20 ก.ย. 2021 เวลา 05:02 • หนังสือ
ทำไม Mindset จึงสำคัญ
วันนี้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ซื้อมาวางไว้แต่ยังอ่านไม่จบ ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แล้วพบว่าได้รับพลังงานบวกมากมายจากการอ่านครั้งนี้
หนังสือเล่มนี้เล่าถึงคน 1% ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก และคนอีก 99% ที่เหลือ ว่ามีความแตกต่างกันยังไง
คน 1% คือใคร?? ในหนังสือหมายถึง กลุ่มคนที่เป็นที่สุดของแต่ละสาขาอาชีพ เก่งที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด
แล้วสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างก็คือ Mindset
Mindset คือตัวกำหนดผลลัพธ์ในชีวิตคุณ และเราสามารถพัฒนา Mindset ของเราได้ตลอดเวลา โดยเคล็ดลับในการพัฒนา Mindset ง่ายๆ ด้วยกฎ 7 ข้อ
7 Rule
Rule 1 Origin of Great Success :เริ่มต้นด้วยความสำเร็จ
1.การตั้งเป้าหมายให้ลึกระดับจิตใต้สำนึก
ชีวิตคนเรา จะถูกควบคุมด้วยการทำงาน 2 ระดับ ระดับแรกคือ "จิตสำนึก" Conscious
ระดับที่ 2 คือ "จิตใต้สำนึก" Subconscious
จิตใต้สำนึก มีหน้าที่ลดภาระสมองไม่ให้ทำงานหนัก ดังนั้นถ้าอยากได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ต้องการ เราต้องย้ายเป้าหมายจากที่อยู่แค่ระดับความคิด หรือ จิตสำนึก ให้ลงไปอยู่ที่จิตใต้สำนึก หรือลงไปอยู่ในใจเรานั่นเอง (From head to heart)
จิตสำนึกจะใช้กับอะไรที่เป็นตรรกะ เป็นเหตุ และผล ที่ต้องใช้ความคิด ซึ่งเราใช้งานและมีผลต่อชีวิตเรา 5% เท่านั้น
จิตใต้สำนึก คือส่วนที่เป็นอัตโนมัติ สมองไม่ต้องทำงานแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปตามโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้ ซึ่งเป็นการทำงานที่ทรงอานุภาพมาก แม่นยำ มั่นคง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตเราถึง 95% เท่ากับว่า 95%ของผลลัพธ์ในทุกๆด้าน ของชีวิตมาจากจิตใต้สำนึก
ดังนั้นถ้าเราตั้งเป้าหมายของเราลงไปที่ระดับจิตใต้สำนึกแล้ว Action ของเราจะทรงพลังแต่ไม่เหนื่อย สม่ำเสมอ แม่นยำมั่นคง เราจึงสามารถสร้างผลลัพธ์ขึ้นมาได้
โดยวิธีเปลี่ยนความคิดในหัวลงไปอยู่ในจิตใต้สำนึก มี 2 วิธี 1.1การช็อค (Shock)
คือการได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง รวดเร็ว ฉับพลัน ไม่สามารถตั้งตัวได้ ทั้งเรื่องดีและร้าย ซึ่งสามารถเปลี่ยน Mindset ระดับจิตใต้สำนึกได้ทันที ส่วนใหญ่จะเป็นอุบัติเหตุหรือเรื่องสะเทือนใจขั้นรุนแรง
