13 ก.ย. 2021 เวลา 07:20 • ปรัชญา
"วิธีรับมือกับความเครียดความกังวล เบื้องต้นถึงที่สุด"
" ... ความรู้สึกตัว
ก็คือความรู้สึกของร่างกาย และจิตใจ
ปกติความรู้สึกตัวนี้ มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
แล้วทำไมความรู้สึกตัวจึงหายไป ?
เพลินอยู่กับความคิด
ภาษาพระท่านเรียกว่าเกิด นันทิ
ความเพลินในอารมณ์
คนสมัยนี้เพลินอยู่กับความคิด
เรียกว่าจมอยู่กับความคิด
สิ่งที่ตามมาก็คือก่อให้เกิดความเร่าร้อน
เกิดความเครียด เกิดความกังวล
เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความโกรธ
เกิดความหงุดหงิด
เกิดความพยายาท อาฆาตมาดร้าย
พอพบกับสิ่งพลัดพราก
ก็เกิดความเศร้าโศกเสียใจ พิไรรำพัน
น้อยเนื้อต่ำใจ เศร้าโศกเสียใจ
อาการเหล่านี้มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์
บางคนเรื่องมันผ่านไปแล้ว
ก็เก็บมาคิดอยู่นั่นแหละ
เคยเป็นมั้ย จมอยู่กับอดีต
บางเรื่องมันผ่านไปแล้ว
แทนที่จะปล่อยผ่าน มันก็เก็บ
บางคนนี้สูญเสีย เสียใจร้องไห้
เป็นเดือน เป็นปี บางทีหลายปีเลยก็ยังเศร้า
ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์มันก็ผ่านไปแล้ว
เคยเป็นมั้ย ?
หรือบางเรื่องมันยังไม่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
ก็คิด กังวลไปต่าง ๆ นานา
เคยเป็นมั้ย ?
บางทีคิดมาก ๆ นอนไม่หลับ
ต้องพึ่งยานอนหลับบ้าง
โดยเฉพาะเรื่องชาวบ้าน ใช่มั้ย ?
คิดมั้ย เรื่องชาวบ้าน ?
คนนู้นอย่างนี้ คนนี้อย่างนี้
มันคิด มันจมอยู่กับโลกของความคิดปรุงแต่ง
เราอาจจะคิดว่า เครียดมาก ๆ เราก็ไปเที่ยว
ไปรีแลกซ์ผ่อนคลายก็ได้
แต่เราสามารถทำแบบนั้นได้ตลอดเวลาหรือไม่ ?
มันทำไม่ได้
ความเครียด ความกังวลสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แล้วเราจะรับมือกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ยังไง
ความรู้สึกตัว คือคำตอบ
ความรู้สึกตัว
จะทำให้หลุดออกจากโลกแห่งความคิดปรุงแต่ง
หลุดออกจากอารมณ์ต่าง ๆ
3
พอรู้สึกตัวเป็นยังไง
หลุดออกจากความคิดมั้ย ?
นี่คือวิธีออกจากทุกข์เบื้องต้น
ออกจากเรื่องของความปรุงแต่ง
ภาษาพระท่านเรียกว่า ละนันทิ จิตหลุดพ้น
จะละนันทิได้อย่างไร
ก็ด้วยความรู้สึกตัว
ขณะที่รู้สึกตัวขึ้นมา
มันก็จะหลุดจากความเพลินในอารมณ์
กระบวนการจิตส่งออกก็จะถูกละออกไป
ใหม่ ๆ มันรู้สึกตัว
เดี๋ยวจิตมันก็ฟุ้งไปละ เพ้อไป
นึกได้ก็ทำ รู้สึกตัวขึ้นมาใหม่
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
ผู้ที่เจริญอานาปานสติ
มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก
แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ก็ไม่ว่างจากฌาน
ทำตามคำสอนของพระศาสดา
ไม่ฉันข้าวของชาวแว่นแคว้นเสียเปล่า
จะกล่าวไปใยถึงผู้มากด้วยอานาปานสติ
วันนึงรู้สึกตัวสักครั้งนึง
พระองค์ก็ทรงสรรเสริญ
ทำได้มั้ย วันนึงรู้สึกตัวสักครั้งนึง
ห้าครั้งล่ะ ทำได้มั้ย ?
สิบครั้งล่ะ ? ค่อย ๆ เพิ่ม ๆ ๆ ๆ
ตื่นมา รู้สึกตัว
ขยับตัว รู้สึกตัว
ค่อย ๆ เพิ่ม
พับผ้า รู้สึกตัว
แปรงฟัน รู้สึกตัวได้มั้ย
อาบน้ำล่ะ ?
