20 ก.ย. 2021 เวลา 02:08 • กีฬา
ถ้าหาก ดาบิด เด เคอา ไม่สามารถช่วยป้องกันลูกจุดโทษของ มาร์ค โนเบิ้ล ได้สำเร็จ รับรองได้เลยว่าความรู้สึกของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อเกมพรีเมียร์ลีกคืนวันอาทิตย์ที่บุกไปเยือน เวสต์แฮม คงแทบไม่ต่างอะไรกับวันที่บุกไปแพ้ ยัง บอยส์ 2-1 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์
การเสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ในแบบที่สามารถทำลายผลการแข่งขันของทีมถึง 2 นัดติดต่อกัน (จากจะเสมอ กลายเป็นแพ้ และต่อด้วยจากจะชนะ กลายเป็นเสมอ) มันน่าจะเป็นความเสียหายในระดับที่ทำลายความมั่นใจของทีมปีศาจแดงให้ย่อยยับ รวมไปถึงทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ทำงานต่อด้วยบรรยากาศมาคุมากขึ้นกว่าเดิมมากแน่ๆ
ในฐานะที่ผมคือแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ให้กำลังใจนักเตะและกุนซือคนปัจจุบันโดยตลอด ผมพอใจมากๆ นะครับ ที่บทสรุปที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม เมื่อคืนวันอาทิตย์ มันออกมาในแบบที่สามารถลบข้อครหาไปได้หลายๆ อย่าง...
เจสซี่ ลินการ์ด ที่เพิ่งก่อความผิดพลาด ลงสนามเป็นตัวสำรองไปจ่ายถวายพานให้ ยัง บอยส์ ยิงประตูจนทีมแพ้ กลายเป็นฮีโร่ผู้ทำประตูชัย ในเกมลีกนัดเยือนที่ยากที่สุดนัดหนึ่งของฤดูกาล
เนมานย่า มาติช ที่หลายคนก็มองว่า โซลชาร์ จะส่งลงสนามมาทำไมในช่วงท้ายเกม กลายเป็นคนที่แอสซิสต์ประตูชัยลูกนั้น ด้วยการจ่ายบอลที่ง่ายๆ แต่สังเกตดีๆ มันเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
ดาบิด เด เคอา ที่ใครๆ ก็มองว่า ถ้าทีมเสียจุดโทษ แทบจะไม่ต้องฝากความหวังว่าเขาจะป้องกันได้ สามารถเซฟลูกยิงจากนักเตะที่สังหารได้ชัวร์ที่สุดคนหนึ่งของพรีเมียร์ลีกได้ในวินาทีบีบหัวใจ และเป็นพระเอกตัวจริง ที่ช่วยหยิบ 3 คะแนนเต็มมาให้ทีม
นี่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณไม่ยอมแพ้ แม้จะเป็นการโดนคู่แข่งออกนำไปก่อน แต่ก็ยังสามารถพลิกแซงกลับมาชนะได้ โดยสถิติไม่แพ้ใครนอกบ้านในลีกสูงสุด ถูกขยายยืดออกไปเป็นเกมที่ 29 ติดต่อกัน
ทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ โชว์ให้โลกดูอีกครั้ง ว่าถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ทีมที่เล่นดีทุกนัด ไม่ใช่ทีมที่เหนือกว่าคู่แข่งแบบมหาศาลอะไร แต่นี่คือหนึ่งในทีมที่ตายยาก และมักพลิกสถานการณ์ได้เก่งที่สุดทีมหนึ่งของพรีเมียร์ลีก
ที่ผมบอกว่านี่คือเกมเยือนที่ยากที่สุดนัดหนึ่งของฤดูกาล เพราะทีมของ เดวิด มอยส์ ยังไม่แพ้ใครเลยแม้แต่นัดเดียวในฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกมลีก 4 นัดแรก รวมถึงศึก ยูโรปา ลีก ที่บุกชนะ ดินาโม ซาเกร็บ 2-0 เมื่อคืนวันพฤหัสบดี
สถิติจากพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้วระบุว่า เวสต์แฮม สามารถเก็บแต้มในบ้านได้สูงถึง 34 แต้ม (ชนะ 10 เสมอ 4 แพ้ 5) มากเป็นอันดับ 2 รองจากแชมเปี้ยนอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำได้ 41 คะแนนเพียงทีมเดียวเท่านั้น (ชนะ 13 เสมอ 2 แพ้ 4)
นอกจากนั้นแล้ว ในรอบ 12 ปีหลังสุด พลพรรค เดอะ แฮมเมอร์ส ไม่เคยแพ้คาบ้านให้ แมนฯ ยูไนเต็ด 2 ฤดูกาลติดต่อกันให้เห็นมาก่อน นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยพาทีมคว้าชัยชนะ 3 ครั้งซ้อนที่สนามเก่าทีมขุนค้อนอย่าง อัพตัน พาร์ค ระหว่างซีซั่น 2008-09 จนถึง 2010-11
ซีซั่นที่แล้ว ผีแดงของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ อาจจะพลิกสถานการณ์จากโดนนำในครึ่งแรก กลับมาแซงชนะ 3-1 ได้ในครึ่งหลัง แต่ก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ที่พวกเขาไม่สามารถบุกคว้าชัยที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม ได้เลย
ซีซั่น 2017-18 เสมอ 0-0 ก่อนจะแพ้ที่สนามนี้ 2 ครั้งรวดด้วยสกอร์ 3-1 ในฤดูกาล 2018-19 ตามด้วย 2-0 ในฤดูกาล 2019-20
อย่างไรก็ตาม การที่ทีมเพิ่งแพ้ในเกมยุโรปนัดที่ไม่ควรแพ้มาหมาดๆ บวกกับเป้าหมายในซีซั่นนี้ คือการต้องลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้อย่างยาวนานที่สุด มันจึงเป็นเกมที่ไม่อนุญาตให้ โซลชาร์ พาทีมสะดุดได้อีก ไม่อย่างนั้นมันอาจทำลายโมเมนตัมที่ทีมกำลังดูได้ลุ้นในลีกไปเลย
นี่ยังเป็นเกมที่เจ้าถิ่นขาด มิคาอิล อันโตนิโอ ศูนย์หน้าตัวเก่งที่ติดโทษแบนจากการโดนใบเหลือง-แดง ในวันบุกเสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-0 แถมเพิ่งเดินทางไกลไปเล่นที่โครเอเชียมาเมื่อคืนวันพฤหัสบดี จึงถือว่าความได้เปรียบมันควรจะอยู่ที่ฝั่งทีมเยือนมากกว่า เพราะเกมนอกบ้านในพรีเมียร์ลีก คือจุดแข็งของพวกเขาอยู่แล้วด้วย
สำหรับ 11 ตัวจริงที่ เดวิด มอยส์ เลือกส่งลงสนาม มีการเปลี่ยนแปลงจากเกมลีกนัดที่แล้วที่บุกไปเจ๊าทีมนักบุญ 2 คน
เคิร์ต ซูม่า ได้ลงยืนเซนเตอร์แบ็กแทน เคร็ก ดอว์สัน ส่วนตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าแทน อันโตนิโอ ที่โดนแบน ก็เลือกขยับ จาร์ร็อด โบเว่น ขึ้นไปเล่น แล้วใช้งานนักเตะใหม่อย่าง นิโกล่า วลาซิช ลงตัวจริงตำแหน่งปีกซ้าย
ส่วนทางฝั่ง โซลชาร์ ตัดสินใจส่ง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่หายดีแล้วหลังจากไปผ่าตัดโคนขาหนีบเมื่อเดือนก่อน กลับมาลงตัวจริงในแดนกลางทันที และแน่นอนว่าคู่หูของเขาคือ เฟร็ด ที่แม้จะเป็นนักเตะที่แฟนผีแดงไม่ไว้ใจ แต่เมื่อ 2 คนนี้จับคู่กัน มักจะช่วยให้ผลการแข่งขันออกมาดีอยู่บ่อยๆ