แต่วิธีนี้แม้จะได้ผลแต่ทำได้ยากและอันตราย
1.2การทำซ้ำ (Repetition)
เมื่อเราคิด จินตนาการ พูด ทำ อะไรซ้ำๆบ่อยๆ สมองของเราก็จะเก็บบันทึกไว้ และสมองก็จะย้ายข้อมูลเหล่านี้ลงไปไว้ที่จิตใต้สำนึก
เมือความคิดใดย้ายลงไปอยู่ที่จิตใต้สำนึกแล้ว จิตใต้สำนึกจะนำพาวิธีการดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับความคิด ความเชื่อเหล่านั้น
การฝังเป้าหมายลงไปที่จิตใต้สำนึก จะนำพาผลลัพธ์ที่เราต้องการมาได้นั้น ต้องจำคำ 3 คำต่อไปนี้ให้ดี
Be การเป็น(ความเชื่อ)
Do การลงมือทำ
Have ผลลัพธ์
เป้าหมายที่เราต้องการคือ Have
การที่เราจะได้ Have ต้องเกิดจาก Do
และสิ่งที่จะทำให้เกิด Do คือ Be ดังนั้นต้องการผลลัพธ์แบบไหน ต้องเริ่มจาก Be
New Be New Do New Have
ดังนั้นสิ่งแรกคือ หา Have ให้เจอ เขียนลงไป แล้วเอาออกมาอ่านทุกๆเช้าว่าคุณต้องการมีอนาคตแบบไหน
2.กฎน้ำใสใหม่ในเหยือกแก้ว :สร้างโปรแกรมใหม่ให้จิตใต้สำนึก
เป็นการล้างโปรแกรมเก่าแล้วลงโปรแกรมใหม่ให้จิตใต้สำนึกลงไปแทนอันเดิมที่เราสะสมไว้
ตอนเราเกิดมาเปรียบเหมือนน้ำใสในแก้ว แต่เมื่อโตขึ้นก็มีเรื่องร้ายๆความคิดลบๆทำให้น้ำนั้นกลายเป็นสีดำ ซึ่งก็เปรียบเสมือน จิตใต้สำนึกที่เก็บแต่เรื่องลบๆแย่ๆไว้ ชีวิตจึงเจอเรื่องแย่ๆตามจิตสำนึก ดังนั้นต้องเปลี่ยนน้ำสีดำให้กลับมาใสเหมือนเดิม ด้วยการใส่ความคิดดีๆ เข้าไปบ่อยๆ ทำทุกวันๆ จนฝังลงไปในจิตใต้สำนึก
Always turn a negative situation into a positive situation. Michael Jordan
Rule 2 Extreme ownership : ความสามารถในการควบคุมทุกอย่างได้
Ownership ในที่นี้ คือ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ความคิด และความรู้สึก เมื่อควบคุมทั้ง 3 อย่างได้ ก็จะควบคุมการกระทำได้ ผลลัพธ์ก็จะเป็นไปตามต้องการ คนสำเร็จ 1%จะมี Ownership ที่สูงมากกว่าคนทั่วไป จนเรียกว่า Extream Ownership
Event + Response = outcome
เหตุการณ์+การตอบสนอง=ผลลัพธ์
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Outcome ดังนั้นถ้าเราต้องการผลลัพธ์แบบไหน สิ่งที่เป็นตัวแปรต่อผลลัพธ์คือ R ภายใต้ Event หรือเหตุการณ์เดียวกัน
คนที่มี Ownership สูง Event หรือเหตุการณ์ต่างๆแถมไม่มีผลต่อเขาเลย เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะติบสนองไปทาง Proactive ได้เสมอ
คนแบบ Proactive เหตุการณ์แทบไม่มีผลต่อเขาเลย เขายิ่งใหญ่พอที่จะควบคุมทุกอย่างได้