อาบน้ำนี้อุปกรณ์ดีมากเลย
น้ำร้อน น้ำเย็น รู้สึกตัวง่าย ๆ เลย
ขับถ่าย รู้สึกตัว
ทำอาหาร รู้สึกตัวได้มั้ย
หรือว่าปกติไม่ได้ทำ
ทานก็ได้ คงต้องทาน
ถึงเราไม่ทำ เราก็ต้องทาน
ทาน รู้สึกตัวได้มั้ย ?
รู้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็ได้
ทานกาแฟล่ะ รู้สึกตัวได้มั้ย
เช้า ออกกำลังกาย รู้สึกตัวได้มั้ย
เดิน วิ่ง ฝึกโยคะ ฝึกไทชิ
สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติได้
แล้วก็ช่วยในเรื่องของสมดุล
ร่างกาย จิตใจด้วย
ปลุกพลังชีวิตขึ้นมา
ทำให้เรามีพลังที่จะดำเนินชีวิตสืบต่อไป
ได้อย่างมีความสุข
พลังแห่งการตื่นรู้
ว่ายน้ำล่ะ รู้สึกตัวได้มั้ย ?
อุปกรณ์นี้ดีมากเลย ใครที่ชอบออกกำลังกาย
ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์การเจริญสติ
ไม่ใช่หมายความว่าเราต้องมานั่งสมาธิเท่านั้น
ถึงจะได้ฝึกสติ
ในชีวิตประจำวันได้มั้ย ?
อุปกรณ์ก็คือ ชีวิตประจำวันของเรานี้เอง
เราจะนั่งสมาธิ หรือดำเนินชีวิตปกติก็ตาม
ก็รู้สึกตัวได้
เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รู้สึกตัวได้มั้ย ถีบจักรยาน
รู้สึกตัวได้
ออกกำลังกาย เล่นเวจ เทรนนิ่ง ก็รู้สึกตัวได้
ขับรถล่ะ รู้สึกตัวได้มั้ย
ได้ ขับรถก็รู้สึกตัวได้
เคาะนิ้ว รู้สึกตัวได้มั้ย
เล่นดนตรี รู้สึกตัวได้มั้ย ได้
ถ้าเราเข้าใจวิถีของการพัฒนาสติ
อุปกรณ์การฝึกก็คือชีวิตของเรานี่แหละ ตัวเราเอง
จากชีวิตที่มันเพลินอยู่กับความคิด
มาเป็นชีวิตที่มันเกิดความรู้สึกตัวอยู่
รู้เนื้อ รู้ตัวอยู่
มันก็จะเกิดชีวิตที่ตื่นรู้ขึ้นมา
...
ใช้วิถีชีวิตประจำวันของเรา
ในการสร้างสติ สร้างความรู้สึกตัวขึ้นมา
ทำการทำงาน ก็รู้เนื้อรู้ตัวอยู่
เดินช้อปปิ้ง รู้สึกตัวได้มั้ย
ไหลอย่างเดียวเลยเนอะ ส่งออกกระจาย
รู้บ้าง จิตมันไหลออกไปแล้ว
ก็รู้สึกตัวขึ้นมา อาศัยชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ
ไม่ใช่เรามองภาพการปฏิบัติธรรม
เราต้องไปนั่งสมาธิ เดินจงกลม
ถือศีล ๘ เข้าวัดเท่านั้น
อุปกรณ์ที่แท้จริง ก็คือชีวิตของเรานี่เอง
แต่เปลี่ยนจากชีวิตที่มันฟุ้งไปกับอารมณ์ต่าง ๆ
เป็นสร้างนิสัยแห่งความรู้สึกตัว
มันก็จะเกิดความตื่นรู้ขึ้นมาโดยธรรมชาติ
เมล็ดพันธ์ุแห่งพุทธะ
ก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ๆ
จนเกิดความตื่นรู้ขึ้นมา
นอนหลับพักผ่อน
ก็หลับไปกับความรู้สึกตัว
เราไม่ได้ฝึกอิริยาบถนอนกันเลย
ตอนนอนทำความรู้สึกตัวกันมั้ย ?
ถ้าหลับไปกับความรู้สึกตัวนะ
คลื่นสมองมันจะเป็นคลื่นที่ประณีต
เวลาเข้าสมาธิ มันเป็นคลื่นที่ดี
แล้วการหลับพักผ่อนของเรามันจะมีประสิทธิภาพที่สุด
เป็นคลื่นสมองที่ดี
แล้วช่วงที่เราหลับนี้ พลังของความรู้สึกตัว
มันจะปรับสมดุลในร่างกาย
มันทำให้เรามีพลังชีวิต ในการฟื้นฟูซ่อมแซมตัวเราเอง
สังเกตง่าย ๆ พอตื่นมา
เราจะรู้สึกถึงความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
ถึงบางทีเราพักผ่อนน้อย
แต่ตื่นมามันก็สดชื่น ไม่เพลีย
มันผิดกับการที่เราหลับไปกับความฟุ้งซ่าน
บางทีเรานอนมาก ตื่นมาก็ยังเพลียอยู่ ไม่พอ
แต่พอเราหลับแบบมีคุณภาพ
คือหลับแบบมีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ตื่นขึ้นมา สดชื่น กระปรี้กระเปร่า
มันเป็นการนอนที่มีประสิทธิภาพ
ฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกตัวมันจะเข้ามา
เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา
ตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งหลับไป
ก็จะเกิดความตื่นรู้ขึ้นมา
พอเกิดความตื่นรู้ขึ้นมา
เราจะพบเลยว่า ความทุกข์ในชีวิตของเรา
มันลดน้อยลง ๆ ๆ ๆ
จากที่เคยทุกข์ เคยวุ่นวายใจ
เคยเกิดความเครียด ความโกรธ
ความเศร้าโศกเสียใจ
สิ่งเหล่านี้ มันลดน้อยลง ๆ ๆ จนหายไป
จิตใจกลับมีความมั่นคง
มีความสุข มีความเบา มีความสงบ
มีความใสเกิดขึ้นมาแทน
มันมีความสุขที่มันอิ่ม ปราณีต ๆ ๆ
ความสุขแบบนี้ ทรัพย์สินเงินทองก็ซื้อไม่ได้
ปราณีตกว่ามาก
เราจะมีเงินร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน
เราก็พบไม่ได้ ซื้อไม่ได้
แต่ว่าความรู้สึกตัว
จะทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิตเราได้
ฝึกไปมาก ๆ เข้า
มันก็สุข ปราณีตขึ้นเรื่อย ๆ
เกิดความตื่นรู้ เบิกบากขึ้นมา
มีความสุขเบิกบาน
อยู่ที่ไหนเราก็มีความสุข
ก็จะเข้าสู่วิปัสสนาญาน
เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงได้
เมื่อสามารถดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาน
สรรพสิ่งก็จะเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
รูปกายก็แตกดับทั่วทั้งตัว
จิตก็เกิดดับ เกิดแล้วก็ดับ
ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะแต่สิ่งที่แตกดับ
ยุบยับเต็มไปหมดเลย
รูปนาม ขันธ์ ๕
เราจะเริ่มเข้าใจสภาวะที่พระพุทธองค์ทรงพูดถึงว่า
รูปแตกดับประดุจฟองน้ำ
เวทนา ความรู้สึกแตกดับประดุจพยับแดด
มันเป็นสภาวะแบบนั้นในวิปัสสนาญาน
เมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาน
เห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริง
สิ่งต่าง ๆ เป็นเพียงสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
มันหาสาระแก่นสารที่แท้จริงไม่ได้เลย
มันจะเกิดปัญญาญาน
รู้แจ้งแห่งความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต
จิตมันก็จะคลายจากอุปาทาน จากความยึดมั่นถือมั่น
สามารถวางจากขันธ์ทั้งห้าได้
ก็เข้าถึงสภาวะธรรมที่บริสุทธิ์จากการปรุงแต่ง
เป็นวิสังขารธรรม
สภาวะธรรมที่บริสุทธิ์ตรงนี้
จะเป็นแค่เพียง รู้
รู้ที่บริสุทธิ์ ปราศจากการปรุงแต่ง
เมื่อเข้าถึงสภาวะตรงนี้
โยมจะพบกับความสงบสุขที่แท้จริงในชีวิต
มันเป็นความสงบของธรรมชาติ
ที่ไม่ต้องการอะไรปรุงแต่ง
สุขในสมาธิว่าปราณีตแล้ว
สุขจากการเข้าถึงสภาวะที่ปราศจากการปรุงแต่ง
ปราณีตกว่านั้นมาก
มันคือที่สุดของชีวิตทุกคน
มนุษย์ ธรรมชาติทุกคน
รักความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้น
ที่เราต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง
ก็เพื่อให้เราเข้าถึงชีวิตที่มีความสุข
แต่เพราะความไม่รู้
เราก็แสวหาสิ่งต่าง ๆ จากภายนอก
ลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง ทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่ถึงแม้ว่าเรามีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
เพียบพร้อมสักเพียงใด
มันก็ยังพบความทุกข์อยู่ร่ำไป
ความเร่าร้อนมันก็ยังเกิดขึ้น
เกิดความเครียด ความโกรธ อยู่ร่ำไป
มันไม่สามารถดับทุกข์ภายในจิตใจตัวเองได้
แต่เมื่อเราฝึกฝน เจริญสติ
ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
จนเข้าถึงสภาวะธรรมที่บริสุทธิ์
มันพ้นจากการปรุงแต่ง
ก็จะพบกับความสุขสงบที่แท้จริงของชีวิต
ที่มันไม่ต้องไปดิ้นรน แสวงหาอะไรเลย
ความสุขจากทางโลก
มันต้องคอยบำรุงบำเรอ แสวงหา
พอเกิดแล้วมันก็สลายไป ๆ
มันไม่มีอะไรจีรัง
ที่สุดแล้วเราก็เอาอะไรไปไม่ได้
มันเป็นเรื่องของความหลง
โลกของมายา โลกของความปรุงแต่งเท่านั้น
ต้องเกิดซ้ำ ๆ แก่ซ้ำ ๆ เจ็บซ้ำๆ ตายซ้ำ ๆ
วนเวียนอย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด
มันไม่สามารถหลุดออกจากวังวนเหล่านี้ได้
เกิดมาก็ต้องป่วย ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย
แต่เมื่อใดที่เราพัฒนาสติ
จนสามารถปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
เข้าถึงสภาวะธรรมที่บริสุทธิ์
หลุดออกจากโลกของความหลงปรุงแต่งทั้งหมด
เข้าถึงของจริงล้วน ๆ เลย
ก็จะมีขีดความสามารถที่จะหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวง
ก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ
ชีวิตแบบพุทธะ
แบบความตื่นรู้ ผู้ที่เป็นอิสระ
ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งต่าง ๆ
ใหม่ ๆ มันก็อาจจะรู้บ้าง หลงบ้าง เป็นธรรมดา
แต่เมื่อเราฝึกมากขึ้น ๆ ๆ
มันก็จะเริ่มเข้าถึงกำลังสภาวะรู้ ได้บ่อยขึ้น
ทรงตัวขึ้นเรื่อย ๆ
สามารถวางจากอุปาทานได้
เพราะว่าเมื่อโยมเริ่มเข้าถึงของจริง
สัมผัสความสงบที่มันไร้ปรุงแต่ง
โยมจะวางความยึดมั่นได้โดยธรรมชาติเลย
มันเป็นธรรมชาติของทุกคนเลย
พอฝึกแล้วเข้าถึงสิ่งนี้
สามารถเห็นได้สองฝั่ง
ถามเขาว่า แล้วคุณจะเลือกอะไร ?
ทุกคนตอบเหมือนกันหมดเลย
ก็คือความสุขที่มันไม่มีอะไรปรุงแต่ง
เป็นสัจธรรมเดียวกันหมด
ไม่ว่าร้อยพ่อพันแม่
เชื้อชาติเผ่าพันธ์ใดก็ตาม
เมื่อเข้าถึงสภาวะที่บริสุทธิ์
คำตอบเหมือนกันหมด
นั่นแหละ คือที่สุดของทุกคน
แล้วมันเป็นความบริบูรณ์ของชีวิตอย่างแท้จริง
มันไม่ต้องเติมเต็ม
สิ่งนี้มันบริสุทธิ์ มันบริบูรณ์ ตลอดกาล
อยู่ที่ว่าเมื่อใดที่วางจากอุปาทานได้
มันถึงจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้
เมื่อเริ่มเข้าถึงสิ่งนี้
จะค่อย ๆ คลายสิ่งที่ยึดที่หลงโดยธรรมชาติ
มันจะน้อมไปเพื่อการปล่อยวาง
น้อมไปเพื่อเข้าสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ได้บ่อยขึ้น
ทรงตัวขึ้นเรื่อย ๆ
จนหลุดออกจากทุกข์โดยสิ้นเชิง
เข้าถึงพุทธสภาวะที่บริสุทธิ์
บรมสุขที่แท้จริง
ก็จะทำให้เข้าถึง เข้าใจ ในสิ่งที่ทรงตรัสไว้ว่า
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
ความสงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ... "
.
ธรรมบรรยาย โดย
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา