19 ก.ย. 2021 เวลา 06:42
⚜️ พระกสิณ ของหลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี วัดเทพธารทอง จันทบุรี
ข้อมูลจากกระทู้เก่าๆในเวปบอร์ดพลังจิต เรียก”ผงกสิณ” ว่า ”ผงพุทธะมงคล”
ผงกสิณ หรือผงพุทธะมงคล ผงวิเศษ ของหลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี แห่งสำนักวัดเทพธารทอง
บรรดาเกจิอาจารย์ ที่ท่านร่ำเรียนสรรพวิชาอาคมขลัง ก็ย่อมมีสิ่งวิเศษคู่บารมี รวมถึงมวลสารที่ใช้ในการสร้างวัตถุมงคลของท่านต่างๆกันออกไป โดยเฉพาะเรื่องการทำผงวิเศษนี้ บรรดาท่านเกจิอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านก็จะทำผงวิเศษไว้ เพื่อใช้เป็นเครื่องประกอบสำคัญ ในการสร้างวัตถุมงคลต่างๆของท่าน เพื่อให้เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ มีกฤติยาคมแฝด ที่เรียกว่าดีทั้งนอกและใน สรรพวิชาเรื่องการทำผงวิเศษของท่านเหล่านั้นมีมากมายหลายประการ ทั้งที่เรียนสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล และที่ท่านเหล่านั้นได้สำเร็จวิชาเหล่านี้จากในนิมิตสมาธิ หรือว่าคิดค้นวิธีการสร้างผงขึ้นมาด้วยองค์เอง เพื่อเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวของสำนักท่าน..
ซึ่งคุณสมบัติของผงวิเศษทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมเป็นมวลสารวิเศษสุด ที่ใช้เป็นสื่อในการรับ และหนุนนำพลังงานทางจิต ซึ่งจะง่ายต่อการเสกเรียกรูปเรียกนาม และเรียกอาการต่างๆของวัตถุมงคลนั้นๆ จะช่วยเกื้อหนุนกับพลังจิตของผู้เสก ให้วัตถุมงคลมีพลังเพิ่มพูนเป็นทวีคูณ และจะเสื่อมคลายความศักดิ์สิทธิ์ได้ยาก
เกจิอาจารย์แต่ยุคเก่ามาถึงปัจจุบัน ผู้ที่ท่านเชี่ยวชาญในการทำผงวิเศษนั้นมีอยู่มากมายหลายองค์ แต่ที่เรารู้จักดีและมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่ยอมรับในวงการผู้นิยมขลัง เนื่องจากมีประสบการณ์ให้ได้ประจักรมามากมาย อาทิ
⁃ สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ท่านได้สร้าง ผงวิเศษ 5 ประการ ได้แก่ ปถมัง , อิทธิเจ , มหาราช , ตรีนิสิงเห , พุทธคุณ
⁃ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ท่านได้สร้าง ผงยาวิเศษ , ผงโสฬสมงคล ใช้ในการสำพระปิดตา และพอกตะกรุดของสำนักท่าน
⁃ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านได้สร้าง ผงวิเศษ 6 ประการ , ผงยันต์เกราะเพชร
 
⁃ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านได้สร้าง ผงอิทธิเจ ด้วยวิชาธรรมกาย
⁃ หลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม ท่านได้สร้าง ผงมหากัน , มหาปราบ
⁃ หลวงปู่ญาคูสีทัตถ์ วัดท่าอุเทน ท่านได้สร้าง ผงโสฬสมหาพรหม
⁃ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้สร้าง ผงมหาจักรพรรดิ์ , ผงกรรมฐาน
