13 ก.ย. 2021 เวลา 13:34 • ไลฟ์สไตล์
ยิ่งรู้เร็วยิ่งดี! 10 บทเรียนที่น่าจะรู้ตั้งแต่ 10 ปีก่อนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
4
สายไปหรือเปล่าที่เราจะแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต
แล้วเราจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เราเคยทำพลาดนี้ได้
สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน
และเราตระหนักถึงมันและนำมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตได้อย่างไรบ้าง?
2
‘อดีต’ คือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว และคงไม่มีใครที่จะสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันได้ กลับกัน เราสามารถเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านๆ มาที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีต เพื่อเตรียมรับมือกับปัจจุบันและอนาคต
5
แต่บ่อยครั้งเรากลับละเลยข้อผิดพลาดเล็กๆ และทำต่อซ้ำๆ จนมันสั่นคลอนความมั่นคงในชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว
2
บทความเรื่อง “10 Truths About Life I Wish I Knew 10 Years Ago” จาก Medium ได้พูดถึงบทเรียน 10 ข้อจากอดีตที่จะทำให้เราเข้าใจและเรียนรู้เพื่อให้มีสติในการดำเนินชีวิตและได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงได้ตั้งแต่ตอนนี้ โดยไม่ต้องให้เสียเวลาผ่านไปอีก 10 ปีเหมือนที่เป็นมา
1
เพราะชีวิตคือ ‘การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด’ ดังนั้น มันจึงไม่สายเกินไปที่เราจะเรียนรู้จากความผิดพลาด และความล้มเหลวที่ผ่านมา และเมื่อเราถึงจุดหนึ่งที่สามารถเรียนรู้จนความผิดพลาดน้อยลงเรื่อยๆ เราก็จะค้นพบเสน่ห์ของชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สวยงามและน่าจดจำ
1
แปลและเรียบเรียงจาก
1
#misssiontothemoon
#misssiontothemoonpodcast
#inspiration
สุขภาพที่ดีคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
3
ในตอนนี้ถ้าถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คำตอบเราคงจะไม่พ้นเรื่องของเงินทอง หรือเรื่องของการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบปี คำตอบของเราก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้ แต่คำตอบของเราก็คงจะหนีไม่พ้นการมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยใดๆ
8
มหาตมะ คานธีบอกไว้ว่า "ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือการมีสุขภาพที่ดี มิใช่การมั่งมีเงินทอง" การรักษาสุขภาพเป็นการลงทุนระยะยาวที่เห็นผลที่สุด คุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองที่สุด เพียงรักษาความสมดุลของชีวิตในการทำงานและเวลาส่วนตัว หาเวลาออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เมื่อเรามีสุขภาพที่ดี เราจะมีพลังทำในสิ่งที่เราอยากทำ ไม่มีอุปสรรคในการทำงาน และยังสามารถท่องเที่ยวได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
1
เราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียว ทุกคนต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง
3
คนเรามีนิสัยชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และบ่อยครั้งที่รู้สึกว่าเราสู้คนอื่นไม่ได้ เรามักคิดว่าปัญหาตัวเองเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นเสมอ เน้นย้ำและให้ความสำคัญกับมันมากเกินไปจนลืมว่าคนอื่นก็พบเจอปัญหาเช่นเดียวกับเรา
1
ทุกคนต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง เราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียวบนโลกเราต่างมีความไม่มั่นคงในชีวิต ความกลัว ความกังวล หยุดคิดว่าตัวเองแย่กว่าคนอื่น หยุดเอาปัญหาวางไว้จุดศูนย์กลางของชีวิต หยุดวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตตัวเองโดยนำคนอื่นมาเปรียบเทียบ เพราะสถานการณ์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน สิ่งที่ควรทำคือเรียนรู้ เข้าใจ และจดจำ จากประสบการณ์ที่ได้ผ่านมันมา
