18 ก.ย. 2021 เวลา 05:16 • ท่องเที่ยว
Switzerland (19) .. “ปราสาทชิลยอง” (Château de Chillon)
Château de Chillon หรือ “ปราสาทชิลยอง” (Castle of Chillon) .. โดดเด่น นิ่งสงบ บนแนวก้อนหินที่ล้อมรอบด้วยน้ำมานานกว่า 800 ปี ตัวปราสาทมีฐานรากฝังลึกลงไป 300 เมตรที่ก้นทะเลสาบเจนีวา .. มองมาแต่ไกลจึงให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทลอยอยู่ในทะเลสาบที่มีภูมิทัศน์ที่ยอดเยี่ยม
บางคนเชื่อว่า .. Château de Chillon สร้างมาตั้งแต่ยุคทองสัมฤทธิ์ (Bronze Age) ซึ่งในยุโรปกลางตรงกับช่วงปี 1800-1600 ก่อนคริสตศักราช ต่อมาถูกชาวโรมันครอบครอง จากหลักฐานเสาหินแบบโกธิกในห้องใต้ดิน .. ต่อมาปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าถูกต่อเติมสร้างเป็นปราสาทขนาดใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 11–13
Château de Chillon เดิมถูกสร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมที่มีความแข็งแกร่งและความงดงามของยุคกลาง เพื่อใช้เพื่อควบคุมการเดินเรือที่สัญจร ระหว่างบูร์กอญกับช่องเขากร็อง-แซ็ง-แบร์นาร์ และเป็นด่านเก็บค่าผ่านทางระหว่างเทือกเขาแอลป์ที่รู้จักกันดีว่า la route d'Italie หรือถนนสู่อิตาลีนั่นเอง .. ตัวปราสาทล้อมรอบด้วยทะเลสาบเจนีวาที่สวยงามและเทือกเขาอัลเบอร์สที่ยิ่งใหญ่
ใครๆก็บอกว่า ปราสาท Chillon ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำ เมืองมองเทรอซ์ (Montreux) เมืองเล็กๆ แสนน่ารักที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ .. ดังนั้นสำหรับคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์โบร่ำโบราณ เมื่อมาเยือนเมืองสวยๆของ Montruex ก็ต้องไม่พลาดการมาเดินชม Château de Chillon
ภาพด้านหน้าของปราสาทเมื่อแรกเห็น มีป้อมปราการและหอคอย 3 ยอดที่ห่างออกมาจากฝั่ง .. เชื่อว่าเป็นที่พักร้อนของราชวงศ์ซาวอย (SAVOY) และที่พักของท่านเคานต์แห่งซาวอย (Counts of Savoy) เจ้าของปราสาทในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ซึ่งขณะนั้นปกครองทางตอนเหนือของอิตาลีและกินพื้นที่เข้ามาทางตอนใต้ของสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน .. ส่วนอีกด้านหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ ซึ่งเงียบสงบร่มเย็นคาดว่าน่าจะเป็นที่ประทับของเจ้าชาย และฝั่งด้านติดทะเลสาบนั้นยากแก่การลอบเข้าโจมตีของศัตรู
เมื่อเข้ามาในบริเวณปราสาท .. รู้สึกว่าตัวเรารายล้อมด้วยบรรยากาศของความลึกลับผสมกับความสวยงามแบบคลาสสิค ซึ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างดีว่าในปราสาทนี้จะมีอะไรบ้าง
เราเริ่มการทัวร์ปราสาท ชิลยอง ด้วยการลงไปชมสถานที่ที่หลายคนบอกว่าสำคัญที่สุด .. นั่นคือ คุกลับที่มีร่องรอยแห่งความหนาวเหน็บ มืดมิด และโหดร้ายแห่งยุคสมัยกลาง
คุกใต้ดินของชิลยอง (dungeon of Chillon) .. สร้างโดยมีสถาปัตยกรรมแบบโกธิก จึงน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน ที่นี่ เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของปราสาท ด้วยเหตุที่มีร่องรอยบุคคลสำคัญของโลกประทับไว้...เขาคือ “ลอร์ด ไบรอน” กวีและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ขณะที่ยุคโรแมนติกกำลังเฟื่องฟู มีกวีหลายคนได้เยี่ยมเยียนปราสาทชิลยองแห่งนี้ .. แต่ละคนกลับออกไป แล้วพรรณนาเป็นทั้งข้อเขียนและบทกวีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Jean-Jacques Rousseau .. Percy Bysshe Shelley .. Vigtor Hugo .. Alexandre Dumas .. Charles Dickens และแน่นอนว่ารวมถึงลอร์ดไบรอน ที่สลักชื่อของเขาเองลงบนเสาต้นที่ 3 ในคุกส่วนที่เคยขังฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด (François Bonivard)
François Bonivard เป็นทั้งนักบวชที่ดูแลวิหารเซนต์วิกเตอร์ ในเมืองเจนีวา .. เขาเป็นทั้งนักบวชและนักการเมือง ที่ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ให้เจนีวาเป็นอิสระจากซาวอย เขาจึงถูกจับล่ามโซ่ตรึงเข้ากับเสาต้นที่ 5 ในคุกใต้ดินแห่งนี้ระหว่างปี 1532-1536 และโชคดีที่กองทัพสวิสจากเบิร์นเข้ามายึดอำนาจของเคานต์แห่งซาวอยในปี 1536 ทำให้ โบนิวาร์ด เป็นอิสระ และกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความรักชาติยิ่งชีพที่เจนีวา
... เรื่องราวของ โบนิวาร์ด ประทับจับใจ ลอร์ด ไบรอน มากมาย .. และหลังจากได้เห็นสภาพคุกที่เคยขังฮีโร่ของเขา ลอร์ดไบรอนก็ได้แรงบันดาลใจกลับมาแต่งบทกวีชื่อว่า “นักโทษแห่งชิลยอง” (The Prisoner of Chillon) ซึ่งนับเป็นอีกผลงานชิ้นเอกของยอดกวีแห่งอังกฤษผู้นี้เลยทีเดียว
ภายใน dungeon มีลายเซ็นสลักของ ลอร์ด ไบรอน ซึ่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวของการลงไปผจญภัยใต้ดันเจียนที่ทั้งเย็นและมืดสลัว .. ทางปราสาทจัดแสดงติดกรอบรอบชื่อไว้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่าตามเสาหินในคุกใต้ดินนั้นมีลายเซ็นสลักชื่อผู้คนไว้มากมาย
... เรากลับขึ้นมาสู่โลกแห่งแสงสว่างด้านบน .. รู้สึกเหมือนกับว่าเราได้ย้อนเวลากลับไปสู่อดีต
.. เราเดินตามทางเดินที่เหมือนสะพานรอบๆปราสาท .. มีช่องเป็นระยะๆ ให้ส่องดูพวกเรือสินค้าต่าง ๆ ที่จะผ่าน ณ จุดนี้ หรือในกรณ๊สงคราม ก็จะเห็นความเคลื่อนไหวของข้าศึกที่จะเข้ามาโจมตี
Château de Chillon ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ Castle of Chillon Foundation .. ปราสาทมีห้องน้อยใหญ่ทั้งหมด 25 ห้อง แต่มีจุดให้นักท่องเที่ยวได้ชมตามตำแหน่งต่างๆ ไว้ 32 จุด พร้อมทั้งมีคำอธิบายไว้ให้คนที่มาเยี่ยมชมได้อ่านกันด้วยค่ะ
ไกด์อิเล็กทรอนิกส์ (Audio Guide) จะเป็นตัวช่วยแนะนำให้เราเดินชมปราสาทด้วยการไล่เรียงหมายเลข เริ่มจากหมายเลข 1 ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงโมเดลจำลองปราสาท ก่อนต่อไปยังชั้นล่างสุด คุกเก่าจองจำนักโทษ จนไปถึงหมายเลข 46 ซึ่งเป็นหมายเลขสุดท้าย ... ผ่านห้องรับประทานอาหาร ห้องทำเฟอร์นิเจอร์ประจำปราสาท ห้องนอน ห้องประชุม ไปจนถึงโบสถ์ขนาดเล็กบนชั้นสูง โดยทุกห้องจะมีนิทรรศการขนาดย่อมที่บรรยายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนั้นๆ บางห้องก็มีของโบราณจัดแสดงให้ชมจริงๆ บางห้องก็เป็นของใหม่ที่สร้างจำลองของเก่ามาช่วยสร้างบรรยากาศ
มีห้องโบราณจัดแสดงสิ่งของที่ใช้โดยผู้คนที่อาศัยอยู่ในปราสาท ...ช่องว่างต่าง ๆ ระหว่างห้องในปราสาทจะวนไปรอบ ๆ และเชื่อมถึงกัน และขั้นบันไดที่คล้ายเขาวงกตจะนำไปสู่หลังคา และเมื่ออยู่บนหลังคาคุณสามารถมองเห็นภูเขาและผืนน้ำของทะเลสาบเจนีวา
ห้องจัดแสดงโมเดลจำลองปราสาท .. เป็นห้องแรกที่จะทำให้เราคุ้นเคยกับรายละเอียดส่วนต่างๆของปราสาท
"ห้องครัวใหญ่" ... เราจะได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์การทำอาหาร ทำไวน์ เบียร์ รวมถึงประวัติการใช้เครื่องเทศต่างๆ ที่คนยุโรปทำการค้าขายกับชาติอื่นๆในอดีต ห้องนี้มีพื้นที่กว้างขวางสว่างโล่ง เตาผิงขนาดใหญ่ที่พอจะให้ความอบอุ่นได้ทั่วห้อง ตู้เก็บจาน ถ้วยโบราณเรียงรายอยู่รอบๆ ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์ทำครัวดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพ
ห้องรับแขก .. มีเก้าอี้ยักษ์เรียงรายพร้อมด้วยเสาหินอ่อนดำที่เคยมีมากมายในแถบนี้