⁃ หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ท่านได้สร้าง ผงพรายกุมา เป็นต้น
 
ซึ่งในแต่ละองค์นั้นก็จะมี กรรมวิธี มวลสาร รวมถึงส่วนประกอบในการใช้สร้างผงวิเศษก็จะแตกต่างกันไป ตามแต่ตำหรับตำรา หรือความรู้ที่ได้ศึกษามา และรวมไปถึงพลังที่บรรจุอยู่ในนั้นก็จะต่างกันออกไปอีกด้วย
แม้แต่องค์หลวงปู่พิศดู ท่านก็ได้เคยสร้างผงวิเศษของท่านขึ้นมาเพื่อใช้ในการสร้างวัตถุมงคลของท่านด้วยเช่นกัน ผงดังกล่าวนั้นก็คือ ผงพุทธะมงคล หรือผงกสิณ ผงนี้ท่านเริ่มสร้างมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นไม่มีใครทราบ แต่ว่าท่านได้ใช้ผงนี้ในการสร้างพระผงรูปเหมือน และพระพิมพ์ต่างๆ ที่เรียกกันว่า พระกสิณ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520-2522 เท่าที่พอทราบมา ผงพุทธะมงคลนั้น ท่านจะสร้างของท่านเอง โดยการใช้ดินศักดิ์สิทธิ์มาลงอักขระเลขยันต์ต่างๆ ซึ่งจะเป็นยันต์ประเภทสายพุทธคุณล้วนๆ เมื่อทำเป็นผงแล้ว ก็จะหาสิ่งมงคลต่างๆมาประกอบเข้ากัน ซึ่งเป็นของที่มีคุณในตัว อาทิ มวลสารจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต่างๆหลายองค์ ดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่มีมวลพลังงานของพุทธะบารมี และพลังบารมีของพ่อแม่ครูอาจารย์บรรจุอยู่
ซึ่งองค์หลวงปู่ท่านจะทราบของท่านเองว่าที่ไหน จุดไหนมีพลังงานแฝงอยู่ ก็จะนำมาสะสมรวมกันไว้ รวมถึงดินและทราย(ปฐวีธาตุ)ศักดิ์สิทธิ์ที่วัดเทพธารทองด้วย รวมถึงเส้นเกศา ชาญหมาก สรรพว่านมงคลต่างๆ ที่อยู่ตามป่าตามเขา เกษรดอกไม้108 ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ได้สะสมจากการเดินธุดงค์ และบางอย่างสั่งให้ลูกศิษย์หามาให้ โดยองค์หลวงปู่ท่านจะนำมาผสมรวมกัน และอธิษฐานตั้งธาตุปรับกระแส ให้อยู่ในรูปแบบของพลังที่ท่านต้องการ และการอธิษฐานผงของท่านแต่ละครั้งท่านต้องเข้าสมาบัติแบบเต็มกำลัง และใช้ความบริสุทธิ์แห่งจิตหลุดพ้น และอธิษฐานบุญฤทธิ์ บารมีธรรมที่ท่านได้สั่งสมบำเพ็ญมานับชาติไม่ถ้วน และอัญเชิญพลังพุทธานุภาพบรรจุไว้ในผง อันเปรียบเสมือนสิ่งมงคลคู่บารมีที่ท่านได้บรรจงสร้างสรรเอาไว้ในพระศาสนา และได้ตั้งนามผงของท่านนี้ว่า " ผงพุทธะมงคล " หรือ “ผงกสิณ”
เมื่อท่านได้ใช้ผงนี้ในการสร้างพระผงรุ่นแรกๆ ที่เรียกกันว่า “พระกสิณ หรือ พระผงกสิณ” สำเร็จแล้ว ก็ได้เก็บรักษาผงนี้ใส่หม้อดินไว้ใต้ฐานพระประธานในกุฏิหลังเก่าอยู่นานหลาย ปี โดยทุกวันท่านจะสวดมนต์และเจริญภาวนาตลอดไม่เคยขาด จนได้นำมาใช้สร้างวัตถุมงคลอีกครั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ซึ่งผงดังกล่าวจะผสมอยู่ในวัตถุมงคลประเภทเนื้อผงของท่านแทบทุกรุ่นจนถึง วัตถุมงคลรุ่นสุดท้าย