ปอล ป็อกบา จึงถูกดันขึ้นสูงไปเป็นตัวทำเกมรุกทางฝั่งซ้าย ขณะที่ทางขวาก็เรียก เมสัน กรีนวู้ด ที่ไม่ได้ลงสนามในเกมกับ ยัง บอยส์ กลับมาเป็นตัวจริง โดยที่ เจดอน ซานโช่ ที่ยังโชว์ฟอร์มกับทีมใหม่ไม่ออก นั่งดูเพื่อนเล่นไปก่อน
ราฟาแอล วาราน ก็กลับมาออกสตาร์ทในแผงหลังอีกครั้ง ส่วนแนวรุกยังคงฝากความหวังไว้กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นหลักในการหาทางโจมตี
ด้วยความที่ เดวิด มอยส์ คือกุนซือที่มีสถิติมักพ่ายแพ้ต่อทีมใหญ่อยู่บ่อยๆ แถมสภาพทีมก็ไม่ได้มีแนวรุกพร้อมเต็มสูบ เขาจึงเน้นเกมรัดกุม มากกว่าจะเปิดฉากบุกอย่างต่อเนื่องเหมือนหลายๆ นัดก่อนหน้านี้
นั่นทำให้ช่วง 15 นาทีแรกของเกม แมนฯ ยูไนเต็ด เจอความลำบากในการหาช่องเจาะเข้าไปยิง แม้จะได้ครองบอลมากกว่ามหาศาลก็ตาม
กว่าทีมเยือนจะได้โอกาสสับไกยิงหนแรกของเกมก็ต้องรอจนถึงนาทีที่ 24 ที่ ปอล ป็อกบา ไหลบอลออกซ้ายให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โยกหนี วลาดิเมียร์ ชูฟาล แล้วซัดไปตรงตัว ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้ ก่อนที่ไม่กี่นาทีถัดมา น่าจะขึ้นนำได้สุดๆ จากจังหวะเตะมุม ที่บอลเลยไปถึง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตะบันเน้นๆ แต่ไปชนเสา
อย่างไรก็ตาม ในยามเล่นเกมรับ ทีมปีศาจแดงดูจะตัดสินใจกันแบบกล้ากลัวๆ มัวแต่ถอยต่ำลงไปปิดพื้นที่ลึกเกินไป โดยไม่ค่อยมีใครเข้าปะทะแย่งบอล จังหวะที่ควรจะรีบๆ เคลียร์ทิ้ง ก็กั๊กๆ ไม่เด็ดขาด ทำให้ เวสต์แฮม มีโอกาสดันขึ้นมาตอบโต้บ้างเช่นกัน
จังหวะที่น่าจะเสียประตูมากๆ คือช็อตที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ หวงบอลบริเวณริมเส้น แล้วเลี้ยงตัดเข้าในไม่ดีจนโดน ซาอิด เบนราห์มา ตามมาเบียดแย่งไปได้ไปจ่ายให้ จาร์ร็อด โบเว่น ได้ลุ้นยิง แต่ยังดีที่ ราฟาแอล วาราน ตามไปช่วยบล็อคได้แบบหวุดหวิด
และอีกจังหวะที่แนวรับปีศาจแดงโหม่งเคลียร์บอลในกรอบเขตโทษกันไม่ขาด แล้วก็จ้องบอลจนปล่อยให้คู่แข่งเข้าแย่งได้ก่อนมากเกินไป จน ดาบิด เด เคอา ต้องออกแรงใช้ขาเซฟลูกยิงของ โบเว่น ช่วยทีมไว้
ส่วนประตูขึ้นนำ 1-0 จากลูกยิงของ ซาอิด เบนราห์มา ที่ไปแฉลบ วาราน เปลี่ยนทางจน เด เคอา ได้แต่ยืนขาตาย จะเห็นได้ว่านักเตะทีมเยือนเทกันไปยืนทางริมเส้นมากเกินไป จนทำให้พื้นที่ตรงกลางหน้ากรอบเขตโทษโล่งโจ้ง แล้วก็โดนลงโทษในที่สุด
แต่ดูเหมือนว่าเวลา แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนี้เสียประตูทีไร มักจะได้สติกลับมาเร่งเครื่องโหมบุกให้เร็วขึ้นทันทีนะครับ ซึ่งหลังจากโดนนำ จะเห็นได้ว่าทีมปีศาจแดงพยายามเคลื่อนที่กันมากขึ้น และกล้าได้กล้าเสียในการลุ้นประตูมากกว่าเดิม
หลังโดนนำไม่กี่นาที เราได้เห็นการกล้าจ่ายทะลุช่องจาก สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่น่าเสียดายที่ CR7 ไม่ยอมยิงมุมแคบด้วยเท้าซ้าย แต่เลือกแต่งเข้าในจนโดนคู่แข่งมาขวางไว้ทัน
แต่จังหวะต่อเนื่องถัดจากนั้น เราก็ได้เห็นภาพหาดูยาก อย่างการที่ อารอน วาน-บิสซาก้า พักอกรับลูกครอสจาก ลุค ชอว์ แล้วกล้าแหวกผ่านแนวรับคู่แข่งเข้าไปยิงเองแบบได้ลุ้น และช่วยให้ทีมได้เตะมุม ซึ่งนำมาสู่การได้ประตูตีเสมอหลังจากโดนนำแค่เพียง 5 นาที
การที่ เวสต์แฮม เคลียร์ลูกเตะมุมให้ออกมาจากแดนตัวเองกันไม่ขาด แล้วสวนกลับไม่สำเร็จ เปิดโอกาสให้ เฟร็ด รีบดันขึ้นมาเบิ้ลบอลไปยังที่ว่างฝั่งซ้ายให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ก่อนที่ บรูโน่ จะบรรจงเปิดบอลข้ามแนวรับเจ้าถิ่นให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลุดกับดักล้ำหน้าสอดเข้าไปดีดติดเซฟ ฟาเบียนสกี้ แล้วตามซ้ำจ่อๆ เข้าไปไม่มีเหลือ
การยิงติดเซฟแล้วซ้ำเข้า ถือเป็นการจบสกอร์แบบเก็บตกของคนยิงเอง นั่นทำให้ บรูโน่ ไม่ได้เครดิตแอสซิสต์ลูกนี้อย่างน่าเสียดาย แต่นั่นก็ถือเป็นการยิงตรงกรอบ 2 ครั้งติดต่อกันของกัปตันทีมชาติโปรตุเกสด้วย
ถึงแม้ความเร็วจะตกลงจากช่วงพีคๆ ไปเยอะ แต่ โรนัลโด้ ยังคงเป็นตัวหาจังหวะจบสกอร์ที่อันตรายมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นี่คือการยิงได้ 3 นัดติดต่อกันในเวลาห่างกันสัปดาห์เดียว และเกมนี้เขาคือผู้เล่นที่หาโอกาสยิงได้มากที่สุด (7 ครั้ง) โดยซัดเข้ากรอบถึง 5 หน
ในช่วงท้ายครึ่งแรก ซีอาร์เซเว่นได้ซัดมุมแคบแบบเข้าข้อไปติดเซฟของ ฟาเบียนสกี้ และน่าเสียดายสุดๆ ที่จังหวะที่ทีมได้ส้มหล่นในช่วงต้นครึ่งหลัง ซึ่งมาจากการจ่ายบอลพลาดของ ปาโบล ฟอร์นัลส์ โรนัลโด้พลาดโอกาสบวกสกอร์เพิ่มให้ตัวเอง เมื่อวิ่งเข้ายิงลูกจ่ายถวายพานของ บรูโน่ ไปโดน ฟาเบียนสกี้ ออกมาปิดมุมเซฟได้อย่างสุดยอด
แต่ไม่น่าเชื่อว่านั่นจะเป็นการยิงตรงกรอบครั้งสุดท้ายในเกมนี้ของ โรนัลโด้ เพราะหลังจากนั้น ทีมปีศาจแดงกลับไปเล่นกันแบบเกร็งๆ ทำกันช้า เข้าแย่งบอลกันช้า และเคลื่อนที่กันน้อยอีกครั้งเป็นเวลานานมากในครึ่งหลัง
ซึ่งโชคดีมากที่ เวสต์แฮม เองก็ไม่ได้มีทีเด็ดทีขาดที่จะฉวยโอกาสยิงขึ้นนำได้ นั่นทำให้ทีมเยือนยังรักษาโอกาสเผด็จศึกเอาไว้จนถึงช่วงท้ายเกม
ผมไม่พอใจรูปแบบการเข้าทำของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้สักเท่าไรนะครับ แม้จะหาโอกาสยิงได้มากถึง 17 ครั้ง ตรงกรอบถึง 10 หน ซึ่งเป็นตัวเลขการยิงเข้ากรอบที่สูงที่สุดของทีมในฤดูกาลนี้ แต่เราไม่ได้เห็นการบุกแบบต่อเนื่องที่โชว์ทีมเวิร์คมากนัก ส่วนมากมักเป็นการเข้าทำแบบฉาบฉวย หรือใช้ความสามารถเฉพาะตัวหาจังหวะลุ้นจบสกอร์ซะมากกว่า
เรื่องนี้คือสิ่งที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ และทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชต้องไปปรับปรุงอีกมาก เพราะถ้ายังปล่อยให้ทีมบุกกันแบบตื้อๆ ตันๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้ วาทกรรม “นักเตะแบกโค้ช” จะยังคงอยู่กับเขาอีกนานแน่
อย่างไรก็ตาม ผมชอบการตัดสินใจเปลี่ยนตัวในเกมนี้ของ โซลชาร์ มากนะครับ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดทั้งหมด
การเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 73 ตอนที่สกอร์ยังเสมอ 1-1 ถือว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่ช้าเกินไปนัก ซึ่งผู้เล่นที่ถูกถอดออก คือคนที่ผมคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว นั่นคือตัวรุกด้านกว้างทั้ง 2 ฝั่ง ทั้ง เมสัน กรีนวู้ด และ ปอล ป็อกบา
กรีนวู้ด ถือว่ามีเกมที่น่าผิดหวังมากๆ เขาไม่มีจังหวะลุ้นสับไกยิงเลยแม้แต่หนเดียว ขณะที่ ป็อกบา ก็พยายามฝืนจะเอาชนะการดวลตัวต่อตัวมากเกินไป จนทำบอลเสียให้เห็น 2 ครั้ง และทำลายความต่อเนื่องในจังหวะรุกของทีมในเกมนี้
การส่ง เจสซี่ ลินการ์ด ที่ลงมาเล่นง่ายๆ เชื่อมเกมง่ายๆ และขยันเคลื่อนที่หาที่ว่าง รวมถึงส่งปีกที่มีความเร็วอย่าง เจดอน ซานโช่ ลงมา ถือว่าเลือกเปลี่ยนตัวได้ถูกต้องแล้ว
แม้แต่การใช้โควตาเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายที่ส่ง เนมานย่า มาติช ลงสนามแทน เฟร็ด ก็ยังเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากๆ นะครับ ถ้าคุณจะทำความเข้าใจมันจริงๆ
ในสถานการณ์ที่เกมเหลือไม่กี่นาที คุณอาจจะคิดว่าควรส่งนักเตะตัวรุกอย่าง อองโตนี่ มาร์กซิยาล หรือ ฆวน มาต้า ลงสนามมากกว่า แต่ปัญหาของรูปเกม ณ ตอนนั้น คือคุณภาพการจ่ายบอลจากแนวลึกขึ้นหน้านะครับ ซึ่ง เฟร็ด ทำได้อย่างน่าผิดหวังแทบจะตลอดทั้งเกม
แต่ มาติช โชว์คลาสของเขาในจุดนี้ให้เห็นหลังจากลงสนามไปเพียงไม่กี่นาที ด้วยการแอสซิสต์ให้ เจสซี่ ลินการ์ด แต่งบอลหาเหลี่ยมซัดประตูชัยอย่างสุดงาม โดยลูกจ่ายของกองกลางชาวเซอร์เบียให้ ลินการ์ด เป็นการผ่านบอลทะลุกินแดนนักเตะฝ่ายตรงข้ามถึง 5 คน
1
แน่นอนว่าถ้าหาก ลินการ์ด ไม่โชว์ความมหัศจรรย์ด้วยการแต่งบอลซัดเสียบสามเหลี่ยมได้อย่างสวยงามแบบนั้น นั่นคงเป็นการจ่ายบอลที่ไม่มีใครยกย่อง เพราะฉะนั้นต้องปรบมือให้กับประตูระดับโลกลูกนี้ของมหาเทพ บีนส์ บีนส์ ด้วย
สำหรับการเสียจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ที่ อังเดร ยาร์โมเลนโก้ เตะไปติดแขน ลุค ชอว์ ที่กางออกมาจนร่างกายใหญ่ขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ ถือว่าชัดเจนมากๆ ชนิดที่ผู้ตัดสิน มาร์ติน แอ็ตกินสัน แทบไม่จำเป็นต้องไปเช็คจอวีเออาร์ย้อนหลังแต่อย่างใด