2
การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือจัดการต้นตอปัญหา ไม่ใช่ซุกไว้ใต้พรม
“ตราบใดที่คุณยังไม่รักษารากของปัญหา ความเจ็บปวดจะไม่หายไป คุณซ่อนมันได้ แต่ปัญหามันจะยังอยู่ถ้าเกิดคุณไม่ขุดมันขึ้นมา” — Leon Brown
เมื่อปัญหาเดิมๆ ที่เกิดขึ้นไม่หายไปสักที อาจเป็นเพราะเรากำลังหลอกตัวเอง คิดว่าไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้สำคัญอะไร การซุกปัญหาไว้ใต้พรมเช่นนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แต่ในที่สุดมันจะเกิดขึ้นอีก มันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะเจอต้นตอปัญหาที่แท้จริง ดังนั้น ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้น เราอาจทิ้งมันไว้สักพักหนึ่ง เพื่อให้เวลาตัวเองหาวิธีแก้ไข แล้วลงมือแก้มันทันทีเมื่อพร้อม อย่าหมกไว้จนมันบานปลายกว่าเดิม
4
มิตรภาพระหว่างเพื่อน มีเริ่มต้นและต้องจบลงในสักวัน
4
ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้น เพื่อนในชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิต ช่วงอายุ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนในชีวิตเราจะหายไปบ้าง บางคนอาจจะเข้ามาและจากไป ไม่ว่าเหตุผลของการจากไปจะเป็นอะไรก็ตาม ขอให้รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เราเติบโต ขอให้มีความสุขกับปัจจุบัน อย่าฟูมฟายเมื่อความสัมพันธ์จบลง และยิ้มอย่างยินดีเมื่อมิตรภาพใหม่เริ่มต้นขึ้น
3
การรับรู้เรื่องราวชีวิตของคนอื่นให้พอดีจะทำให้เรามีความสุขขึ้น
1
ยิ่งเรารับรู้เรื่องของคนอื่นมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งรู้สึกแย่กับชีวิตมากเท่านั้น เพราะเราจะเกิดคำถามในหัวอยู่บ่อยครั้งว่า ทำไมชีวิตคนนี้ดูมีความสุขจัง ทำไมเราถึงเป็นแบบเขาไม่ได้นะ อย่างแรกเราต้องเข้าใจว่าชีวิตในโลกโซเชียลมีเดียที่เราเห็นอาจไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เราเห็นเพียงส่วนหนึ่งของความสุข ความสำเร็จ เห็นด้านที่คนอื่นอยากให้เห็นเท่านั้น และสิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้
ดังนั้น การรับรู้เรื่องราวชีวิตของคนอื่นอย่างพอดี จะทำให้เราไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบและมีความสุขขึ้น เปลี่ยนข่าวสารที่เปรียบเทียบแล้วบั่นทอนจิตใจเป็น ‘รับรู้’ เพื่อใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาตัวเองดีกว่า
หมั่นหาความรู้ในสิ่งที่ยังไม่เคยรู้ เพื่อเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ
1
ขงจื๊อกล่าวว่า “รู้ว่าตนเองมีสิ่งใดที่รู้และมีสิ่งใดที่ยังไม่รู้ สิ่งนี้คือความรู้ที่แท้จริง” การเรียนรู้ การบ่มเพาะประสบการณ์จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิต เราสามารถเพิ่มพูนความรู้ผ่านการอ่านหนังสือ ผ่านการท่องเที่ยวหรือผ่านการพูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์ วิธีทำให้ตัวเองเก่งขึ้นคือการพาตัวเองไปอยู่สถานที่ใหม่ๆ จะทำให้เราได้ลองอะไรใหม่ๆ ออกจากเซฟโซน การทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนจะทำให้เรารู้ว่าอะไรเป็นไปได้สำหรับเราบ้าง ดีกว่าการยึดติดกับชีวิตเดิมๆ ที่ไม่มีวันได้ก้าวไปข้างหน้า
1
ปล่อยวางอดีตและใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
เราอาจเข้าใจว่า ชีวิตจะดีขึ้นก็ต่อเมื่อบาดแผลจากอดีตหายไปเราจึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แต่ตราบใดที่เรายัง ‘รู้สึก’ กับเรื่องราวในอดีต เราจะไม่มีวันอยู่กับปัจจุบันได้เลย
2
