15 ก.ย. 2021 เวลา 13:12 • กีฬา
ทำไมราฟา เบนิเตซ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ถึงย้ายไปคุมเอฟเวอร์ตัน เและทำไมแฟนๆ ทอฟฟี่ถึงยอมรับ เราจะย้อนไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง
1
เอฟเวอร์ตัน คือหนึ่งในสโมสรที่มีเจ้าของรวยที่สุดในพรีเมียร์ลีก เจ้าของทีมชื่อฟาร์ฮัด โมชิริ นักธุรกิจชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่าน เป็นคนรวยอันดับ 1064 ของโลก มีทรัพย์สินราวๆ 92,000 ล้านบาท
ในอดีต โมชิริเคยมีหุ้นส่วนในสโมสรอาร์เซน่อล แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 เขาขายหุ้นดังกล่าวทิ้ง แล้วนำเงินก้อนมาเทกโอเวอร์สโมสรเอฟเวอร์ตัน พร้อมทั้งทุ่มงบให้ทีมอย่างมากมาย เพื่อพาเอฟเวอร์ตันกลับขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปให้ได้
3
แต่ปัญหาคือ ผู้จัดการทีมแต่ละคนที่เขาเลือกมา ใช้เงินเยอะ และซื้อตัวผู้เล่นมีคุณภาพเข้ามา แต่ผลงานในสนาม ไม่สามารถยกระดับทีมได้จริง
ตัวอย่างเช่น โรนัลด์ คูมัน ซื้อมอร์แกน ชไนเดอร์ลิน 20 ล้านปอนด์, ดาวี่ คลาสเซ่น 23.6 ล้านปอนด์, ยานนิก โบลาซี่ 22.5 ล้านปอนด์, อเดโมล่า ลุคแมน 7.5 ล้านปอนด์ ใช้งานจริงไม่ได้สักคน
โค้ชคนต่อมา แซม อัลลาร์ไดซ์ จ่ายเงินซื้อ เซงค์ โทซุน (27.5 ล้านปอนด์) และ ธีโอ วัลคอตต์ (20 ล้านปอนด์) แต่ก็น่าผิดหวังทั้งคู่
จากนั้นเป็นมาร์โก ซิลวา ตามด้วยคาร์โล อันเชล็อตติ สิ่งที่เห็นก็เหมือนเดิมคือ โมชิริพร้อมอัดเงินให้ตามที่โค้ชต้องการ อยากได้ใครก็ให้บอก เขาจ่ายให้ จนหากไม่นับทีม Top Six เอฟเวอร์ตันคือทีมที่ใช้เงินเยอะที่สุด แต่ถึงกระนั้นผลงานกลับไม่ดีขึ้น หากเทียบกับตัวเงินที่เสียไป
5 ปีของโมชิริ อันดับของเอฟเวอร์ตันวนเวียนอยู่กลางตารางได้ คือถ้ามองในแง่ว่า คุณใช้เงินเยอะขนาดนี้ อย่างน้อย ก็ควรจะได้โควต้าไปเล่นยูโรป้าลีกก็ยังดี แต่นี่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
หลังจากคาร์โล อันเชล็อตติ ลาออกไปรับงานที่เรอัล มาดริด การหาโค้ชคนต่อไปของเอฟเวอร์ตัน จึงโดนสื่อมวลชนแซวว่า จะมีใครสักคนไหมนะ ที่จะใช้เงินจากโมชิริได้อย่างชาญฉลาดเสียที
1
อันเชล็อตติ ลาออกจากเอฟเวอร์ตัน วันที่ 1 มิถุนายน 2021 แปลว่าทีมทอฟฟี่ จะมีเวลาราวๆ 2 เดือน ในการหาผู้จัดการทีมคนใหม่ ก่อนที่พรีเมียร์ลีกซีซั่น 2021-22 จะเริ่มต้นขึ้น
ในการตัดสินใจว่า จะเลือกใครมาเป็นผู้จัดการทีม ต้องได้รับความเห็นชอบจาก 3 คีย์แมนของสโมสร ได้แก่ ฟาร์ฮัด โมชิริ เจ้าของทีม, บิลล์ เคนไรท์ ประธานสโมสร และ มาร์แซล แบรนด์ส ผู้อำนวยการกีฬา โดยแต่ละคนก็มีสเป็คของโค้ชที่ต้องการแตกต่างกัน
โมชิริ ต้องการผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ คล้ายๆกับตอนที่เซ็นอันเชล็อตติ เขาไม่อยากไปวัดดวงกับผู้จัดการทีมที่เพิ่งสร้างชื่อขึ้นมา แบบที่เคยเซ็นมาร์โก ซิลวาอีกแล้ว ส่วนบิลล์ เคนไรท์ ต้องการคนที่เข้าใจในสโมสรอย่างแท้จริง ขณะที่มาร์แซล แบรนด์ส ต้องการโค้ชคนที่พร้อมจะอยู่ยาว ไม่ได้มองเอฟเวอร์ตันเป็นแค่บันได ที่จะกระโดดไปสู่การคุมทีมที่ใหญ่กว่า
1
หลังจากพิจารณาแคนดิเดทจำนวนมาก สุดท้ายเหลือตัวเลือกแค่ 3 คน ที่ดูมีความเหมาะสมมากที่สุด คือเดวิด มอยส์, ราฟา เบนิเตซ และ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้
คนแรกคือมอยส์ ที่สนิทสนมกันดีกับบิลล์ เคนไรท์ โดยช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว เคนไรท์ส่งแมสเซจไปร่วมแสดงความยินดีกับมอยส์ที่ทำผลงานได้ดีกับเวสต์แฮม
1
คิดตามคอมม่อนเซนส์ มอยส์เคยคุมเอฟเวอร์ตันมายาวนาน เข้าใจวัฒนธรรมสโมสรทุกอย่าง ถ้ากลับมาสู่ทีม ก็น่าจะเดินหน้าทำงานต่อได้ทันที
แต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นเจรจา วันที่ 12 มิถุนายน มอยส์ต่อสัญญากับเวสต์แฮมไปอีก 3 ปี เป็นการคอนเฟิร์มว่าพร้อมทำงานต่อที่ลอนดอนไปอีกระยะ ดังนั้นเป้าหมายแรกของทีมทอฟฟี่จึงวืดไปอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายที่สองคือ ราฟา เบนิเตซ ที่มีคุณสมบัติครบมาก มีชื่อเสียงโด่งดัง และอยู่กับทีมไหนก็อยู่ยาวตลอด ถ้าไม่โดนไล่ออกเสียก่อน ทั้งบาเลนเซีย ลิเวอร์พูล และ นิวคาสเซิล ยิ่งไปกว่านั้น การอยู่ในเมืองลิเวอร์พูลมานาน ทำให้เขาเข้าใจคาแรคเตอร์ของชาวเมอร์ซีไซด์เป็นอย่างดี ราฟามีบ้านอยู่ที่ย่านวีรัล ซึ่งอยู่ห่างจากสนามไม่กี่กิโลเมตร
2
แต่ปัญหาคือ แฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ไม่สนิทใจที่จะเซ็นราฟา เพราะเคยคุมทีมคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูลมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เคยมีประวัติกันอยู่ โดยในปี 2007 ราฟาเคยพูดถึงเอฟเวอร์ตันว่าเป็น Small Club ดังนั้นในมุมของแฟนทอฟฟี่ ก็ทำใจยาก ถ้าจะเปิดใจรับเอาราฟามาเป็นผู้จัดการทีมให้ตัวเอง
4
ชอยส์ที่สอง จึงโดนมองข้ามไปก่อน มาสู่เป้าหมายที่ 3 ที่ดูจะลงตัวมากที่สุด คือ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ อดีตผู้จัดการทีมวูล์ฟแฮมป์ตันที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่ง ตอนนี้กำลังว่างงานพอดี
1
โดยนูโน่ มีคุณสมบัติครบ เขามีชื่อเสียงใช้ได้ และมีประสบการณ์พาวูล์ฟส์ ที่อยู่ในระดับแชมเปี้ยนชิพ กระโดดไปเล่นในรายการยุโรปมาแล้ว นอกจากนั้นนูโน่ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับจอร์จ เมนเดส เอเยนต์เบอร์ท็อปของโลก (นูโน่ คือลูกค้าคนแรกสุดของเมนเดส) ดังนั้นก็น่าจะดีลนักเตะเก่งๆ มาสู่ทีมได้ง่ายขึ้น