แต่ผมคาใจกับจังหวะก่อนหน้านั้น ที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลากบอลไปโดน เคิร์ต ซูม่า เสียบล้มในเขตโทษมากกว่า เพราะถ้าดูจากภาพรีเพลย์ มันเป็นจังหวะที่ผู้ตัดสินสามารถเป่าจุดโทษได้ และถ้าหากผีแดงสังหารเข้าไป เกมน่าจะจบด้วยสกอร์ 3-1 มากกว่าจะต้องมาลุ้นให้ เด เคอา เซฟจุดโทษชี้เป็นชี้ตายแบบนี้
บางที แอ็ตกินสัน อาจจะมีอคติกับ โรนัลโด้ มากเป็นพิเศษในเกมนี้ เพราะตลอดทั้งเกม CR7 เจตนาทิ้งตัวล้มค่อนข้างง่ายเกินไปมาแล้ว 2 ครั้ง นั่นทำให้เขาไม่ค่อยอยากเป่าจุดโทษให้ต่อหน้าต่อตาแฟนบอลเจ้าถิ่นมากนัก
ส่วนการตัดสินใจของ เดวิด มอยส์ ที่เลือกส่ง มาร์ค โนเบิ้ล ลงไปเพื่อยิงจุดโทษตัดสินเกมโดยเฉพาะ มันทำให้กองกลางวัย 35 ปีต้องแบกความกดดันมากจนเสี่ยงยิงพลาดอยู่แล้ว เมื่อบวกกับการที่นักเตะไม่ได้สัมผัสบอลเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วสัมผัสแรกคือการต้องยิงทันที นั่นอาจทำให้ โนเบิ้ล ซัดได้ไม่ดีเท่าที่ควร
นี่คือการซัดจุดโทษพลาดเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีของ โนเบิ้ล หลังจากยิงตุงตาข่ายมานานถึง 10 ครั้งติดต่อกัน โดยที่หนสุดท้ายที่เขาซัดพลาด คือเกมพรีเมียร์ลีกเดือนธันวาคม 2016 ที่ทีมขุนค้อนเปิดบ้านชนะ เบิร์นลี่ย์ 1-0
ส่วน เด เคอา ก็สามารถเซฟจุดโทษสำเร็จได้เสียที หลังจากทำไม่ได้มานานกว่า 5 ปี นับตั้งแต่พุ่งปัดลูกยิงของ โรเมลู ลูกากู ได้ในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 2016 ส่วนหนสุดท้ายที่เซฟจุดโทษได้ในพรีเมียร์ลีก ต้องย้อนไปไกลถึง 7 ปีเลยทีเดียว ในเกมที่เปิดบ้านเฉือน เอฟเวอร์ตัน 2-1 ที่เขาป้องกันลูกยิงจาก เลห์ตัน เบนส์ เอาไว้ได้
นี่ถือเป็นการลบฝันร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบของนายด่านทีมชาติสเปน นับตั้งแต่เกมนัดชิง ยูโรปา ลีก กับ บียาร์เรอัล ที่เขาเซฟจุดโทษไม่ได้เลยสักลูก และเป็นคนยิงพลาดในช่วง ซัดเดน เดธ จนทีมแพ้ แต่ในเกมล่าสุดกับ เวสต์แฮม เขาคือพระเอกตัวจริงที่ทำให้ชัยชนะยังคงอยู่กับทีม
การที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ วิ่งลงไปสวมกอด ดาบิด เด เคอา ในสนามหลังจบเกม แสดงให้เห็นว่ากุนซือชาวนอร์เวย์รู้สึกอยากขอบคุณนายประตูมือหนึ่งคนนี้มากแค่ไหน ที่ช่วยปัดเป่าสิ่งเลวร้ายทุกอย่างที่จะพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างหนักหน่วงแน่ๆ ถ้าทีมไม่ชนะเกมนี้