คนที่จะรู้จักพระอริยะเจ้าขนานแท้ กว่าจะรู้จักท่านจริงๆ ก็คงต้องตามกันเหนื่อยแล้ว แม้วัตถุมงคลของท่าน ก็เช่นกัน
สมัยก่อนๆ คนแถววัดบอกว่าองค์หลวงปู่ท่านเป็นพระแปลกๆ วันๆไม่เคยเห็นทำอะไร พระองค์ผอมๆ นุ่งผ้าสบงเก่าๆ ใส่อังสะตัวเดียว เอาแต่เดินรอบวัดทั้งวัน ใครไปหาก็โดนท่านดุ แต่ระยะหลังมา กว่าจะรู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงความบริสุทธิ์ และทรงฤทธิ์อภิญญามหาศาล ก็แทบจะสายเกินไป
ท่านปิดตัวมานาน ความแตกเอาก็เพราะเกิดอุทกภัยเขาคิชฌกูฏพัง พร้อมท่อนซุงร้อยนับพันถล่มลงมา ผ่านลำธารข้างวัด แต่วัดท่านรอดจากภัยได้อย่างปาฏิหาริย์ ทำให้เป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ คนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็พากันมาทำบุญ และยิ่งมีครูบาอาจารย์หลายท่านรับรองถึงคุณธรรมอันสูงสุดด้วยแล้ว กว่าคนจันทจะหันมาทำบุญกับท่านก็แทบจะสายเกินไป ตอนนี้สังขารธรรมท่านดับสิ้นลง แต่คุณธรรมยังคงอยู่เช่นเดิม ประกอบกับวัตถุมงคลที่ท่านตั้งใจอธิษฐานทิ้งไว้ให้ลูกศิษย์อย่างพิเศษสุดๆ ทำให้ผู้ใช้เกิดประสบการณ์กันมากมาย จนผู้คนต่างเสาะแสวงหากันอย่างกว้างขวางในขณะนี้
องค์หลวงปู่พิศดู ท่านเป็นพระที่มีปัญญาญาณ และเมตตาจิตสูงมากๆ ถึงบางครั้งอาจจะมองเหมือนท่านดุ แต่แท้จริงที่ดุนั้น ท่านอยากให้เรารู้สึกเข้าใจ และได้เห็นกิเลสที่ซ่อนอยู่ในใจเรา ที่ยากจะมองเห็น ส่วนมากเวลาท่านดุใคร คนๆนั้นมักต้องสะดุ้งกลัว เพราะว่าท่านให้ธรรมะแบบกระแทกใจเข้าไปเต็มๆ อย่างที่ไม่มีโอกาสจะหลบหลีกข่ายญาณอันแจ่มใสของท่านไปได้ ยิ่งถ้าใครคนนั้นมาหาท่าน บอกว่าตนเป็นนักปฏิบัติธรรม อวดว่าได้โน่นได้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะหลงตัวหลงตน ท่านก็จะฟังๆไปก่อน ปล่อยให้พูดไปให้จบ พอเสร็จแล้วท่านก็จะพูด(ตอบ)ออกไปกระแทกใจ แบบจี้จุดกิเลสคนๆนั้นแทบตั้งตัวไม่ติด บางครั้งแทบหงายหลังหัวฟาดพื้นจนหน้ามืดหน้าชาไปหมด เพราะสิ่งที่ตนได้คิดได้เห็นมานั้น อาจเป็นอุปาทานหรือสิ่งที่ตนคิดฝันไปเองทั้งสิ้น
ท่านบอกว่า หากใครที่เขาได้จริงๆ เขามักจะไม่เอามาพูดกัน โดยเฉพาะต่อหน้าครูบาอาจารย์ เขาจะเงียบๆรู้สภาวะของเขาอยู่คนเดียว เพื่อไม่ทำให้เป็นที่สนใจของผู้อื่น เพราะจะไปรบกวนความสงบของพวกเขา
องค์ท่านนั้นเป็นแบบอย่าง ของครูบาอาจารย์หลายท่าน หาได้ยากแล้วครับ พ่อแม่ครูบาอาจารย์แบบนี้ บางคนถึงกับบอกว่า หลวงปู่เป็นพระอริยะเจ้าหลงยุค เพราะพระที่มีคุณธรรมพิเศษแบบนี้ มักจะเกิดในสมัยพุทธกาลเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจากกระทู้เรื่องเล่าหลวงปู่พิศดู เว็บบอร์ดพลังจิต
#พระกสิณหลวงปู่พิศดู
#ThaisAmulets
#泰国护身符
โฆษณา