็จเจ้าพระยาได้เครื่องยศและมีกรมทนายเหมือนอย่างเจ้าต่างกรมฉันใด สมเด็จกรมพระยา (ที่มิได้เป็นเจ้าฟ้า) ก็ควรจะมีศักดิ์คล้ายเจ้าฟ้า (เคยได้ยินคำตรัสว่า “เจ้าฟ้ายก” เปรียบเช่นพระราชาคณะยก)
เพราะฉะนั้นตามประเพณีเดิมพระองค์เจ้าต่างกรมทรงศักดินา ๑๕๐๐๐ เท่ากันทุกชั้น จึงเพิ่มศักดินาสมเด็จกรมพระยาเป็น ๓๕๐๐๐ ต่ำกว่าศักดินาเจ้าฟ้าต่างกรม ๕๐๐๐ และได้พระราชทานเครื่องยศลงยาราชาวดีเหมือนเจ้าฟ้า เมื่อเอาคำ “สมเด็จ” มาตั้งหน้าพระนามกรมพระยาเหมือนอย่างเจ้าฟ้า ก็ต้องแก้ทางระเบียบพระนามเจ้าฟ้าให้ผิดกัน จึงเอาคำ “เจ้าฟ้า” ลงไว้ข้างหน้านามกรม เช่นว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช ฉะนี้ ให้ผิดกับสมเด็จกรมพระยาที่มิได้เป็นเจ้าฟ้า”
ทำให้ปัญหากรมสมเด็จพระที่มักจะสับสนกับพระนามของสมเด็จพระบรมวงศ์ชั้นสูงจึงหมดไป และทรงแก้พระนามของเจ้าฟ้าที่เป็นกรมพระยาใหม่ให้แตกต่างจากพระองค์เจ้าที่เป็นกรมพระยา คือเติมคำว่าเจ้าฟ้าไปในพระนาม เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งมีคำว่าเจ้าฟ้าหน้ากรม ส่วนพระองค์เจ้าที่ทรงกรมขั้นสูงสุดเป็นกรมพระยานั้นก็เป็นดังเช่นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นต้น เพื่อไม่ให้สับสนเหมือนแต่ก่อนที่เรียกกรมสมเด็จพระกันหมด ทำให้แยกระหว่างเจ้าฟ้า พระองค์เจ้าไม่ออกและทำให้ความเป็นเจ้าฟ้าหายไป
จนกระทั่งในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ทรงยกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์เป็นสยามบรมราชกุมารี (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี) ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในกรุงรัตนโกสินทร์โดยเป็นพระอิสริยยศที่เทียบเท่าราชกุมารี ทั้งยังทรงพระราชทานสัปตปฎลเศวตฉัตรเสมอสมเด็จพระ
จนกระทั่งรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ไม่เคยมีมาก่อน และทรงสถาปนาพระอิสริยยศให้ยิ่งขึ้นโดยเป็นกรมสมเด็จพระ ซึ่งไม่ใช่กรมสมเด็จแบบเจ้าขุนมูลนายในอดีต เพราะพระอิสริยยศของพระองค์นั้นสูงกว่าอยู่แล้ว และยังทรงได้รับเป็นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าซึ่งก็ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน
รายการอ้างอิง
(๑) จุลจอมเกล้า, พระบาทสมเด็จพระ. ๒๓๙๖-๒๔๔๒. ประมวลพระราชนิพนธ์เบ็ดเตล็ด ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๗.
(๒) สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔.
(๓) ย้อนต้นกำเนิด ‘กรมสมเด็จพระ’ ในประวัติศาสตร์ราชจักรีวงศ์ แรกมียุค ร.4, https://www.matichon.co.th/court-news/news_1480663
(๔) วิพากษ์ประวัติศาสตร์, กรมสมเด็จ, https://m.facebook.com/WipakHistory/posts/2261748543888603
(๕) ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑-๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์. กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, ๒๕๕๕
(๖) ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า ๑ เล่ม ๙๔ ตอน ๑๓๑ ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๐
หนังสือเพิ่มเติม
นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. --กรุงเทพฯ: มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, ๒๕๕๔.
บทความของวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔
โฆษณา