Hall of Justice .. ห้องแห่งการสังสรรค์ ของเจ้าของปราสาทยุคหลัง แต่ในสมัยของเคานต์ออฟซาวอย ส่วนนี้เป็นโถงรับแขก การจัดเลี้ยงและงานรื่นเริง .. ความสวยงามของห้องนี้ คือ ห้องนี้จะสว่างไสวกว่าห้องอื่นๆ มีช่องหน้าต่างที่กว้างกว่า เปิดให้แขกผู้มาเยือนชมวิวทะเลสาบเจนีวาที่ล้อมรอบปราสาทไปพร้อมๆ กับการสังสรรค์
"เสาหินอ่อนดำ" ที่ใช้คำยันเสริมความแข็งแรง น่าสนใจมาก ..ซึ่งอาจจะพูดได้ว่า เสาเหล่านี้สะท้อนถึงทรัพยากรในสมัยก่อน ที่บริเวณแคว้นแห่งนี้มีหินอ่อนดำ ทั้งนำมาทำเป็นเสาและรูปปั้นตามปราสาทต่างๆ รวมทั้งยังเป็นแหล่งส่งออกหินอ่อนดำไปทั่วยุโรป แต่ปัจจุบันไม่มีเหลืออีกแล้ว
Chapel "ห้องสวดมนต์" อันเป็นพื้นที่แห่งความศรัทธา เป็นอาคารหลังเล็กที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ที่ดูลึกลับ .. ว่ากันว่า ในตอนแรกสร้าง ท่านเคานต์ออฟซาวอยใส่ความนับถือโรมันคาทอลิกสไตล์อิตาเลียนเข้าไปอย่างเต็มที่ ทั้งภาพฝาผนัง การประดับตกแต่งตามส่วนต่างๆ ของห้องสวดมนต์ .. แต่เมื่อคราวต้องสูญเสียปราสาทให้แก่ชาวเบิร์น ซึ่งนับถือโปสแตสแตนท์ ทำให้ภาพวาดในห้องสวดมนต์แห่งนี้ถูกเผาและขูดออกทั้งที่ฝาผนัง เพดาน จนแทบไม่เหลือร่องรอยแห่งศตวรรษที่ 12
.. แต่ก็ยังโชคดีที่มีศิลปะเล็กๆ เป็นรูปสลักตรีเอกานุภาพ (พระบิดา-พระบุตร-พระจิต) ซ่อนไว้ที่หัวเสา จึงทำให้นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังสามารถหาเค้าร่างแรกเริ่มของการสร้างห้องนี้ได้ โดยสังเคราะห์ออกมาเป็นภาพฉายขึ้นบนผนังและเพดานไปตามบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็น ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยแบบนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเหนื่อยกับการสร้างจินตนาการที่ไม่คุ้นเคย
ห้องนอน .. หรูหราโอ่อ่าด้วยเตียง ขนาดสี่เสาใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง
หอคอยป้องกันคลังแสง .. ห้องที่จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์โบราณ
นาฬิกาโบราณปี 1897 … มีเพียงกลไกที่น่าทึ่งในการทำงาน ไม่มีเข็มนาฬิกา
ห้องจัดแสดงงานไม้ และเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงวิธีการและกลไกต่างๆที่ใช้ในยุคนั้น .. ชิ้นงานเหล่านี้ย้อนกลับไปได้ถึงยุคโกธิค หรืแม้แต่ยุคโรมันโบราณ ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่สามารถสืบค้นไปถึงยุคต่างๆได้
ภาพเขียนสีบนแผ่นไม้ ใช้ในการประดับส่วนบนขอบห้อง สวยมาก
บริเวณด้านนอกของปราสาท .. มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม มีต้นไม้ใหญ่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อน สามารถมองเห็นวิวท่าเรือ วิวทะเลสาบ และวิวภูเขาที่ล้อมรอบ
เรือท่องเที่ยวผ่านเข้ามาในสายตา .. เพื่อนที่เคยมาล่องเรือระยะสั้นๆที่นี่ บอกว่า วิวระหว่างการล่องเรือนั้นสวยมาก .. จะได้เห็นเมือง Montruex จากทะเลสาบ ในมุมมองที่ไม่เหมือนตอนที่เดินอยู่บนฝั่ง และจุดที่เป็นไฮไลท์ของการล่องเรือ คือในช่วงที่เรือแล่นใกล้ถึงปราสาทชิลยองนี่เองค่ะ มุมมองแปลกตาที่เราไม่สามารถเห็นหือถ่ายภาพได้จากบนฝั่ง
สะพานด้านข้างปราสาท .. จุดนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม เป็นจุดฮิตของการถ่ายรูปมาก
Château de Chillon ถือได้ว่าเป็นปราสาทที่สมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง .. แต่การขุดค้น สืบหาประวัติที่มายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสืบค้นในช่วงแรกสุดก่อนที่เคานต์ออฟซาวอยจะเข้ามาครอบครอง
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา