18 ก.ย. 2021 เวลา 14:40 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Certified Lover Boy - Drake
พ่อนักรัก มักทุกสิ่ง
[รีวิวอัลบั้ม] Certified Lover Boy - Drake
-ตั้งแต่ปกก็ไม่โอล่ะ จำนวนแทร็คยังเยอะอยู่เช่นเคย นี่คือความคิดแง่ลบที่แว๊บขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก หลังจากที่ได้เห็นอัลบั้มนี้เป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่คาดหวังก็ได้เห็นจริงๆ ในปกอัลบั้มอีโมจิคนท้อง ถึงแม้ว่าจะ reference มาจากผลงานของ Damien Hirst เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าจะ copy paste จากคีย์บอร์ดของมือถือ iPhone ดูยังไงก็เชยว่ะ
-นี่ขนาดผมเคยมองว่าปกอัลบั้ม Scorpion ที่ว่าเชยแล้วนะ ปก CLB แม่งยิ่งกว่าจริงๆ แอบลวกเอามากๆ เรื่องปกกคงไม่จักสำคัญเท่ากับงานเพลงว่าเราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆจากแร็ปเปอร์พ่อลูกหนึ่งหรือไม่ ? จำนวนแทร็คของอัลบั้มที่ยังไม่เข็ดกับการใส่แม่งทุกสิ่ง โดยไม่ตัดทอนอะไรเลย (น้อยกว่า Scorpion แค่ 4 แทร็คเท่านั้น) แถมมีแทร็คสั้นๆลักษณะ interlude แค่เพลงเดียวถ้วนๆด้วย ยังคงเป็นปัจจัยที่น่าบ่นอีกเช่นเคย หากเหนื่อยกับการตะลุย Scorpion มากเพียงใด CLB ไม่น่าจะต่างกัน
-ตัวอย่างของศิลปินที่ทำให้อัลบั้มที่มีจำนวนแทร็คเยอะระดับเลข 2 ให้ไม่น่าเบื่อ ไม่เหนื่อยเกินไป ก็มีให้เห็นบ้างประปราย วิธีที่มีให้เห็นบ่อยคือการอาศัยสมัครพรรคพวกมาสร้างสีสันอย่างละนิดอย่างละหน่อย ถ้าแขกรับเชิญไม่เยอะมากมาย การทำให้ความยาวแทร็ครวบรัดตัดความจึงเป็นวิธีที่เข้าท่า ปริมาณแทร็คระดับ 20 แทร็คขึ้นไปจึงเป็นอะไรที่ challenge มากๆในการจูงใจคนฟังให้คล้อยตาม ยิ่งคนฟังเพลงยุคนี้ชอบอะไรที่สั้นๆด้วย เสี่ยงต่อการละทิ้งกลางทางได้ทุกเมื่อเช่นกัน ต่อให้เฮีย Drake จะเข้าใจคนยุคนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ทำเพลงด้วยวิธีการเดิมๆ ผลลัพธ์เดิมๆ เน้นปริมาณเยอะเข้าว่า ยิ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งการลีลาแร็ปด้วย ยิ่งทำให้การเสพผลงานมีความยืดยาวเกินความจำเป็นด้วย
-จุดแตกต่างจากงานเพลงชุดก่อนที่พอสังเกตได้น่าจะเป็น ขยันแร็ปขึ้น จุดนี้น่าจะลดการสบประมาทจากชาวฮิปฮอปที่มักจะมองว่า ผลงานระยะหลังของแร็ปเปอร์ชาวแคนาเดียนแทบจะเป็นเพลงร้องมากกว่าเพลงแร็ปแบบแต่ก่อน ลิสท์เพลงฮิตก็ไม่ใช่ pure rap ซะด้วย การที่ Drake ถูกจัดให้ติดทำเนียบท็อปแร็ปเปอร์จึงเป็นสิ่งที่คลางแคลงใจต่อกลุ่มแฟนเพลงและแร็ปเปอร์ให้หาจุดแซะกันอยู่ร่ำไป จากที่เคยแบ่งแยกพาร์ทแร็ปกับพาร์ทร้องใน Scorpion มาแล้ว สำหรับ CLB เทสัดส่วนการใส่แร็ปพ่นโฟล์วมากกว่าการร้องจนเห็นได้ชัด
-เริ่มแทร็คแรก Champagne Poetry ก็ใส่แร็ปตามธรรมเนียมแร็ปเปอร์ทั่วไปที่อยากจุดไฟให้คนฟังติดก่อน เพิ่มเติมคือการใส่ความขี้เล่นด้วยการ adapt อินโทรเพลง Navajo ของ Masego ที่ดันไปใช้แซมเปิ้ลเพลง Michelle ของ The Beatles อีกต่อนึง มาบิดเสียงงั้วเงี้ยให้ฟังดูขี้เล่น แต่กลับเผยไต๋อารมณ์เหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นเสียงถอนหายใจเฮือกก่อนเข้าสู่พาร์ทแร็ปที่สอง การบ่นอย่างตรงไปตรงมาถึงการเข้าสู่วัย 30 กลางๆที่เผชิญกับภาวะหมดไฟในบางเวลา ไม่เฟรชแบบแต่ก่อน บ่นถึงความเหงาที่ตัวเองก็ยังหวังลึกๆว่า เนื้อคู่คงอยู่ที่ไหนซักแห่ง (อารมณ์เสี่ยวประกาศหาเนื้อคู่ก็มา) และการที่ตัวเองรู้สึกน้อยใจที่ได้รางวัลน้อยกว่าที่คิด ซึ่งสวนทางกับยอดขายที่ตัวเองกำชัยมาโดยตลอด เป็นแทร็คอินโทรเปิดอัลบั้มที่โคตร mixed feeling มากๆ มีทั้งอารมณ์คัมแบ็คและเหนื่อยล้าพอๆกัน
-ถ้าหากลองจินตนาการตามหน้าปกอัลบั้มที่อาจจะดูเชยจนไม่อยากมโนตามก็ตาม สิ่งนึงที่พอเดาได้คือ การพยายามเข้าหาเพศแม่ในแบบไม่มีพิษมีภัย แต่ก็ไม่ได้ไปทางโปรแม่ของ Adonis มากนัก ถ้าจะว่ากันตามตรง ยังคงติดคาแรคเตอร์เพลย์บอยนักรักที่ไม่จางหายไปเลยถึงเป็นพ่อคนแล้วก็ตาม ไลฟ์สไตล์หนุ่มโสดเหงาๆ ตามหารักแท้ในหลากที่ต่างถิ่น ยังคงมีให้พรรณนาอยู่เสมอ Papi’s Home ที่ให้อารมณ์ “แฟนจ๋า ชั้นมาแล้วจ๊ะ” มากๆ ถ้า Nicki Minaj มี verse อีกซักนิดนึกว่าจินตหลาเลย
-Girls Like Girls เป็นการสนับสนุนสาวเลสเบี้ยนที่สร้างความสับสนน่าดู ไม่ได้มีเป้าประสงค์ของการสนับสนุนเพศทางเลือกซะทีเดียว ในมุมมองผมน่าจะหมายถึงการไม่อยากให้สาวที่ตัวเองไปแอบเต๊าะไปชอบผู้ชายเพื่อไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกอิจฉาเพื่อนชายด้วยกันเองมากกว่า ถ้าชอบผู้หญิงด้วยกัน ผมให้ผ่าน หากไม่รู้ว่าเจ้าของเพลงต้องการสื่ออะไร Lil Baby ที่มาตีความในมุมมองตัวเองอีกต่อนึงก็อาจจะทำให้คนฟังเคลียร์ขึ้น แต่ไม่มี statement support LGBTQ ที่จ๋าขนาดนั้น In The Bible ที่ยังคงใช้โฟล์วสำเนียงเมาๆวกวนของคนที่ดันไปมีอะไรกับสาวที่เคร่งศาสนาแทนที่จะฟิน แต่กลับโดน blame เฉย Lil Durk ปล่อยโฟล์วได้คล่องแคล่ว ฟังขึ้นยิ่งกว่า Laugh Now, Cry Later มากๆ ส่วน GIVĒON ที่กำลังมาแรง กลับไม่มีความจำเป็นต่อเพลงนี้มากนัก
-การใส่ความเคารพนับถือต่อสาวระบำเปลื้องผ้า ยังคงเป็นประเด็นที่เดรคยังคงชื่นชอบและอยากแสดงความเห็นใจ นอกจากเพลง The Real Her ที่ได้เห็นในยุค Take Care แล้ว ในอัลบั้มนี้ก็มีเพลง TSU (ย่อมาจาก Texas Southern University) เป็นการเล่าสตอรี่ของสาวระบำเปลื้องผ้าที่โดนตัดขาดจากครอบครัวทุกทางเพียงเพราะไปเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้า จริงๆแล้วชื่อเพลงได้มาจากวลีของ OG Ron C ดีเจประจำถิ่น Texas ที่ชอบเรียกเหล่าสาวๆมหาวิทยาลัย Texas Southern เล่นๆว่า TSU Ladies
สามารถติดตามข่าวเกี่ยวกับการให้เครดิต R.Kelly ในเพลง TSU ได้ที่นี่ ฝากกดไลค์เพจด้วยครับ >>> https://www.facebook.com/fungpaifungma/photos/a.1449854068643229/2649704655324825/?type=3
-แน่นอนว่าแร็ปเปอร์ชาวแคนาเดียนผูกพันกับเมืองเท็กซัสเหลือเกิน ถึงว่าเดรคพยายามเหลือเกินในการเอาคลิปเสียงนี้มาแซมเปิ้ลนี้ประกอบเพลง ยอมโดนด่าที่คลิปเสียงดังกล่าวดันติดเพลงของนักร้องอื้อฉาว R.Kelly จนต้องจำใจให้เครดิตพ่วงไปด้วยก็ตาม แต่เอาเข้าจริงต่อให้แปลงเสียงสุดฤทธิ์ กลับทำให้เพลงไม่น่าจูงใจให้ฟังเอาเสียเลย ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด N 2 Deep ยังคง reference ปักหมุดเมืองเท็กซัส มาในลักษณะเปลี่ยวเหงา มองหาความสัมพันธ์กับสาวในคลับด้วยบรรยากาศไฟสลัวๆ ก่อนที่จะ switch beat ด้วยโทนคลับหวือหวาเริ่มกรึ่มได้ที่ พร้อม verse เมาน้ำลีนจาก Future ที่แสดงความเจ้าชู้พอกัน
-จากเพลงโทนบรรยากาศกลางคืน เปลี่ยนมาเป็นเพลงโทนสว่างๆสายๆด้วยอารมณ์เซ็งเป็ดของคนที่ดันคว้าน้ำเหลวจากการจีบและเปย์ผู้หญิงในเพลง Pipe Down อันแปลว่าหุบปาก แต่ในที่นี้เป็นการตัดพ้อถึงตัวเองว่า ทำไมก็หุบปากเสียงที่อยู่ในหัวให้ลืมเธอคนนั้นได้เสียที การแทรกด้วย Yebba’s Heartbreak เป็นไอเดียที่เข้าท่าสำหรับการแชร์มุมมองเปลี่ยวเหงาของผู้หญิงบ้าง เป็นโซลคนผิวขาวที่ต้องมนต์ใช้ได้เลย อย่างที่เรารู้กันดีว่า นี่เป็นความพยายามทำตัวเป็นป๋าดันอย่างต่อเนื่องด้วยการมอบพื้นที่ interlude ให้ศิลปินคนๆนั้นได้ฉายแสงอยู่เสมอ
-นอกจากเพลงรักสาวในคลับแล้ว มีเพลงที่แชร์ประสบการณ์ที่ตัวเองเคยสับรางออกเดทสาวสองคนด้วยกัน ซึ่งทั้งสองคนเสือกเป็นเพื่อนสนิทกันด้วยในเพลง Get Along Better ครุกกรุ่นด้วยอารมณ์วิตกกังวลของคนที่ไม่อยากให้สองสาวบาดหมางใจกัน เพียงเพราะปันใจไปให้สาวเพื่อนสนิทอีกคน จึงเป็นเหตุให้เลิกกับสาวคนหลักไป การชิ่งเพื่อนสนิทของสาวคนนั้นจึงเป็นความจำเป็น ก่อนที่ทั้งคู่จะตบตีกันได้ เป็นเพลงที่ใส่ความ slow jam จัดเกินจนเพลงมันยืดขาดความน่าสนใจไปเลย ประสบการณ์ได้เสียกับแฟนเพลงในเพลง Fucking Fans ที่มาโทนอาร์แอนด์บียืดพอกัน ในช่วงท่อนร้องร่วมกับ PARTYNEXTDOOR เกือบจะคล้ายๆ The Weeknd เลยล่ะ