ส่วนคนแบบ Reactive จะคิดว่าเหตุการณ์มีอิทธิพลต่อเขามาก เขามีบทบาทน้อย
E + R = O
แย่ + เรียนรู้ = เติบโต
แย่ + ทรมาน = แก่ แย่ลง
คนส่วนใหญ่คิดว่าการตอบสนอง คือ การกระทำ แต่ความจริงแล้วมันเริ่มจากในหัวของคุณแล้ว มันจึงจะส่งออกมาเป็นการกระทำ
คนที่มี Growth Mindset จะเชื่อว่า ฉันเรียนรู้ได้เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าให้เวลาฉัน ฉันแค่ยังทำไม่ได้ตอนนี้
(Not yet) เป็นไปได้
คนที่มี Fixed Mindset จะเชื่อว่า ฉันเกิดมาเป็นอย่างนี้ ทำได้แค่นี้ จำกัดอยู่แค่นี้ ฉันไม่มีวันทำได้ไม่ว่าตอนไหน (Never)เป็นไปไม่ได้
Rule 3 Power of Perseverance : กัดไม่ปล่อย
Preseverance แปลได้หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ความมานะ เพียรพยายาม อดทน ความยากลำบาก อึด วิริยะอุตสาหะ กัดไม่ปล่อย รวมถึง ความสามารถในการโฟกัสกับเป้าหมายในระยะยาว ไปต่อได้ทั้งๆ ที่เจออุปสรรคมากมาย หรือ AQ (Adversity Quotient) ความฉลาดในการแก้ปัญหา ความพยายามเอาชนะอุปสรรคความยากลำบากของตัวเองได้ โดยไม่ย่อท้อ
คนที่มี AQ สูง เขาจะมองปัญหาว่าเป็นความท้าทาย ซึ่งต้องเอาชนะมันให้ได้ เขาจะคิดอยู่เสมอว่าไม่กลัวความลำบาก อาจคิดว่ายิ่งลำบากยิ่งดีด้วยซ้ำ
บิล เกตส์ บอกว่า ความสำเร็จเป็นครูที่แย่ ความล้มเหลวเป็นครูที่ดี
8 วิธี เพิ่ม Preseverance
1.ต้องมีฝันในระดับจิตใต้สำนึก
2.Growth Mindset คุณต้องเชื่อก่อนว่าคุณทำได้ทุกอย่าง
3.Hang Out กฎค่าเฉลี่ย จำเป็นมากๆที่คุณต้องแวดล้อมไปด้วยคนที่มี Perseverance ถ้าคุณอยู่ท่ามกลางคนขี้เกียจ มันยากมากที่คุณจะเป็นคนที่มี Perseverance ดังนั้นพาตัวเองไปอยู่ใกล้คนขยัน คนที่มีความฝัน มีความมานะพยายาม คนที่กัดไม่ปล่อย
4.ศึกษาคนที่มี AQ
5.ฝึกสติ
6.Focus ที่ระหว่างทาง คนสำเร็จไม่สนใจเหตุการณ์เลย เขาจะโฟกัสไปกับสิ่งที่อยู่ในเป้าหมายของเขาเท่านั้น
7.ทำอะไรท้าทายมากขึ้นทุกวัน ออกจาก comfort zone
8.ฝึกข้อ 1-7 สม่ำเสมอ
Rule 4 Flow : ภวังค์
การที่คุณทำอะไรสักอย่างให้ประสบความสำเร็จในระดับที่สูงนั้น คุณจะต้องพุ่งไปที่สิ่งนั้น สิ่งเดียว
สตีฟ จ็อบส์ บอกว่า คนมักคิดว่า Focus คือการ Say Yes กับสิ่งๆ เดียวในสิ่งที่ใช่ แต่ความจริงแล้ว มันคือ การ Say No ในสิ่งที่ไม่ใช่นับร้อย นับพัน ตลอดเส้นทางต่างหาก
สมองทำได้ทีละ 1 อย่างเท่านั้น การ Multitask เป็นเพียงการใช้สมองให้มากขึ้น ลด IQ ลด Productivity ทำลายสุขภาพสมอง ลูกประสิทธิภาพความจำ การควบคุมอารมณ์ถดถอย เพราะฉะนั้นเลิก Multitask แล้วฝึก Single task เพราะฉะนั้น ถ้าคุณตัดสินใจทำอะไรแล้ว Focus เฉพาะสิ่งนั้นไปเลย ไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง
10 วิธีเพิ่ม Focus
1.มีเป้าหมายชัดเจน
2.จัดลำดับความสำคัญ Priority
To Do List อะไรที่สำคัญหยิบมาทำตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เร่งด่วน แล้วคุณจะมีโฟกัสที่มากขึ้น
3.สมาธิ Mindful
4.สร้างบรรยากาศที่สอดคล้อง เช่น ถ้าอยากลดน้ำหนักก็ไม่ควรซื้ออาหารมาเก็บไว้เต็มบ้าน
5.เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ อะไรที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายเราต้องตัดทันที
6.อ่านหนังสือ คนสำเร็จทุกคนเป็นนักอ่าน
ประโยชน์ของการอ่าน
เพิ่มความฉลาด
เพิ่มความสุข
ป้องกันการเสื่อมของความจำ
ลดความเครียด
เพิ่มทักษะการคิดวิเคราะห์
เพิ่มการโฟกัส
7.หยุด Multitask
8.กินดี ออกกำลังกาย นอนให้เพียงพอ
9.กฎค่าเฉลี่ย
10.ทำข้อ 1-9 ซ้ำๆ
สำหรับคนที่สำเร็จระดับสูงมากไป พวกเขามีโฟกัสในระดับที่สูงขึ้นไปอีกจนถึงจุดที่เรียกว่า Flow State
หรือ ภวังค์
คนที่อยู่ใน Flow State จะสามารถ
เพิ่มผลผลิตได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 500%
เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่าถึง 400%
เพิ่มการเรียนรู้ได้มากกว่าคนทั่วไปได้ถึง 250%
Rule 5 Super self Discipline : วินัยแบบคน 1%
คน 1% จะมีวินัยมากไป หนักเอาเบาสู้ คิดแล้วทำ พูดแล้วทำ ทำจนเสร็จ ถ้าคุณมีวินัยอะไรก็เป็นไปได้
บอกลานิสัย ผัดวันประกันพรุ่ง แบบถาวร
9 วิธี สร้างวินัย ให้ถาวร
1.มี Purpose ที่ชัดเจน ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งละเอียดและหยาบ หยาบคือสิ่งของ ละเอียดคือข้างใน เช่นเก่งขึ้น ดีขึ้น
2.Reprogram เพื่อให้ Automatic คือการใช้คำพูดซ้ำๆย้ำๆ ลงไปจนฝังลงไปในจิตใต้สำนึก
3.มีแผนการที่ชัดเจน ว่าเป้าหมายที่ต้องการคืออะไร และ Action ที่ทำต้องชัดเจน
4.รับผิดชอบรู้ว่าอะไรควรทำก็ต้องทำ อะไรไม่ควรทำก็ไม่ทำ
5.สร้างองค์ประกอบชีวิต ให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่อยากได้
6.Start Small and Simple ซอยเป้าหมายใหญ่ให้เป็นเป้าหมายย่อยๆ
7.Low of Average กฎค่าเฉลี่ย รายล้อมไปด้วยเพื่อนที่มีวินัย
8.แสร้งทำไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเราจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ Fake it until you make it.
9.ทำข้อ 1-8 ซ้ำๆ
กฎ 5 วินาที ที่จะทำให้คุณสามารถสำเร็จมากขึ้น ทำงานได้ดข้าเป้ามากขึ้น มีพลังมากขึ้น เพราะกฎนี้จะลดอัตราการผัดวันประกันพรุ่ง นั่นคือ นับ 5 4 3 2 1 แล้วทำเลย
1
Rule 6 Unstoppable Self-Confidence : สร้างความสำเร็จด้วยความมั่นใจ
แค่คุณเชื่อว่าคุณสามารถ คุณก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้ว
ความมั่นใจประกอบด้วย 2 เรื่อง
Self Confidence ความมั่นใจในตัวเอง
Self Esteem การรู้คุณค่าในตัวเอง รู้ว่าตัวเองดีพอ
นับถือตนเอง
8.วิธีเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง
1.มีสติ
2.พูดดีๆ กับตัวเองซ้ำไป
3.เลิกเปรียบเทียบตัวเองกะบคนอื่น
4.รู้ไว้ดสมอว่า เราทุกคนเก่ง ดี ในทางของตัวเอง
5.ออกกำลังกาย
6.ช่วยเหลือผู้อื่น
7.ให้อภัย
8.อยู่เหนือสถานการณ์ เมื่อคุณมีทัศนคติว่าคุณควบคุมทุกอย่างได้ คุณก็จะรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
7 เทคนิคพิเศษ เพิ่มความมั่นใจ กล้าทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
1.Start Taking Action เริ่มอะไรสักอย่าง
2.Own Your Success
3.Monitor Your Self-Talk
3.1 ต้องมีสติ
3.2ลงโทษตัวเองเมื่อคิดลบ
4.Stay Away From " Hoover People" อย่าอยู่ใกล้คนที่คอยดูดพลังงานของคุณ
5.Go Ahead Fake It จงแสร้งทำจนกว่าจะเป็น
6.Find Your Sense of Humor คุณต้องมีอารมณ์ขันไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม คุณหัวเราะออกมาเลย มันช่วยได้
7.Develop Your Attitude of "Gratitude" คือ รู้สำนึก ขอบคุณ เห็นคุณค่าในทุกสิ่งรอบตัว
Rule 7 Entrepreneurial Mindset : ความมั่งคั่งที่สั่งได้
Rule สุดท้าย เป็น Mindset ที่สำคัญที่สุด ของคนกลุ่ม 1% นั่นคือ Entrepreneurial Mindset หัวใจของผู้ประกอบการ หัวการค้า
Entrepreneurial Mindset ไม่เกี่ยวกับระดับการศึกษา หรือ IQ และมันคือการเป็นไม่ใช่เทคนิค ไม่ใช่การทำ แต่คุณต้องมีหัวการค้า
การมี Entrepreneurial Mindset ประกอบด้วย
1. ภาวะผู้นำ หรือ Leadership
ความเป็นผู้นำจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ
1.มีอิทธิพล มีความน่าเชื่อถือ ต่อกลุ่มคน
2.ต้องมีคนอื่น (ต้องมีคนจำนวนมาก)
3.มีเป้าหมายเดียวกัน
ผู้นำที่ดีต้องมี EQ (Emotional Quotient) ที่ดี
EQ คือ ความสามารถในการรับมือ ควบคุมกับอารมณ์
ทั้งของตัวเอง และของคนอื่น
EQ แบ่งเป็น 5 เรื่องย่อย
1.Self-Awareness เท่าทันอารมณ์ตัวเอง
2.Self-Regulation กำหนดอารมณ์ได้
3.Self-Motivation สามารถสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองได้
4.Empathy เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
5.Social Skill การเข้ากับคนหมู่มากได้ดี
2.เก่งเรื่องเงิน หัวการค้า
การทำธุรกิจนั้นต้องเก่งรอบด้าน มีทักษะรอบด้าน
3.Big Picture Thinking การเห็นภาพใหญ่
คือมี Long-term Mindset การมองการไกล เห็นภาพในระยะยาว และอดทนรอคอยได้
4.รักการเรียน ผู้สำเร็จไม่หยุดเรียนเพียงแค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่เขาเรียนรู้ตลอดชีวิต
5.เป็นศิษย์มีครู มีพี่เลี้ยง มี Mentor
คนสำเร็จจะมีคนที่เป็นครู มีที่ปรึกษา มีคนคอยให้คำแนะนำ
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งเลย ใครอยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน Fixed mindset หรือ Growth Mindset ลองไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดู อาจจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ มุมมอง และความคิดของคุณ
จนทำให้คุณกลายเป็นคน 1% ก็เป็นไปได้
ทัศนคติที่ดี ย่อมส่งผลดีต่อตัวเราเอง
เป็นกำลังใจให้ทุกคน
สวัสดีค่ะ
โฆษณา