แต่ปัญหาคือ ดูความต้องการของนูโน่ ไม่ค่อยอยากจะมาอยู่เมอร์ซีไซด์เท่าไหร่ เขาตกเป็นข่าวกับสองทีมในลอนดอน คือคริสตัล พาเลซ กับสเปอร์ส โดยไม่มีแนวโน้มเลยว่าอยากจะมาอยู่กับเอฟเวอร์ตัน ก่อนสุดท้ายจะเลือกเซ็นกับสเปอร์สในที่สุด
1
ดังนั้นเมื่อ 3 ชอยส์แรก น่าจะวืดแล้ว ทำให้เอฟเวอร์ตันเริ่มมองหาคนอื่นๆ ที่พอจะเข้าเค้า เช่นเกรแฮม พอตเตอร์ จากไบรท์ตัน หรือ คริสตอฟ กัลติเยร์ จากลิลล์ แต่ก็ไม่มีใครตรงสเป็คที่ 3 ผู้บริหารต้องการเลย
บางคนอย่างกัลติเยร์มีชื่อเสียง แต่พูดอังกฤษไม่ได้สักคำ หรือพอตเตอร์ก็ดูพร้อมคุมทีมระยะยาว แต่ก็ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ ไม่ตรงใจโมชิริอีก นั่นทำให้การพิจารณา ราฟา เบนิเตซ กลับมาในวงสนทนาอีกครั้ง
1
โมชิริ โทรหาโรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมเชลซี ถามประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับเบนิเตซมาก่อน ในฤดูกาล 2012-13 โดยตอนนั้นเชลซีไล่โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอออก แล้วจ้างเบนิเตซ มาคุมทีมระยะสั้นครึ่งปีเพื่อขัดตาทัพไปก่อน
อบราโมวิชบอกกับโมชิริว่า "เบนิเตซคือหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่เขาเคยร่วมงานด้วย" นั่นเพราะแม้จะมีเวลาคุมทีมน้อยมาก และโดนแฟนเชลซีกดดันอยู่ตลอด แต่ราฟาประคองสโมสรจบอันดับ 3 ของลีกได้อย่างสวยงาม พร้อมคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้าลีกได้อีก 1 โทรฟี่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้
2
ขณะที่มุมของมาร์แซล แบรนด์ส ผู้อำนวยการกีฬาก็ชอบเหมือนกัน เพราะราฟาเป็นคนที่จัดเต็มเรื่องการปั้นนักเตะอยู่แล้ว สตอรี่คลาสสิคที่ทุกคนทราบกัน คือเขายกระดับเฟร์นันโด ตอร์เรส จากกองหน้าที่ดี กลายเป็นกองหน้าระดับโลกได้ ดังนั้นทำไมราฟา จะทำแบบเดียวกัน กับโดมินิค คัลเวิร์ต-เลวีนไม่ได้ล่ะ
2
ยิ่งไปกว่านั้น ราฟานั้น เป็นคนที่คลั่งไคล้ฟุตบอลมาก เขาเป็นผู้จัดการทีมที่มาสนามซ้อมคนแรก และกลับบ้านคนสุดท้ายเสมอ
1
มีเรื่องเล่าตอนอยู่นาโปลี ราฟาเช่าโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ กับสนามซานเปาโลเอาไว้ ปรากฏว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยของสนาม เบื่อมากที่ต้องมาเปิดประตูให้ราฟาตอนดึกดื่นค่ำคืน เพราะราฟาทำงานหนักจนกลับช้ากว่าชาวบ้าน จนเจ้าหน้าที่สนามให้กุญแจกับราฟาไว้หนึ่งดอก จะกลับกี่โมงก็เปิดประตูเองตามใจชอบเลยละกัน
6
ถ้าได้โค้ชที่ทุ่มเทแบบนี้ น่าจะยกระดับทีมให้เก่งกว่าเดิมได้ อีกอย่างราฟา พูดได้คล่องแคล่วทั้งอังกฤษ และสเปน สามารถสื่อสารกับนักเตะในทีมได้สบายมาก
1
เจ้าของทีมชอบ ผู้อำนวยการกีฬาก็ชอบ แต่บิลล์ เคนไรท์ในฐานะประธานสโมสรนั้น "ไม่ชอบ" ชอยส์นี้ เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะราฟาเป็นอดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล
โดยแซม อัลลาร์ไดซ์ที่เคยร่วมงานกับเคนไรท์มาแล้วเล่าว่า "คนอย่างเคนไรท์ ไม่มีวันคาดคิดหรอกว่าจะต้องมาเจรจากับเบนิเตซ แต่ฟาร์ฮัด เป็นคนที่ลงทุนให้เอฟเวอร์ตันมาแล้วหลายล้านปอนด์ มันเป็นเรื่องที่เคนไรท์ก็คงทำอะไรไม่ได้จริงๆ"
แฟนบอลบางคนเมื่อได้ยินกระแสข่าวราฟา ก็ตำหนิเจ้าของทีมกันใหญ่ บอกว่าทำไมสโมสรไม่ไปเอาอันโตนิโอ คอนเต้ ที่กำลังว่างงานอยู่ หรือซีเนอดีน ซีดาน มาเป็นผู้จัดการทีมล่ะ
แต่ประเด็นคือ โค้ชระดับนั้นว่ากันตรงๆ ก็ยากที่จะมาคุมเอฟเวอร์ตันที่ไม่ได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก ดังนั้นชอยส์เบนิเตซ ก็ถือว่าดีที่สุด เท่าที่สโมสรจะหาได้แล้ว
สุดท้ายโมชิริ จึงเชิญเบนิเตซไปคุยกันตัวต่อตัวที่เรือยอชต์ของเขาในทริปที่ทะเลซาร์ดิเนีย และตัดสินใจ ว่านี่ล่ะ คือผู้จัดการทีมคนต่อไปของเอฟเวอร์ตัน โดยจะจ่ายเงินจ้างราฟา ปีละ 7 ล้านปอนด์ เป็นค่าเหนื่อยสูงสุดอันดับ 7 ในพรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, เจอร์เก้น คล็อปป์, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส, มาร์เซโล่ บิเอลซ่า, โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ โทมัส ทูเคิลเท่านั้น
บิลล์ เคนไรท์ มีฉายาว่า มิสเตอร์เอฟเวอร์ตัน เขาเป็นบอร์ดของสโมสรมาตั้งแต่ปี 1989 อยู่กับทีมมายาวนานจนถึงปัจจุบัน รวมแล้วก็ 32 ปี ดังนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกแฟนบอลเป็นอย่างดีว่า ขัดใจแค่ไหนที่โมชิริเลือกราฟา
เราจะดูได้จากในวันที่เซ็นสัญญา ปกติแล้วประธานสโมสร จะเขียนความในใจยาวเป็นหน้า A4 เพื่อสดุดีโค้ชใหม่ แต่เคนไรท์ เขียนแถลงการณ์แค่ 36 คำเท่านั้น โดยกล่าวว่า "ราฟา เบนิเตซ เข้ามาร่วมงานกับสโมสรเอฟเวอร์ตัน ในฐานะของบอร์ดผู้บริหา ผมอวยพรให้เขาไปถึงความสำเร็จเพื่อสโมสรของเรา และทำให้แฟนๆไปถึงเป้าหมายที่สมควรจะได้รับเสียที"
2
ไม่มีประโยคไหน ที่กล่าวชื่นชมผลงานอันยิ่งใหญ่ในอดีตหรืออะไรทั้งนั้น ณ จุดนี้ จะเห็นได้เลยว่า ราฟา มีแรงกดดันตั้งแต่วันแรก คือผู้บริหารและแฟนบอล ไม่ชื่นชอบเขาเป็นทุนเดิม
จริงๆ ราฟาก็เสียใจเหมือนกัน ที่ครั้งหนึ่งเรียกเอฟเวอร์ตันว่า Small Club เขาอธิบายว่า "ผมทำผิดพลาดจริงๆ ตอนที่เรียกเอฟเวอร์ตันว่า สโมสรขนาดเล็ก (Small Club) แฟนบอลลิเวอร์พูลเมื่อได้ยินคำนั้นก็ดีใจ ส่วนแฟนเอฟเวอร์ตันได้ยินก็โกรธ แต่ความจริงคือ ผมไม่ได้จะสื่อว่า พวกเขาคือสโมสรขนาดเล็ก คำที่ผมจะบอกคือ พวกเขาเป็น ทีมขนาดเล็กต่างหาก (Small Team)
ความหมายของราฟา คือไม่ได้บอกว่าเอฟเวอร์ตันไร้ประวัติศาสตร์ แต่บอกว่ามีขนาด Squad ที่เล็ก และมีคุณภาพน้อยกว่าทีมใหญ่ คือพูดถึงในเชิงฟุตบอล มากกว่าเชิงประวัติศาสตร์ของสโมสร
แต่ก็นั่นแหละ แม้ราฟาจะอธิบายแล้ว แฟนบอลก็ไม่ได้พอใจนัก ดังนั้นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำ คือพิสูจน์ผลงานให้เห็นชัดๆ ในสนาม เพื่อกลบเสียงตำหนิทั้งปวง
การเริ่มงานด้วยความรู้สึกติดลบกับแฟนๆ ถือเป็นเรื่องยากมาก
หน้าสนามกูดิสันพาร์ก มีคนเอาแบนเนอร์มาติดว่า "ไม่ต้อนรับเบนิเตซ" ส่วนที่ถนนใกล้ๆกับบ้านของราฟา ก็มีแฟนบอลเอาป้ายไปติดว่า "เรารู้ว่าแกอาศัยอยู่ที่ไหน อย่าเซ็นกับเอฟเวอร์ตัน" เป็นการข่มขู่ไปอีก
1
แต่คนอย่างราฟา เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะมาเอฟเวอร์ตัน เขาก็มาจริงๆ แม้จะรู้ดีว่าเป็นการเสี่ยงที่ทำให้แฟนลิเวอร์พูลผิดหวัง และเสี่ยงที่จะได้รับความเกลียดชังเพิ่มเติมจากแฟนเอฟเวอร์ตัน แต่เขาก็พร้อมรับความท้าทายนั้น ด้วยภารกิจพาเอฟเวอร์ตันกระโดดขึ้นจากกลางตาราง ไปสู่ทีมระดับ Top Six ให้ได้ก็ยังดี
2
แต่โจทย์ของราฟา ที่ยากกว่าโค้ชคนอื่นในยุคโมชิริคือในซีซั่นนี้เอฟเวอร์ตันไม่มีเงินถุงเงินถังให้ใช้ เหมือนผู้จัดการทีมคนก่อนๆ
สาเหตุแรกคือผลพวงจากโควิด-19 และสาเหตุที่สองคือแผนการสร้างสนามแข่งแห่งใหม่ของสโมสร ที่แบรมลีย์ มัวร์ ด็อค ความจุ 52,888 ที่นั่ง ดังนั้นงบการซื้อขาย จึงมีความกระเบียดกระเสียนมาก
แต่ราฟายอมรับว่า เขายินดีกับความท้าทายนี้ "ตลอดชีวิตของผมในฐานะผู้จัดการทีม ผมอยู่กับทีมที่ไม่มีเงินอยู่บ่อยครั้ง คือเราต้องขายใครสักคนออกก่อน ถึงจะได้เงินซื้อตัวใหม่เข้ามา แต่ประเด็นคือถ้าคุณขายนักเตะเก่งๆออกไป จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าคนที่ซื้อมาใหม่จะเล่นได้ในระดับเดียวกัน มันเป็นเรื่องไม่ง่ายจริงๆ"
1
ทักษะการบริหารจัดการเงินของราฟา ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่ายอดเยี่ยม ในยุคที่เขาคุมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เงินแทบไม่มีให้ใช้ แต่ก็นำพานิวคาสเซิลเลื่อนชั้น และอยู่รอดได้ตลอดรอดฝั่งมาหลายปี
ราฟาเริ่มต้นจากการพิจารณา Squad ที่มีอยู่ ก่อนจะเห็นว่าองค์ประกอบของเอฟเวอร์ตันไม่ได้แย่ขนาดนั้น
ในแผงหลัง คุณมีนายทวารตัวจริงทีมชาติอังกฤษอยู่ (จอร์แดน พิคฟอร์ด) ฟูลแบ็กสองข้าง ก็เป็นระดับนานาชาติ (ลูก้า ดีญ - เชมัส โคลแมน) กองกลางก็สมดุลมี อัลลัน, ดูกูร์เร่, ซิกูร์ดสัน รวมๆ ถือว่าใช้ได้ ขณะที่กองหน้า เป็นจุดแข็งที่สุดของทีม เพราะมีทั้ง โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน และ ริชาร์ลิซอน สองดาวรุ่งที่พัฒนาต่อได้อีกไกลมาก
1
จุดที่เอฟเวอร์ตันยังขาดหายไปอยู่ คือ ปีกตัวจี๊ด ที่พร้อมจะทำลายคู่แข่ง ตัวที่มีอยู่ก็ โอเค เช่น อเล็กซ์ อิโวบี้ แต่มันก็น่าจะดีกว่า ถ้ามีชอยส์อื่นให้เลือกด้วย
คุณมีกองหน้าอย่างคัลเวิร์ต-เลวีนอยู่ในทีม แต่ไม่มีปีกคอยครอสบอลให้ ทีเด็ดลูกกลางอากาศก็จะหายไปเลยฟรีๆ แทนที่จะหวังแต่กับดีญ หรือโคลแมน ทำไมไม่หาปีกธรรมชาติซ้าย-ขวา คอยครอสบอลให้ล่ะ
นั่นทำให้ราฟาจึงไปเซ็นฟรี แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ที่หมดสัญญากับคริสตัล พาเลซ จากนั้นไปเซ็นเดมาไร เกรย์ จากเลเวอร์คูเซ่น ในราคาแค่ 1.7 ล้านปอนด์เท่านั้น ตอนนี้เขาได้จิ๊กซอว์เกมบุกครบถ้วนแล้ว
เมื่อได้ปีกแล้ว ก็ไปดูในตำแหน่งอื่น โดยลงตลาดผู้เล่นที่หมดสัญญากับทีมเก่า ก่อนจะคว้าตัว อัสเมียร์ เบโกวิช และ แอนดี้ โลเนอร์แกน มาเป็นนายทวารสำรองให้พิคฟอร์ด
จากนั้นในช่วงปลายตลาดซื้อขาย ได้ปล่อยมอยเซ่ คีน ให้กับยูเวนตุสยืมตัว ได้เงินค่ายืมมาส่วนหนึ่ง พร้อมดีลขายพ่วงที่ 24 ล้านปอนด์ และแทนที่เขาจะเอาเงินก้อนนั้นไปหาตัวแพงๆ แบบ Panic Buy เขาเลือกเซ็นโซโลมง รอนดอน มาแบบฟรีๆ เพื่อเอามาสำรอง คัลเวิร์ต-เลวีน
1
กลายเป็นว่าเอฟเวอร์ตันได้ผู้เล่นใหม่ 5 คน โดยใช้เงินรวมแค่ 1.7 ล้านปอนด์เท่านั้น คือนับตั้งแต่โมชิริเทกโอเวอร์ทีม ไม่เคยมีผู้จัดการทีมคนไหนใช้เงินน้อยขนาดนี้มาก่อน นี่ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เจ้าของทีมก็ไม่เคยเจอ
10
โรนัลด์ คูมัน ใช้เงินซัมเมอร์แรกที่อยู่กับเอฟเวอร์ตัน 43.5 ล้านปอนด์
แซม อัลลาร์ไดซ์ ใช้เงินในตลาดนักเตะเอฟเวอร์ตันครั้งแรก 47 ล้านปอนด์
มาร์โก ซิลวา ใช้เงินซัมเมอร์แรกที่อยู่กับเอฟเวอร์ตัน 85 ล้านปอนด์
และ คาร์โล อันเชล็อตติ ใช้เงินซัมเมอร์แรกกับเอฟเวอร์ตัน 66 ล้านปอนด์ (ยังไม่รวมฮาเมส ค่าเหนื่อย 2 แสนปอนด์ต่อวีก)
1
แต่ราฟาใช้ 1.7 ล้านปอนด์ ขายได้ 25 ล้านปอนด์ ทำกำไรให้สโมสรไปอีก ได้นักเตะใหม่มาเพียบ โดยเสียแค่มอยเซ่ คีน ซึ่งก็แทบไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว
สื่อมวลชน ตัดเกรดการซื้อขายซัมเมอร์นี้ให้ เอฟเวอร์ตัน เกรด B ซึ่งก็ถือว่าน่าพอใจมากแล้ว ถ้ามองในแง่ว่าคุณใช้เงินซื้อผู้เล่นน้อยซะขนาดนั้น 1.7 ล้านปอนด์ น้อยที่สุดใน 20 ทีมของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
หลังจากได้ตัวผู้เล่นที่พอใจแล้ว ราฟาก็เริ่มโฟกัสต่อที่สนามซ้อม สิ่งที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลงก็คือ ผู้เล่นในทีมต้องเลิกเล่นแบบฉายเดี่ยว ในปีก่อนๆ เอฟเวอร์ตันจะฝากความหวังไว้ที่ซูเปอร์สตาร์ ถ้าฮาเมส โรดริเกวซเล่นดี หรือ คัลเวิร์ต-เลวีน เข้าฟอร์ม ทีมก็จะชนะ แต่ราฟาไม่เอาแบบนั้น แนวทางของราฟาคือ Collective Effort Over Individualism คือทุกคนต้องช่วยกันเล่น ช่วยกันไล่ วิ่งให้มากขึ้น และตระหนักว่าทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ที่ตัดสินเกมได้
3
ราฟาจ้าง เจมี่ ฮาร์ลีย์ นักวิทยาศาสตร์การกีฬาชื่อดังมาอยู่เอฟเวอร์ตันเพื่อออกแบบการซ้อมที่สนามยกระดับความฟิตของนักเตะให้เพิ่มมากขึ้น ราฟากล่าวว่า "เราจะซ้อมให้หนักขึ้นกว่าเดิม ในระดับที่เข้มข้นกว่าเดิม เพราะในการแข่งขันจริง เราต้องวิ่งเยอะมากๆ"
นอกจากการเน้นความฟิตมากกว่าเรื่องความสามารถเฉพาะตัวแล้ว อีกสิ่งที่ราฟา กับอันเชล็อตติต่างกันในแนวทางการซ้อม คืออันเชล็อตติจะไม่ค่อยอธิบายอะไร เพราะเขาคุ้นชินกับการทำงานกับผู้เล่นระดับโลกมาตลอด แต่กับราฟานั้นต่างกัน เขาเคยอยู่ทั้งกับบาเลนเซีย และนิวคาสเซิล ซึ่งไม่ได้มีนักเตะระดับโลกในทีม ดังนั้นกับเอฟเวอร์ตัน ราฟาจึงทำการสอนผู้เล่นอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำกลับไปในทุกรายละเอียด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่นักเตะทีมทอฟฟี่ขาดหายในซีซั่นที่ผ่านมา
2
ตัวอย่างเช่น เขาบอกกับคัลเวิร์ต-เลวีนว่า เมื่อเดมาไร เกรย์ได้บอล ทำไมคัลเวิร์ต-เลวีนไม่ฉีกเข้ามาที่เสาแรก จะได้มีโอกาสทำประตูเพิ่มขึ้น
หรืออย่างอับดุลลาย ดูกูร์เร่ ราฟาก็บอกว่า จุดแข็งของเขาไม่ใช่ตัวเชื่อมเกม ไม่ต้องทำหน้าที่เป็นเพลย์เมกเกอร์คอยจ่ายบอลเยอะๆ ถ้าแย่งบอลได้ ฝากบอลไว้กับเพื่อน แล้วเอาตัวเข้าไปในเขตโทษ หาจังหวะทำประตูดีกว่า คือลงดีเทลกันถึงขั้นรายละเอียดเล็กๆ กันเลย
1
ส่วนเรื่องนิสัยส่วนตัว ราฟาไม่ใช่ผู้จัดการทีมประเภทเดินไปกอดคอ เล่นมุก หรือไปกินข้าวร่วมกับนักเตะ เขารักษาระยะห่างระหว่างโค้ชกับผู้เล่น และเข้มงวดในกฎเสมอ
1
จุดที่น่าสนใจคือ ในปัจจุบันเขารู้จักยืดหยุ่นไม่ตึงเกินไป ประสบการณ์จากการทำงานหลายสโมสรที่ผ่านมา เขาจึงมองว่าการวางตัวทางสายกลางนี่ล่ะ เหมาะที่สุดแล้ว อย่างกรณีที่เชมัส โคลแมน รถเสียกะทันหันทำให้มาซ้อมสาย ตอนแรกหลายคนคิดว่า โคลแมนจะโดนปรับเงินเละแน่ๆ เพราะใครๆก็รู้ว่าราฟาเฮี้ยบเรื่องการตรงต่อเวลามาก แต่เอาเข้าจริงๆ ราฟาเข้าใจสถานการณ์ดีว่านักเตะไม่ได้ตั้งใจหรอก เขาบอกกับโคลแมนว่า "เรากำลังคิดอยู่ว่าจะลงโทษปรับเงินคุณอย่างไรดี อาจจะให้เลี้ยงอาหารเพื่อนร่วมทีมสักมื้อ"
4
มีแข็ง มีอ่อน รู้จักบริหารความรู้สึกทีม ทำให้ในเบื้องต้น เขาชนะใจเจ้าของทีมโมชิริได้แล้ว (ในเรื่องการใช้เงิน) และ ชนะใจนักเตะในทีมได้แล้ว (ในแง่การพัฒนาทีมให้ดีขึ้น) เหลืออย่างเดียวคือต้องชนะใจแฟนๆ ให้ได้ ซึ่งนั่นก็ต้องเกิดขึ้นจากเกมในสนาม
4
สิ่งที่ราฟาทำได้ แต่อันเชล็อตติทำกับเอฟเวอร์ตันไม่ได้ คือการพาทีมคัมแบ็กกลับมาชนะ
1
เอฟเวอร์ตันซีซั่นที่แล้ว 38 นัดในพรีเมียร์ลีก มีแค่ 1 นัดเท่านั้น ที่พวกเขาโดนคู่แข่งขึ้นนำก่อน แล้วพลิกกลับมาชนะได้ (ชนะเวสต์บรอมฯ 5-2 แต่เวสต์บรอมโดนใบแดงตั้งแต่ครึ่งแรก)
แต่ผ่านไป 4 เกมในซีซั่นนี้ ราฟาทำได้แล้ว 2 นัด (ชนะเซาธ์แฮมป์ตัน 3-1, ชนะเบิร์นลีย์ 3-1) เขาไม่เสียสมาธิแม้จะโดนนำไปก่อน แต่พาทีมพลิกกลับมาได้ตลอด
ขณะที่แผนการเล่นก็เปลี่ยนไปแทบจะทุกเกม ผ่านมา 4 นัด เอฟเวอร์ตันใช้แผนไปแล้ว 3 แผน
เริ่มจาก 4-2-3-1 ปรับมาใช้ 4-4-2 เกมล่าสุด ใช้ 3-4-3 ระบบสามเซ็นเตอร์แบ็กซะเลย ความหลากหลายเหล่านี้ ทำให้คู่แข่งจับทางยาก ขณะที่นักเตะตัวใหม่ที่ซื้อมา ทั้งทาวน์เซนด์ และ เกรย์ แทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย คลิกกับเพื่อนร่วมทีมได้เร็วมาก
1
นั่นทำให้ 4 นัดในพรีเมียร์ลีก เอฟเวอร์ตันเป็น 1 ใน 4 ทีม ที่มี 10 แต้ม ยังไม่พบเจอกับความพ่ายแพ้ในซีซั่นนี้ ถือเป็นการออกสตาร์ตที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
1
อย่างไรก็ตาม ราฟาก็พยายามเบรกความรู้สึกของลูกทีมว่าอย่าเพิ่งดีใจเกินไป ใจเย็นๆ ก่อน "ผมบอกลูกทีมที่ห้องแต่งตัวในเกมที่เราชนะเบิร์นลีย์ว่า เรายังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลย ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องพัฒนาให้ดีกว่านี้อีก" ชัยชนะเริ่มต้นนั้นเป็นเรื่องดี แต่อย่าเพิ่งลำพองใจ เพราะพลาดขึ้นมาเมื่อไหร่ โดนทีมอื่นฉีกหนีไปไกลแน่
1
สำหรับบรรยากาศของแฟนบอลเอฟเวอร์ตันตอนนี้ ความโกรธแค้นในช่วงแรก ก็ลดลงมาก ถ้าคุณทำผลงานดีขนาดนี้ จะไปว่าได้ยังไง
1
ในสนามแข่งขันเกมที่เอฟเวอร์ตันแข่ง เริ่มมีแฟนบอลกลุ่มเล็กๆ ตะโกนขึ้นมาว่า Rafa is our Gaffer (บอสของทีมเราคือราฟา) โอเคว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับราฟาแล้ว แต่มันก็มีบรรยากาศดีๆ ให้เห็นอยู่เหมือนกัน และบางทีในอนาคต เขาอาจจะได้รับการยอมรับอย่างเต็มหัวใจจากแฟนๆ ทอฟฟี่ก็เป็นได้
ก็ต้องติดตามต่อไปว่า ราฟา เบนิเตซ จะพาเอฟเวอร์ตัน ก้าวกระโดดไปไกลกว่าเดิมได้จริงหรือไม่
อย่าลืมว่าสถิติในการคุมทีมในอังกฤษของราฟา มีแชมป์ทุกสโมสร ตั้งแต่ลิเวอร์พูล (แชมเปี้ยนส์ลีก, เอฟเอคัพ) , เชลซี (ยูโรป้าลีก) และ นิวคาสเซิล (แชมป์ แชมเปี้ยนชิพ) ถ้าหากราฟารักษาสถิติของเขาต่อไปได้ เราอาจจะได้เห็นเอฟเวอร์ตันปลดล็อกโทรฟี่แชมป์เสียที
และถ้าวันนั้นมาถึง วันที่เอฟเวอร์ตันในมือราฟา ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับ
บางทีเขาอาจจะกลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่เป็นตำนานพร้อมกันของทั้งสองทีมแห่งเมอร์ซีไซด์ ... ใครจะรู้
1
#INRAFAWETRUST
โฆษณา