นั่นเพราะเมื่อเวลาผ่านไปความทรงจำที่เป็นข้อเท็จจริงจะค่อยๆ หายไป แต่ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้น ความรู้สึกขณะนั้นยังคงอยู่ เช่น ความทรงจำเมื่อไปคอนเสิร์ตเมื่อสองปีก่อน เราจำไม่ได้หรอกว่ามีเพลงกี่เพลงที่นำมาแสดงบ้าง จำเวลาที่เริ่มงานไม่ได้ มีเพียงความทรงจำที่เลือนรางเท่านั้น แต่เราจำความรู้สึกนั้นได้ ความสุข ความตื่นเต้นมันยังประทับอยู่ในใจเราเสมอ
เพราะอารมณ์มีผลมากกว่าที่เราคิด มันฝังแน่นอยู่ในใจเราจนทำให้เราเดินออกมาจากอดีตไม่ได้ อย่าให้ความรู้สึกในอดีตมีอิทธิพลต่อความสุขในปัจจุบัน การอยู่กับปัจจุบันจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา เมื่อเราละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งนี้จะทำให้เราได้เริ่มต้นใหม่เพื่อปูทางไปสู่อนาคตที่เราสามารถควบคุมได้
2
เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิต แต่เราสามารถเลือกสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้
Benjamin Hardy ผู้เขียนหนังสือ Willpower Doesn’t Work อธิบายไว้ว่า ความพยายามไม่ใช่ตัวกำหนดความสำเร็จของเรา แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นคนที่คบหา ค่านิยม งานอดิเรก เวลาที่ใช้ไปแต่ละวันล้วนเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของเรา
1
ในวันที่เราเจออุปสรรคและค้นพบว่าสภาพแวดล้อมนี้เป็นกรงขังที่ทำให้ชีวิตเราไม่ไปไหนสักที อย่าพยายามเอาชนะในสิ่งที่เราไม่มีวันชนะมันได้ ดึงดันไปกับสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ให้หันมาเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับความต้องการ แล้วในที่สุดมันจะอยู่ใต้การควบคุมของเราเอง
4
ความคิดและทัศนคติมีพลังเปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่าการกระทำ
ความคิดและทัศนคติเป็นพลังขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกใบนี้ รวมถึงตัวเราเองด้วย บางคนเชื่อว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะทำงานชิ้นนี้ได้ สิ่งที่ตามมาคือความพยายาม ฝึกฝนจนกว่ามันจะสำเร็จ เพราะคนเหล่านี้เชื่อในพลังของตัวเอง เชื่อว่าโลกใบนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเราเปลี่ยนความคิด
แต่สำหรับบางคนที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความสามารถพอ หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สุดท้ายคนที่มีความคิดเช่นนี้จะไม่ได้ทำอะไรเลย และถึงทำ ผลลัพธ์ที่ออกมามักจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะคนเหล่านี้ใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งความจริงคนเหล่านี้อาจจะมีความสามารถมากกว่าที่ตัวเองคิดก็ได้
เพราะความคิดและทัศนคติเป็นตัวผลักดันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดการลงมือทำ ทำให้กระบวนการทำงานและผลลัพธ์เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ทุกช่วงเวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะคิดว่าทุกช่วงเวลาเป็นสิ่งมีค่า คนเหล่านี้จะไม่เฝ้ารอให้โอกาสมาถึงแต่เดินไปหาโอกาส คนเหล่านี้จะตัดสินใจเริ่มทำทันที เรียนรู้ไปกับก้าวเดินที่มาพร้อมกับอุปสรรคมากกว่ารอให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด หลายคนคิดว่าเรามีเวลาทั้งชีวิตที่สามารถทำอะไรก็ได้ เราลังเล ผัดวันประกันพรุ่ง หาข้ออ้างต่างๆ นานา จนสุดท้ายไม่สามารถทำสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ให้เสร็จได้
ปัญหาคือการที่เราคิดว่าเรา ‘มีเวลา’ เป็นตัวการที่จะทำให้เราไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะเราคิดว่ามีเวลา จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ฉะนั้น หันกลับมาให้คุณค่ากับทุกช่วงเวลาจะเป็นโอกาสที่จะทำให้เราบรรลุในสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
1
โฆษณา