เช่นเดียวกัน จังหวะที่นักเตะผีแดงรุมกันฉลองประตูของ เจสซี่ ลินการ์ด (ที่ไม่แสดงอาการดีใจในการยิงใส่ทีมเก่า) มันก็แสดงให้เห็นถึงสปิริตความสามัคคีภายในทีมที่ยังยอดเยี่ยม และเป็นความรู้สึกยินดีอย่างที่สุด ที่นักเตะที่เพิ่งก่อความผิดพลาดจนทีมแพ้ และถูกมองว่าเป็นตัวตลกของทีมมาอย่างยาวนาน สามารถเป็นผู้ยิงประตูให้ทีมชนะได้
1
อย่างไรก็ตาม การลบฝันร้ายออกไปได้ในตอนนี้ ยังไม่ได้หมายความว่าแฟนบอล, นักเตะผีแดง รวมไปถึงตัวของ โซลชาร์ จะสามารถฝันหวานว่าทีมจะไปถึงแชมป์ได้ ถ้าหากจุดที่ยังทำได้ไม่ดีพอ ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
คุณภาพของกองกลางตัวรับที่ทีมยังขาด คือเรื่องน่าเป็นห่วงมากๆ ว่าจะทำให้ทีมไม่สามารถยืนระยะลุ้นแชมป์ได้ในระยะยาว
เพราะเอาแค่คู่มิดฟิลด์ตัวต่ำของ เวสต์แฮม อย่าง เดแคลน ไรซ์ กับ โทมัส ซูเช็ค ก็ดูจะมีคลาสมากกว่าการจับคู่กันของ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เสียด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องเอาไปเทียบกับกองกลางตัวรับระดับคุณภาพของบรรดาคู่แข่งลุ้นแชมป์เลย
นอกเหนือจากจุดอ่อนตรงกลางสนามที่น่าเป็นห่วงแล้ว รูปแบบการเข้าทำที่นักเตะยังเคลื่อนที่กันน้อยมากๆ เน้นจังหวะฉาบฉวยซะส่วนใหญ่ โดยที่ประสิทธิภาพการครอสจากริมเส้นยังสู้กับทีมใหญ่ๆ ทีมอื่นแทบไม่ได้ ก็ทำให้พวกเขามีโอกาสเจอกับเกมที่หาจังหวะทำประตูชัยได้ยากเย็นกว่าหลายๆ ทีมด้วย แม้จะมีตัวทำประตูระดับเทพอย่าง โรนัลโด้ ช่วยเข้ามาแบกแล้วก็ตาม
แน่นอนว่า Supporter ที่ดี สมควรต้องเคารพ และปรบมือให้กับความพยายามทุกอย่าง ที่นักเตะในสนามไม่ต้องการให้ทีมเจอกับเกมที่ไม่ชนะเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน และพยายามที่จะแก้ตัวจากความผิดพลาดที่เพิ่งทำให้แฟนบอลรู้สึกผิดหวัง และเจ็บปวดกันไปทั่วโลกในช่วงไม่นานมานี้
ต้องกล้าให้เครดิตกับผู้จัดการทีมบ้าง แม้เขาอาจไม่ใช่กุนซือที่สมบูรณ์แบบ แต่การเปลี่ยนตัวของเขาในเกมนี้ ถือว่ามีส่วนให้ทีมได้ชัยชนะ และเราได้เห็นชัดเจนแล้วว่า เขาไม่ได้สูญเสียห้องแต่งตัวไปเลย
นี่ไม่ใช่ชัยชนะที่มาจากโชคดวง แต่มันคือชัยชนะที่มาจากความพยายามอย่างเต็มที่ของทั้งทีมต่างหาก...
อย่างไรก็ตาม ถ้าหาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องการสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าแค่ชัยชนะน่าประทับใจแบบนี้ ถ้าพวกเขาต้องการสิ่งที่เรียกว่า "โทรฟี่" คงต้องเพิ่ม “คุณภาพ” อีกมาก กว่าจะทำให้แฟนบอลมั่นใจได้ว่าโอกาสคว้าชัยชนะ มันจะไม่สุ่มเสี่ยงหลุดมือแบบเกือบใจสลายแบบนี้อีก
#เสียบสามเหลี่ยม #ผีแดง #ปีศาจแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #เวสต์แฮม #โซลชาร์ #โรนัลโด้ #ลินการ์ด #เดเคอา #มอยส์ #เดวิดมอยส์ #มาร์คโนเบิ้ล #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา