17 ก.ย. 2021 เวลา 01:00 • สิ่งแวดล้อม
ทะเลแดงฉาน - หมู่เกาะแฟโรฆ่าหมู่โลมาวันเดียวกว่า 1,400 ตัว
เหตุการณ์ล่าโลมาที่หมู่เกาะแฟโร ได้กลายเป็นอีกหนึ่งฉากสะเทือนขวัญประจำปี ที่ใครได้เห็นก็คงอยากเบือนหน้าหนี
โลมาแถบขาวแอตแลนติกกว่าพันตัวถูกไล่ต้อนโดยเรือยนต์ให้ว่ายมาเกยตื้นริมฝั่ง ที่มีมนุษย์หลายร้อยคนรอช่วยกันรุมฟาด-ฟัน
1
แม้พวกมันจะพยายามหันหลังกลับไปทะเล แต่คนขับเรือก็ช่วยกันขวางและต้อนให้กลับเข้าฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า
บางตัวเจ็บซ้ำเพราะถูกเรือกระแทกเข้าอย่างจัง มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่ทั่วทั้งตัว แทบจะสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงลงเสียเดี๋ยวนั้น
สุดท้าย สิ่งมีชีวิตที่ถูกล่าก็ค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ
เหลือเพียงซากศพกับเลือดสีแดงฉานนองฉาบชายฝั่ง
Sea Shepherd ซึ่งเป็นหน่วยงานอนุรักษ์ทางทะเล และเป็นแนวหน้าในการท้าชนกับประเทศที่ยังล่าวาฬ ได้ออกมาประฌามการกระทำครั้งนี้ว่าเป็นความป่าเถื่อนโหดร้าย และเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
จากภาพที่เห็น ควรเรียกว่าการสังหารหมู่ครั้งประวัติศาสตร์มากกว่าการหาอาหาร
การล่าโลมาเพื่อตุนอาหารของผู้คนบนหมู่เกาะแฟโรครั้งนี้ได้พรากชีวิตโลมาแถบขาวแอตแลนติกไปทั้งสิ้น 1,428 ตัว
เป็นจำนวนที่ฝ่ายของนักอนุรักษ์มองว่ามากเกินไป
แต่คนบนหมู่เกาะแฟโรซึ่งปกติจะล่าวาฬเป็นอาหารเสียมากกว่า ให้เหตุผลโต้แย้งว่าโลมาพันตัวนั้นเทียบเท่ากับเนื้อวาฬ 200 ตัว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่จำนวนที่มากเกินไป
การล่าวาฬและโลมาเพื่อยังชีพถือเป็นเรื่องถูกกฎหมายของหมู่เกาะแฟโร
ที่นี่เป็นสถานที่เพียงไม่กี่แห่ง ที่ยังอนุญาตให้มีการล่าวาฬ เนื่องจากลักษณะการล่าคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมการล่าแบบดั้งเดิมของอะบอริจิน
ซึ่งอ้างว่าเป็นการล่าแบบยั่งยืน ไม่ใช่การออกล่าแบบอุตสาหกรรมประมงของประเทศอื่นๆ
นอกจากการล่าวาฬแล้ว คนบนเกาะยังนิยมล่านกพัฟฟิน ซึ่งเป็นนกทะเลเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่ง
แต่ดูเหมือนปัจจุบันจำนวนนกฟัฟฟินจะลดลงไปมาก ผู้คนจึงหันเข้าหาเนื้อวาฬและโลมามากขึ้น
ขณะเดียวกันด้วยข้อจำกัดของสภาพอากาศ ทำให้ที่นี่ไม่เหมาะกับการเพาะปลูกผลผลิตทางการเกษตรสักเท่าใด
อย่างไรก็ตาม การล่า - ที่มากเกินไป - ในครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นมาหลายประการ
นักอนุรักษ์ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่เข้าร่วมล่าหลายคนไม่มีใบอนุญาตที่ทางการต้องออกให้ตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ใช้เวลาในการฆ่า “นานเกินไป” ซึ่งสมควรทำให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้สัตว์ทรมานน้อยที่สุด
แต่จากจำนวนที่โลมาที่ถูกต้อนเข้ามามากเกินไป จึงทำให้ใช้เวลาในฆ่านานเกินไปตามมา
จากสภาพที่ปรากฎ Blue Planet Society หน่วยงานอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตทางทะเลอีกเห่ง ได้ออกมาเรียกร้องกับสหภาพยุโรปและรัฐบาลของประเทศเดนมาร์กสั่งห้ามกิจกรรมนี้ในทันที
ทั้งยังกล่าวเช่นเดียวกับ Sea Shepherd ว่า ครั้งนี้ จำนวนมันมากเกินไป
เป็นที่น่าสนใจว่าการล่าโลมาในครั้งนี้ มีประชาชนบนเกาะแฟโรไม่เห็นด้วยเช่นกัน
บางคนคิดว่าสุดท้ายโลมาเหล่านี้จะตายเปล่า และถูกทิ้งอย่างไร้ค่าในที่สุด
ขณะที่บางคนสนับสนุนการฆ่าวาฬ แต่ไม่สนับสนุนการฆ่าโลมา เพราะความคุ้มค่ามันต่างกัน
ตามปกติ เมื่อวาฬหนึ่งตัวถูกฆ่า ครอบครัวที่มีส่วนร่วมในการลงมาฆ่าจะได้รับส่วนแบ่ง หากเหลือก็จะแจกจ่ายคนอื่นๆ ในชุมชนต่อไป
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนปลายเดือนมิถุนายน ชาวเกาะแฟโรได้ฆ่าวาฬนำร่องไปแล้ว 175 ตัว
ในเหตุการณ์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา องค์กร Sea Shepherd รายงานว่า พวกเขาเสียโดรนที่บินเข้าไปจับภาพการล่าวาฬหลายลำ เพราะถูกประชาชนยิงปืนลูกซองใส่
มันเกิดขึ้นจากความไม่ชอบที่หน่วยงานอนุรักษ์พยายามเรียกร้องให้พวกเขายุติกิจกรรมนี้ลงเสีย
เฉพาะปีนี้มีการล่าวาฬและโลมารวมทั้งหมด 5 ครั้ง (รวมเหตุการณ์ล่าสุด)
แต่ละปีจะมีวาฬและโลมาถูกฆ่าไปเป็นอาหารประมาณ 500 - 1,000 ตัว
ขณะที่ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มีวาฬและโลมาถูกชาวเกาะแฟโรฆ่าไปแล้วกว่า 6,500 ตัว สำหรับใช้เป็นอาหารยังชีพ
3
ความเห็นของสื่อมวลชนบางแห่ง ที่ไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้ พวกเขาคิดว่าหากผู้คนยังจำเป้นต้องกินวาฬหรือโลมา อย่างน้อยที่สุด ก็ควรจำกัดจำนวนให้ชัดเจน และไม่ควรเกิดโศกนาฎกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
#IsLIFE #FaroeIsland #Dolphins
อ้างอิง
Monster Children : https://bit.ly/3hGHnQh
Nature World News : https://bit.ly/2XmNSkb
Photo : Sea Shepherd
โฆษณา