รีวิวอัลบั้ม Iron Maiden: Senjutsu (2021) กลยุทธ์ใหม่ที่คงไว้ซึ่งความเฉียบขาด
ในที่สุดสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 17 จากหัวหอก NWOBHM (New Wave Of British Heavy Metal) อย่าง Iron Maiden ก็ได้ฤกษ์ออกวางแผงให้แฟนๆหลากวัยของพวกเขาได้รับฟังเป็นที่เรียบร้อย โดยเว้นช่วงจากอัลบั้มก่อนหน้า The Book Of Soul ร่วมสี่ปี และด้วยความที่อัลบั้ม Senjutsu เป็นคำจากภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า กลยุทธ์ ก็ได้ลามมาถึงงานออกแบบปกซึ่งแน่นอนว่ามาสคอตประจำวงอย่าง เอ๊ดดี้ ก็ได้ทีสวมชุดซามูไรออกอาละวาดเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี
Senjutsu เปิดตัวด้วยสำเนียง Heavy Metal อันเป็นลายเซ็นเฉพาะตัว ด้วยริธึ่ม Mid-Tempo ที่คอยย่ำและประโคมจังหวะอย่างมั่นคงจนเกือบจะกลายเป็นเนือยในบางครั้ง อันเนื่องด้วยความยาวของตัวเพลง ยังดีที่ว่าได้สำเนียงโซโล่กีตาร์แบบตะวันออกมาคอยกู้หน้าไว้ ขณะที่เสียงร้องของป๋า Bruce ยังทรงพลังข่มขวัญเด็กรุ่นหลังได้สบายแม้อายุอานามจะเข้าสู่วัยชราอย่างเต็มรูปแบบแล้วก็ตาม, Stratego หลุดจากความหนืดในแทร็กแรกกลายร่างมาเป็น Iron Maiden แบบที่เหล่าสาวกคุ้นเคย เนื้อหาคอยกระตุกวิญญาณ พาร์ทดนตรีขับเคลื่อนด้วยริฟฟ์พุ่งทะยานไปข้างหน้า, The Writing On The Wall ลดดีกรีลงมากับริฟฟ์กีตาร์โยนๆติดสไตล์คันทรี ก่อนจะตีหัวด้วยคอรัสติดหู โซโล่กีตาร์สวยๆยังมีให้ฟังกันจนอิ่ม
Lost In A Lost World หมองหม่นกันต่อด้วยอินโทรอะคูสติกคลอไปกับเสียงของป๋า Bruce เจ้าเก่า สร้างบรรยากาศด้วยซาวด์คีย์บอร์ดฟุ้งๆจากมือเบส Steve Harris (ที่ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์อีกด้วย) ลอยอยู่ข้างหลังก่อนจะตัดเข้าภาคเฮฟวี่จังหวะกลางหน่วงอันคุ้นเคย ริฟฟ์กำแพงกีตาร์ย้ำๆง่ายๆช่วงท่อนโซโล่นี่แหละใช่แบบที่แฟนๆรอคอยกันอยู่แน่นอน, Days Of Future Past เร่งเครื่องให้ต่อมหูเหล็กได้สูบฉีดด้วยตัวเพลงที่มีความยาวระดับปกติบ้าง มีทุกอย่างที่บรรดาสาวกต้องการอยู่ครบถ้วน, The Time Machine ยังใช้มุกอินโทรใสแจ๋วเนิบช้าหลอกล่อให้ตายใจก่อนจะจัดให้แบบเต็มแบนด์ ถ้าเท่านี้ยังไม่สาแก่ใจพวกเขายังเสิร์ฟด้วยมูฟเมนท์เปลี่ยนส่วนดนตรีแบบ Progressive โชว์ความซับซ้อนให้เด็กมันดูอีกเล็กน้อย
The Parchment งานมหากาพย์ใหญ่ยักษ์ความยาวกว่า 12 นาที เมนริฟฟ์แว้บนึงแอบทำให้นึกถึงตำนานอย่าง King Diamond ได้ไม่ยาก โอบอุ้มด้วยลิคกีตาร์จากสามขุนขวานอย่าง Dave Murray, Adrian Smith, Janick Gers ที่แบ่งพาร์ทกันได้อย่างรู้ใจ ก่อนที่ Nicko McBrain จะอัพระดับบีทกลองเข้ามาส่งช่วงท้ายเพื่อให้เพลงดูเป็นระนาบเดียวมากเกินไป, Hell On Earth อินโทรเรียกอารมณ์ร่วมค่อนข้างยืดไปนิด ตัวเพลงสรุปถึงเศษซากความสูญเสียต่างๆที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ที่ยาวนานมาตลอดกว่าหนึ่งชั่วโมงของอัลบั้ม พาร์ทดนตรียังเฮฟวี่หลากหลายลีลาคาดหวังได้ สลัดความอึมครึมไปได้พอสมควร ก่อนจะผ่อนอารมณ์และส่งท้ายด้วยข้อคิดเตือนใจ Love In Anger, Life In Danger