-แน่นอนว่าต่อให้เค้าได้เป็นพ่อคนแล้วก็ตาม ชีวิตรักของแร็ปเปอร์ชาวแคนาเดียนก็ไปทางไม่ลงหลักปักฐานชัดเจนมากนัก นอกจากสัมพันธ์รักที่ไม่ลงตัวแล้ว สัมพันธ์กับเพื่อนในวงการก็มีทั้งดีเฉพาะกับคนคุ้นเคย ปนกับการตกเป็นเป้าให้เพื่อนปลอมแซะด้วยความหมั่นไส้อยู่เรื่อยๆ อารมณ์ตัดพ้อเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของแร็ปเปอร์ยอดขายสูงสุดอยู่แล้ว เฉกเช่น Love All ถึงจะเชิญพี่ชายคนใหญ่ในวงการ Jay-Z มาประดับเพลง แทบจะไม่มีอารมณ์ swag ใดๆทั้งสิ้น มีแต่อารมณ์ปลงล้วนๆ มาร่วมกันแชร์วงจรอุบาทในวงการที่พวกเขามักจะไม่ได้รับคุณค่าที่ดีพอตอนยังมีชีวิต จะเห็นคุณค่าก็ตอนที่พวกเขาตายแล้ว มันเป็นสัจธรรมที่โคตรขมขื่นของแร็ปเปอร์ที่ยังมีชีวิตจริงๆ ส่วน Jay-Z มาแชร์เรื่องที่ครั้งนึงเขาเกือบโดนเก็บจากเพื่อนคนนึงที่เคยนับญาติด้วยนามว่า DeHaven ที่โกรธแค้นเคืองใจต่อเขามากจนอยากจะจบชีวิตแบบเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว
-Knife Talk โหมดขมุกขมัวอึมครึมตามแบบฉบับ Metro Boomin แท็กทีมโฟล์วสุดเชือดเฉือนจาก 21 Savage และ Project Pat พี่ใหญ่แห่ง Memphis รวมกันมาทำขรึม พูดภาษาแก๊งส์เตอร์ ทีเด็ดสุดจริงๆคือ Fair Trade ที่ลงตัวทั้งแซมเปิ้ล โฟล์วตัดพ้อประชดประชันถึงความไม่แคร์ต่อให้สูญเสียเพื่อนบางคน ไม่เดือดไม่ร้อนอะไร และการ switch beat ที่เหนือเมฆมากๆจาก Travis Scott ที่ดึงคนฟังเข้าสู่บรรยากาศดาร์คอันครุกกรุ่นได้โดยอัตโนมัติ นับว่าเป็นเพลงแจมของทราวิสที่ดีที่สุดในช่วงหลังยุค Astroworld ด้วย
-การมีเรื่องกับแร็ปเปอร์ไอคอนที่ครั้งนึงเคยโปรดิวซ์เพลงให้ตั้งแต่อัลบั้มแรกและเคยเป็นไอดอลของเขาอย่าง Kanye West หรือแม้กระทั่ง Pusha T ผู้ที่มี beef กันอย่างยาวนาน แถมป่าวประกาศข่าวลือเรื่องลูกเก็บด้วย ยังคงประเด็นขัดแย้งที่ทุกคนให้ความสนใจว่า รอบนี้แกจะงัดอะไรมาตอกกลับ เผลอๆคนให้ความสนใจมากกว่าการแชร์ความรู้สึกถึงความเป็นพ่อคนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ No Friends In The Industry ที่มาด้วยอารมณ์เยาะเย้ยถากถาง ยังคงใช้ประโยชน์ของบีทสไตล์ Memphis Hip Hop จากแซมเปิ้ลเพลง Niggaz Ain’t Barin Dat ของ Three 6 Mafia มาเขย่าให้ยึกยัก
-7am on Bridle Path อารมณ์ฟึดฟัดตาต่อตาฟันต่อฟัน ที่ขอฝอยวีรกรรมที่จำความได้แบบขอซักหน่อยเหอะ อยากด่ากลับมานานล่ะ ที่มีทั้งการนินทาลับหลังในช่วงที่เคยไป Wyoming Session การพยายามหาจุดอ่อนว่าตัวคานเย่เองก็มี ghostwriter เหมือนกัน อยากจะเจอคานเย่แบบตัวต่อตัว แทนที่จะแชร์โลเคชั่นบ้านของแร็ปเปอร์โตรอนโต้อย่างเอิกเริกใน IG รวมไปถึงการแซะแคมเปญที่คานเย่จะลงสมัครประธานาธิบดี เป็นเพลง diss กลับที่ค่อนข้างเข้มข้นเลยทีเดียว
-อีกหนึ่งเพลง take shot ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือการเล็งเป้าไปที่โปรดิวซ์เซอร์ Swizz Beatz ในเพลง You Only Live Twice ที่หยิบวีรกรรมที่เคยแซะแร็ปเปอร์รุ่นน้องว่า pussy ใน IG Live ชนิดที่จำได้ไม่เคยลืม เลยจัดประโยค punchline เด็ดๆที่ reference เพลง Unthinkable ที่ตัวเองเคยไปช่วยเมียของน้าแก Alicia Keys ร้องคอรัสด้วยกัน รวมไปถึงการเล่นวลีในเพลง Fancy จากอัลบั้ม Thank Me Later ซึ่งตัว Swizz Beatz แกเคยไปช่วยโปรดิวซ์มาแล้วรอบนึง หลังจากที่น้าแกฟังสิ่งที่รุ่นน้องตอบโต้ก็แอบเลิกลั่กหน่อยๆด้วย ทั้งนี้ Rick Ross และแร็ปเปอร์คู่บุญที่กลับมาร่วมฟีทในรอบหลายปีอย่าง Lil Wayne ก็มาช่วยลงแขกในเพลงนี้อย่างสนุกปากจริงเชียว
Unthinkable when I think of the way these niggas been actin'
Yeah, I never did you nothin' and you play like we family, huh?
Next thing, you wanna shoot me down, it can't be love
Not sure where you was tryna send it, it can't be up
That day you sounded like a bitch, you fancy, huh?
-อย่างไรก็ดีได้มีการจบศึก beef กับ Kid Cudi อดีตคู่กรณีแห่ง Cleveland ด้วยการชวนกันมาแจมในเพลง IMY2 (I miss you too) ไม่มีอะไรมากนอกจากการสร้างโมเมนต์มิตรภาพชดเชยร่วมกัน ในท่อนอินโทรได้มีการใส่คลิปเสียงบทสัมภาษณ์ของ Juice WRLD ในช่อง Montreality เป็นการ tribute แร็ปเปอร์สายอีโมผู้ล่วงลับด้วย
-สิ่งนึงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Drake คือแร็ปเปอร์ที่พยายามทลายกำแพงน้ำแข็งด้วยการทำตัวหลุดๆ ไม่ต้องเก๊กซิมมาก กลายเป็นคาแรคเตอร์ภาพจำที่ viral เสียจนเก็บแต้มแฟนเพลงแนวอื่นๆอยู่ไม่น้อย แต่ชักไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะสามารถสร้างความนิยมในระยะยาวได้หรือไม่ อย่างที่เห็นในเพลง Way 2 Sexy จริงๆตัวเพลงแทบไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น มันคือสูตรสำเร็จเพลง cardio hip hop ที่แร็ปเปอร์หลายคนทำมาแล้วนัดต่อนัด การพยายามทำเอ็มวีในทางล้อเลียนขำๆซึ่งอันนั้นผมก็ไม่ติดใจอะไร แต่เป็นการเผยไต๋ของคนที่พยายามจะไล่ตามกระแส TikTok จนเกินไป น่าจะไม่มีใครยินดีให้เพลงนี้ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ล นอกเสียจากอยากชวน Future และ Young Thug มาสนุกกันเล่นๆโดยไม่คิดอะไรเสียมากกว่า
-การกลับมาทวงบัลลังก์ Dancehall ก็ยังมีความพยายามอย่างไม่ลดละ ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องกลับมาซ้ำรอยในเพลง Fountains ที่ได้ศิลปินสาวไนจีเรีย Tems มาฟีทจัดว่าสูญเปล่า และไม่มีอะไรไปมากกว่าเพลงพักเบรคอารมณ์ฆ่าเวลา การที่เคยเชิญ Wizkid และ Black Coffee มาร่วมแจมในอัลบั้ม Views หรือ More Life ก็นับว่ามากพอสำหรับการทำให้เทรนด์ดนตรีป็อบลูกแอฟริกัน viral เป็นที่โจษจันแล้ว เพลงนี้น่าจะทำให้คนที่เกลียด dancehall เป็นทุนเดิมอยู่แล้วคงขยาดได้
-ต่อให้ขยันแร็ปเยอะเพื่อโชว์ความเป็นตัวจริงก็ตาม จะมีประโยชน์อะไร ถ้า topic ยังคงวกวนอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง และไม่คิดจะตัดทอนบางจุดให้มันดูรวบรัดตัดความมากกว่านี้ ต่อให้มีความพยายามในการ switch beat ในหลายๆเพลงก็ตามคงไม่ได้ผลอยู่ดี มีบางเพลงแทบจะโหลงเหลงเลยอย่าง Race My Mind เป็นต้น อย่าหาว่าเข้าข้างอริให้แฟนเพลงแหนงใจล่ะกัน เมื่อเทียบกับ DONDA ที่มีจำนวนแทร็คเยอะกว่าก็จริง การผ่านไปแต่ละเพลงยังแอบรู้สึกไม่นานเท่ากับ CLB เลยด้วยซ้ำ ต่อให้จะไม่มีการแบ่งแยกโหมดเพลงช้าแบ่ง side ใคร side มันแบบ Scorpion สุดท้าย CLB จึงไม่ต่างกับการการพยายามจะเอาพาร์ทแร็ปและพาร์ทเพลงช้ามาผสมปนเปในเพลงเดียวกันนั่นเอง กลายเป็นความยืดยาดที่ Drake แก้ไม่เกมส์เสียที
-CLB จึงจัดอยู่ในงานจำพวก แร็ปจนลิงหลับ 2 แทร็คสุดท้ายแทนที่จะมีไฮไลต์เด็ดกลับวนอยู่กับเรื่องเดิมๆจนชินชามาจากแทร็คที่ผ่านมา นี่จึงทำให้ The Remorse กลายเป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่เลยจุด wrap up ไม่มีนัยยะสำคัญเสียจนด้านชา พร้อมที่จะวางอัลบั้มแล้วพอแค่นี้ CLB จึงขับเคลื่อนด้วยเป้าประสงค์ของการ fan service อ่อนไหวต่อสิ่งยั่วยุ สร้างกลยุทธ์ทำลายสถิติชาร์ทเพลงมากกว่าการตกผลึกทางประสบการณ์ความคิดอย่างจริงจัง การมีผลงานเพลงปล่อยแทบทุกปี ต่อให้การทิ้งช่วงสตูดิโออัลบั้มเป็นเวลา 3 ปีก็ตาม เป็นการลดช่องว่างทางเวลา เป็นผลทำให้ตีบตันทางไอเดียก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราได้ฟังอะไรใหม่ซ้ำเดิม ผมมองว่า Drake ถลำลึกความสำเร็จจนเกินพอดีแล้วล่ะ
-สุดท้ายก็คงซ้ำรอยเดิมความประเดี๋ยวประด๋าวของผลงานแล้วลงเอยที่การถูกลืมในที่สุด ผมเชื่อว่าผลงานในระยะหลังไม่ถูกเอาไปจดจำในฐานะผลงานคลาสสิคถัดจาก Take Care แทนที่ความจริงจังทางความคิดแบบ Nothing Was The Same และไม่เฟรชไฟลุกแบบ If You’re Reading This, It’s Too Late คงไม่มีใครเกิดความอยากเอา Scorpion หรือ Dark Lane Demo Tape กลับมาฟังอีกอย่างแน่นอน การทำลายสถิติด้วยการล้างชาร์ท Top Ten ใน Billboard Hot 100 ถึง 9 เพลงคงเป็นอะไรที่น่ากังขาน่าดู
คงไม่ต้องรอให้เสื่อมมนต์ขลังหรอกมั้ง
Top Tracks : Love All, Fair Trade, N 2 Deep, Yebba’s Heartbreak, 7am On Bridle Path, You Only Live Twice
Give 6/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา