19 ก.ย. 2021 เวลา 00:00 • หนังสือ
บทความ ไม่เป็นอะไรกับอะไร
2
จากหนังสือ ลำธารริมลานธรรม
3
เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองครั้งแรกเมื่ออายุ ๗๐ ปี ก้อนเนื้อไม่เพียงบีบหลอดลมและทำให้คอบวม หากยังลามแพร่กระจายไปถึงขั้วปอด ท่านต้องเข้ารับการรักษาตัวในห้องไอซียู และเมื่ออาการทุเลาแล้ว ก็ต้องรับการบำบัดด้วยเคมีและการฉายแสง ตลอดเวลาหลายเดือนที่รักษาตัวนั้นท่านได้รับทุกขเวทนามาก แต่ท่านแทบไม่แสดงอาการเจ็บปวดเลย แม้บางครั้งหายใจไม่สะดวก ท่านก็ไม่มีอาการกระสับกระส่าย
1
ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังในเวลาต่อมาว่า “การปวดนี่มันก็ไม่ได้ลงโทษเรา ไม่เท่าไหร่หรอก แต่(ถ้า)เราเป็นผู้ปวด นี่มันลงโทษเรา ก็เห็นมันปวด ไปลงโทษอะไรมัน (ทำไม)”
2
ท่านยังเล่าอีกว่าตอนนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น “มันแสนสบายหนอ เพราะมีคนทำให้ทุกอย่าง” ท่านกล่าวเสริมอีกว่า “ตอนนั้นไม่ต้องทำอะไรหรอก เห็นไตรลักษณ์อย่างเดียวพอแล้ว มันโชว์ให้เราเอง”
2
แปดปีต่อมามะเร็งต่อมน้ำเหลืองกลับมาใหม่ ทีแรกก็อุดหลอดอาหาร ต่อมาก็อุดหลอดลม ท่านจึงต้องรับอาหารทางสายยางและหายใจทางท่อ ไม่สามารถพูดได้ ต้องสื่อสารกับผู้อื่นด้วยการเขียนหรือใช้มือ
ความเจ็บป่วยครั้งนี้ก่อทุกขเวทนาให้แก่ท่านมาก อีกทั้งยังทำให้ท่านอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ท่านตระหนักดีว่าคราวนี้เห็นจะไม่รอด แต่ท่านก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนแต่อย่างใด เพราะ “เวลานี้มีแต่ปล่อยวาง ไม่เป็นอะไรกับอะไร”
2
กายป่วย แต่ใจไม่ป่วยนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ เมื่อกายป่วย ก็ต้องรักษาหรือบรรเทาด้วยยา หลวงพ่อไม่อยู่ในวิสัยที่จะช่วยตัวเองได้ในเรื่องนี้ จึงต้องพึ่งหมอ พยาบาล และลูกศิษย์ ส่วนจิตใจนั้น ท่านดูแลด้วยตนเองอย่างดีจนไม่รู้สึกเจ็บป่วยไปกับกาย
5
ท่านอธิบายว่า “ธาตุขันธ์ยังเป็นภาระต่อผู้อื่น ส่วนจิตใจ ไม่ต้องมีใครช่วย มีสติ มีจิตดูจิตเอง ไม่มีอะไรที่จะต้องไปเป็น เลยไม่ต้องเป็นอะไร”
1
หลังจากอาพาธได้ ๗ เดือน วาระสุดท้ายของท่านก็มาถึง อาการบวมของต่อมน้ำเหลืองได้ลุกลามขยายตัว ดันหลอดลมตอนล่างจนเกือบปิด ทำให้ท่านหายใจลำบากมาก ไม่ว่าจะเยียวยาเพียงใด ก้อนเนื้อก็ไม่ยุบ ทำให้ท่านหายใจติดขัด แต่ท่านไม่มีอาการทุกข์ร้อน มีช่วงหนึ่งท่านขอเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายอุจจาระ จากนั้นก็ล้างมือล้างหน้า แล้วขึ้นมาบนเตียงด้วยตนเอง ทั้ง ๆ ที่อาการน่าวิตกมาก
1
ไม่นานหลังจากนั้นการหายใจของท่านก็ติดขัดมากขึ้น ลูกศิษย์พยายามแก้ไขสถานการณ์แต่ไม่มีทีท่าว่าจะได้ผล ระหว่างนั้นหลวงพ่อซึ่งมีสติตลอด ได้ขอกระดาษและดินสอ เขียนข้อความว่า “พวกเรา ขอให้หลวงพ่อตาย”
2
เมื่อยื่นแผ่นกระดาษให้เสร็จท่านก็ประนมมือไหว้ เพื่อขอบคุณลูกศิษย์ที่ดูแลท่าน และเป็นการอำลาไปพร้อม ๆ กัน จากนั้นท่านก็นอนนิ่ง สักพักก็หลับตา ครู่ใหญ่ลมหายใจของหลวงพ่อก็ขาดหายไป แล้วสัญญาณชีพทั้งหมดของหลวงพ่อก็หมดสิ้น
2
หลวงพ่อคำเขียนจากไปอย่างสงบ ไม่แสดงความทุกข์ใด ๆ ให้เห็นในวาระสุดท้ายของท่าน ทั้ง ๆ ที่กายนั้นถูกทุกขเวทนาบีบคั้นอย่างแรง ท่านทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่เพราะท่านเพิ่งเตรียมตัวเตรียมใจเมื่อรู้ว่าความตายจะมาถึง ที่จริงท่านไม่ได้เตรียมใจใด ๆ เลยก็ว่าได้ มีแต่เตรียมตัวด้วยการชำระกายให้สะอาดสำหรับวาระสุดท้ายเท่านั้น
ทั้งนี้เพราะท่านได้ฝึกฝนบ่มเพาะจิตใจด้วยวิปัสสนากรรมฐานมานานแล้ว จนเห็นความจริงของรูปและนามหรือกายกับใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตนจึงรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นได้เลย เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ก็สักว่าเห็น สักว่ารู้เฉย ๆ ไม่สำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้นว่าเป็น “ตัวกู ของกู”
6
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ปรุงแต่ง “ตัวกู” ขึ้นมาเป็นนั่นเป็นนี่เมื่อมีอะไรมากระทบ
2
เมื่อมีความปวดเกิดขึ้นกับท่าน ก็เพียงแค่เห็น แต่ไม่เข้าไปเป็นผู้ปวด จิตจึงเป็นปกติ อิสระ และสงบเย็น ด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาที่ป่วย ท่านจึงเขียนเล่าอย่างมั่นใจว่า “เวลานี้อยู่กับความไม่เป็นอะไรกับอะไร”
2
ตายอย่างสงบนั้นเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เพราะโชค ความบังเอิญหรือเทคโนโลยี หากเกิดจากการฝึกฝนตน มิใช่ด้วยทานและศีลหรือการทำความดีเท่านั้น ที่สำคัญอันเป็นหลักประกันอย่างแท้จริงก็คือการภาวนาหรืออบรมจิตจนเห็นความจริงของกายและใจอย่างแจ่มแจ้ง กระทั่งปล่อยวางทุกสิ่ง แม้กระทั่งความยึดถือในตัวตน
4
ถึงตอนนั้นเมื่อความตายมาถึง ก็ไม่มีผู้ตายอีกต่อไป มีแต่สังขารที่เสื่อมสลายและคืนสู่ธรรมชาติ
3
โฆษณา