24 ก.ย. 2021 เวลา 15:22 • นิยาย เรื่องสั้น
ตอนที่ 2. อัศจรรย์ แห่งความห่วงใย
เป็นไปได้ไหม?
ที่ความห่วงใย จะนำพาให้หัวใจ 2 ดวง
กลับมาพบกันได้...อีกครั้ง
ภาพถ่ายโดย Anna Shvets จาก Pexels
การจากไปของใครบางคน โดยมิได้ร่ำลา
นำมาซึ่งความเจ็บปวดเสมอ สำหรับผู้ที่รอคอย
ฉันเป็นลูกคนเล็ก ในจำนวนพี่น้อง 5 คน
แม่มีฉันตอนท่านอายุ 40 ปี
ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ด้วยวัยที่ต่างกันมาก ความคิดเห็นยิ่งแตกต่าง และไม่เคยมีใครยอมใคร
....เราสามารถทะเลาะกันได้ แทบจะทุกเรื่องที่เราคุยกัน เป็น"ไม้เบื่อไม้เมา"กันมาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
...แต่ฉันรู้ดีว่า...
"แม่รักฉัน"และ"ฉันก็รักแม่" ❤
....ในปี พ.ศ. 2553
แม่ของฉันเสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็งปอด...
หลังจาก 2 ปี ที่ฉันเสียพ่อไปด้วยโรคชรา
แม่เป็นที่พึ่งคนเดียวและคนสุดท้ายที่ฉันมี
....ก่อนที่ท่านจะถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล
แม่นอนกระสับกระส่าย หอบและหายใจถี่ ซึ่งเป็นอาการของน้ำท่วมปอดเฉียบพลัน ทำให้หายใจไม่สะดวก
...พี่ชายฉันเล่าให้ฟังว่า แม่มีอาการโคม่า
มือ เท้าและท้องบวม นอนอยู่ในห้องไอซียูด้วยความทุกข์ทรมาน 🥺
....สิ่งที่ทำให้ฉันเสียใจอย่างที่สุดก็คือ...
ฉันไม่เคยมีโอกาสไปเยี่ยมแม่เลยสักครั้งตลอดเวลาที่แม่อยู่โรงพยาบาล
เพราะพี่ชายไม่อนุญาต ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของเขา...
เคยถามอยู่ครั้งหนึ่ง...ก็ได้คำตอบว่า...
"ไม่มีประโยชน์...มาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทรมานใจตัวเองเปล่าๆ"
1 อาทิตย์ต่อมา...แม่ก็เสียชีวิต
....งานศพของแม่ผ่านไปด้วยดี พวกเราเลือกวัดที่อยู่ติดทะเลแถว จ.ชลบุรี เพื่อจัดงานศพและเก็บอัฐิของแม่
เหตุผลเพราะแม่เคยบอกว่า...อยากมาเที่ยวทะเลพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว แต่ฉันและ พี่ ๆ ก็ไม่เคยมีเวลาว่างตรงกันสักที
....ในที่สุด พวกเราก็ได้มาทะเลด้วยกันกับแม่...ได้อยู่กันพร้อมหน้าอย่างที่ท่านต้องการ...แม้จะเป็นวันที่สายเกินไปก็ตาม
....ในวันที่เผาศพแม่ พวกเราตั้งใจจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที...ที่พิธีฌาปนกิจเสร็จเรียบร้อย ส่วนเรื่องการเก็บกระดูกของแม่ มอบให้เป็นหน้าที่ของพี่ชายคนโต ซึ่งอาศัยอยู่ที่ จ.ชลบุรี
....หลังจากที่พวกเราส่งแม่กลับสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...ก็พากันขึ้นรถตู้ เพื่อเดินทางกลับ...
ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากวัด
....อยู่ๆเครื่องยนต์ก็ดับ โดยไม่มีสาเหตุพยายามสตาร์ทรถเท่าไหร่ ก็สตาร์ทไม่ติด
พอพี่ชายฉัน...คนที่เป็นสารถีในวันนั้น พูดขึ้นมาว่า..."แม่อยากให้พวกเรานอนค้างที่นี่...อีกคืนใช่ไหม?"
สิ้นคำถามปุ๊ป...รถก็สตาร์ทติดขึ้นมาปั๊ป
....เหมือนแม่จะอยากอยู่กับพวกเราให้นานกว่านี้
....เช้าวันรุ่งขึ้น...
พวกเราไปเก็บอัฐิของแม่ด้วยกัน
อัฐิส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่วัดริมทะเล
อีกส่วนหนึ่งนำกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นบ้านที่แม่รัก...บ้านที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่
....ช่วงเวลาที่จัดงานศพ ฉันไม่ได้ร้องไห้เลยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
....แต่เมื่อกลับถึงบ้านที่กรุงเทพฯ...
เห็นห้องที่แม่เคยอยู่ เตียงที่แม่เคยนอน โต๊ะที่แม่นั่งกินข้าวเป็นประจำ และเก้าอี้โยกตัวโปรดของแม่
....มันรู้สึกเจ็บ...จุกและแน่นที่หน้าอก เหมือนจะขาดใจ...น้ำตาไม่รู้มาจากไหน มันทะลักออกมาราวกับน้ำป่าที่ไหลหลาก
....ฉันนอนร้องไห้จนหลับไป...
บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ นั้น เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นบนมี 2 ห้องนอน ซึ่งเป็นของฉันกับพี่ชายคนที่สี่...ที่มีอุปนิสัยขี้บ่นมาก ๆ
ส่วนห้องนอนของแม่จะอยู่ชั้นล่าง
....แม้เวลาจะผ่านมาเป็นเดือนแล้ว...ตั้งแต่วัน
ที่แม่จากพวกเราไป ฉันยังคงโศกเศร้าด้วยความคิดถึง และยังคงรู้สึกผิดกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับแม่...
"เราจากกันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีเลย"
...ฉันอยากเจอแม่อีกสักครั้ง เพื่อขอโทษ และอยากให้ท่านอโหสิกรรมให้ฉัน...ที่เคยล่วงเกินท่าน...ด้วยคำพูดและการกระทำที่ไม่น่าให้อภัยอยู่หลายครั้ง...
แล้วเหตุ 'อัศจรรย์ ' ก็เกิดขึ้นกลางดึกของคืนหนึ่ง...ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา
จำได้ว่า คืนนั้น...ฉันนั่งดูพระจันทร์ทรงกลดดวงกลมโต กำลังลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่สว่างไสวเป็นพิเศษ ช่างงดงามเหลือเกิน
แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดนึกถึงแม่ขึ้นมา โดยไม่มีเหตุผล จึงตัดสินใจเดินลงบันได เพื่อไปที่ห้องของแม่ ซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้าน
ที่นั่น...ฉันเห็นไฟในห้องเปิดอยู่
....ได้ยินเสียงเหมือนมีใครทำอะไรสักอย่างอยู่ข้างในนั้น...ด้วยความสงสัย จึงเอื้อมมือไปเปิดประตู
....ทันทีที่ประตูถูกผลักออก....
ภาพที่ปรากฎตรงหน้านั้น ทำให้ฉันตื่นเต้นและดีใจจนแทบช็อค...
เป็น "แม่ของฉัน" นั่นเอง
ท่านกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด
ภาพถ่ายโดย Sebastian Voortman  จาก Pexels
ฉันรีบโผเข้าไปหาแม่...ด้วยความคิดถึง
แล้วกอดท่านไว้แน่น กว่าทุกครั้งที่เคยกอด
....เงยหน้ามองท่าน...พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มด้วยความยินดี แม่เช็ดน้ำตาให้ฉันอย่างเบามือ แล้วพูดว่า...
"มานั่งรอสักพักแล้ว...ขออนุญาต "เขา" มา
...แม่อยู่ได้ไม่นานนะ"
....สายตาแม่ที่มองฉันนั้น...เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย...
รอยยิ้มและคำพูดของท่าน...ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
ในที่สุด ฉันกับแม่...ก็ได้พบกันอีกครั้ง...
หลังจากที่ต้องพรากกันไป โดยไม่ได้ร่ำลา
....ฉันได้ขอโทษแม่...อย่างที่ตั้งใจไว้
และท่านก็อโหสิกรรมให้ลูกสาวคนนี้แล้ว
....สักพัก ก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งๆๆๆๆ...ดังกังวานมาจากที่ไกลๆ...
"ถึงเวลาต้องไปแล้ว" แม่บอกอย่างนั้น
ฉันกราบลาท่านที่ตัก...แม่เอามือมาลูบที่
หัวฉันอย่างอ่อนโยน แล้วให้พร....
จากนั้น...แม่ก็เดินหายเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามีอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่
เช้าวันรุ่งขึ้น...ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นและมีความสุขกว่าทุกวัน
คิดทบทวน ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน...
...."แม่มาหาฉัน"...
มันคือ"เรื่องจริง"หรือ"ความฝัน"กันแน่
ถ้าเป็น"ความฝัน" ทำไมจึงสมจริงมากขนาดนี้...ฉันยังจำได้ดีในทุก ๆ คำพูดและทุก ๆการสัมผัสจากแม่
....สักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น...
ผู้ที่ยืนหน้าบึ้ง อยู่หน้าห้องของฉันนั้น
คือพี่ชายคนดีที่...ขี้บ่นนั่นเอง
เขาถามฉันว่า...
"เมื่อคืนเข้าไปทำอะไรในห้องแม่?"
....ฉันยืนอึ้ง...ไม่รู้จะตอบยังไง
"เออ ๆ ช่างเถอะ! ฉันรู้ว่าแกคิดถึงแม่
แค่จะบอกว่า...คราวหลังอย่าลืมปิดไฟ
เปิดทิ้งไว้ทั้งคืนแบบนั้น มันเปลือง"
เขาบ่นเสร็จแล้ว ก็เดินจากไป
ทิ้งไว้เพียงปริศนาคาใจ ให้ฉันคิด
....ถึงวันนี้ฉัน...
จะหาคำตอบให้กับตัวเองยังไม่ได้
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางดึกคืนนั้น...
มันช่วยปลดล็อคความทุกข์ในใจของฉัน
....ไปจนหมดสิ้น
....อาจมีความเศร้าโศกอยู่บ้าง ทุกครั้งที่คิดถึงแม่ แต่ก็ไม่ทุกข์ทรมานใจ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
เพราะรู้ดีว่า...แม่จะเฝ้ามองฉันด้วยความห่วงใย ณ ที่หนึ่งที่ใด สักที่หนึ่ง
Based on TRUE story
By memee
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
โฆษณา