23 ก.ย. 2021 เวลา 00:22 • กีฬา
ตลอดชีวิตของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่ว่าจะในฐานะนักเตะหรือผู้จัดการทีม เกียรติประวัติที่เขาไม่เคยคว้าได้เลยคือฟุตบอล ลีก คัพ ของอังกฤษ หรือรายการที่ใช้ชื่อตามสปอนเซอร์ในปัจจุบันว่า คาราบาว คัพ
ตำแหน่งแชมป์ถ้วยนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2006 (ตอนนั้นชื่อรายการว่า คาร์ลิ่ง คัพ) ซึ่งเป็นช่วงที่ โซลชาร์ ยังไม่แขวนสตั๊ด ถือว่าอดีตเพชฌฆาตหน้าทารกไม่มีส่วนร่วมไปกับมัน เพราะใช้เวลาช่วงนั้นไปกับการพักรักษาอาการเจ็บหัวเข่าอย่างรุนแรง
ส่วนการมาคุมทีมปีศาจแดง เขาพาทีมไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ 2 ปีซ้อน ระหว่างซีซั่น 2019-20 และ 2020-21 แต่ถูกหยุดเส้นทางด้วยน้ำมือของคู่ปรับร่วมเมืองสุดแกร่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้ง 2 ครั้ง
มาถึงซีซั่นปัจจุบัน 2021-22 ที่แฟนบอลทั่วโลกตั้งมาตรฐานสูงลิบเอาไว้ว่า “ฤดูกาลนี้ ห้ามมือเปล่าเด็ดขาด” กลับกลายเป็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด รีบชิงตกรอบรายการ คาราบาว คัพ ตั้งแต่รอบ 3 ซึ่งเป็นรอบแรกที่ทีมลงแข่งถ้วยนี้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าถ้วย คาราบาว คัพ หรือ ลีก คัพ คือรายการที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ความสำคัญกับมันน้อยที่สุด หากเทียบกับพรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนส์ ลีก และอาจรวมถึง เอฟเอ คัพ
เพราะฉะนั้น ต่อให้เพิ่งพาทีมแพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 0-1 คาบ้าน มันก็ยังไม่ใช่ความผิดที่หนักหนาขนาดจะทำให้บอร์ดบริหารของสโมสรรีบตัดสินใจปลด โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากโจทย์ของซีซั่น 2021-22 คือการที่ โซลชาร์ ต้องมีโทรฟี่ นั่นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ช่วงต่อจากนี้เป็นต้นไป กุนซือชาวนอร์เวย์จะต้องคุมทีมลงสนามทุกนัดด้วยความกดดันระดับสูงสุดที่เพิ่มจากเดิมขึ้นมาอีกมหาศาล เพราะรายการที่ทีมดูมีโอกาสได้แชมป์มากที่สุด (เพราะคู่แข่งสำคัญเอาจริงน้อยที่สุด) ดันตกรอบไปก่อนใครเพื่อน
ช่วงเวลาต่อจากนี้ เขาต้องพาทีมทำผลงานในพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ดีที่สุดในระดับที่แสดงให้เห็นว่า “ลุ้นแชมป์ได้” สถานเดียวเท่านั้น ถึงจะเป็นมาตรฐานที่สอบผ่านสำหรับแฟนบอล หลังจากยอมให้โอกาสทำทีมไร้แชมป์ติดมือมานานแล้วถึง 3 ปี
การมีโทรฟี่กับไร้โทรฟี่ ถือว่าแตกต่างกันอย่างมากในแง่ความรู้สึกของแฟนบอล
เพราะมันไม่ใช่ทุกคนหรอก ที่จะมาจดจำว่าแต่ละฤดูกาลที่ผ่านไป ทีมเก็บแต้มในพรีเมียร์ลีกมากขึ้น, ชนะในลีกเพิ่มขึ้น, แพ้ยากขึ้น, มีช่วงไร้พ่ายติดกัน 10 กว่านัดอย่างต่อเนื่องขึ้น, มีฟอร์มเกมเยือนที่เจ๋งกว่าคนอื่น หรือพลิกสถานการณ์จากโดนนำกลับมารอดตายได้บ่อยแค่ไหน
แฟนบอลส่วนใหญ่ไม่สนใจสถิติเหล่านั้น แต่พวกเขาจะจดจำแค่ว่า คุณมีปัญญาคว้าแชมป์หรือเปล่า แล้วยิ่งรอนานๆ มันก็ยิ่งบั่นทอนหัวใจ
สมมติว่าบทสรุปหลังจบฤดูกาลนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก โดยกวาดไปถึง 86 แต้ม ตามหลังทีมแชมป์ไม่เกิน 5 คะแนน และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ UCL นั่นคือมาตรฐานที่สูงมากๆ แล้วนะครับ และจะเป็นผลงานที่ดียิ่งกว่าซีซั่นก่อนเสียอีก
แต่ผมไม่แน่ใจว่าถ้าพัฒนาการของทีมมันดีขึ้นขนาดนั้น แต่ยังคงไม่ได้แชมป์อะไรเลยแม้แต่ถ้วยเดียว มันจะทำให้แฟนบอลคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผม ปรบมือให้กับผลงานแบบนั้นบ้างหรือเปล่า...
สำหรับความพ่ายแพ้คา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นัดล่าสุด ต่อให้ โซลชาร์ พัก 11 ตัวจริงไว้ยกชุด แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมาปกปิดความน่าผิดหวังได้ เพราะ เดวิด มอยส์ เอง ก็พักลูกทีมคนสำคัญไว้แทบทั้งหมดด้วยเช่นกัน
และไม่ใช่แค่ โซลชาร์ กับ มอยส์ หรอก บอกได้เลยว่าในศึก คาราบาว คัพ รอบนี้ บรรดาสโมสรจากพรีเมียร์ลีกเขาก็ให้โอกาสนักเตะตัวสำรองได้ลงเล่นเป็นส่วนใหญ่กันทั้งนั้น
โซลชาร์ ตัดสินใจพัก คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ปอล ป็อกบา, ราฟาแอล วาราน, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ และ ดาบิด เด เคอา แบบเต็มๆ ไม่ให้มีส่วนร่วมเลยกับเกมนี้ ส่วน เอดินสัน คาวานี่ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ยังมีอาการบาดเจ็บ
แต่ทางฝั่ง มอยส์ ก็ไม่ใส่ชื่อ เดแคลน ไรซ์, มิคาอิล อันโตนิโอ, อารอน เครสส์เวลล์ และ โทมัส ซูเช็ค ไว้แม้กระทั่งตัวสำรอง
อย่างไรก็ตาม หากใครได้ดูเกมตลอดทั้ง 90 นาที จะเข้าใจว่านั่นไม่ใช่เกมที่ทีมปีศาจแดงเล่นได้ย่ำแย่ หรือไม่มีทรง เพราะพวกเขาขึงเกมบุกต่อเนื่องแบบพับสนามบุก และแสดงให้เห็นถึงความพยายามสุดๆ แล้วที่จะตีเสมอ
1
ช่วงท้ายเกม โซลชาร์ ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ มีการถอดตัวรับ เติมตัวรุก สั่งลูกทีมดันสูง นักเตะในสนามก็เทหมดหน้าตัก กล้าได้กล้าเสียทุกอย่าง ชนิดที่ช่วงใกล้หมดเวลา แผงหลังลอยสูงมากจนเกือบโดนสวนกลับแล้วเสียประตูที่ 2 ด้วยซ้ำ
สถิติบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งครองบอลเหนือกว่ามหาศาล (61% ต่อ 39%) ได้โอกาสยิงมากถึง 27 ครั้ง ตรงกรอบ 6 ครั้ง (เวสต์แฮมได้ยิงแค่ 9 ครั้ง เข้ากรอบ 3)
สรุปง่ายๆ ก็คือมันเป็นเกมที่เจ้าถิ่นขาดคุณภาพในการจบสกอร์ และโดนลงโทษจากการเสียง่ายตั้งแต่ต้นเกม สกอร์มันเลยออกมาที่ 0-1
ด้วยความที่นี่คือรายการที่ทีมให้ความสำคัญน้อยที่สุดอย่าง คาราบาว คัพ โดยที่คืนวันเสาร์นี้ พวกเขาจะต้องลงเตะเกมพรีเมียร์ลีกเป็นคู่แรก (18.30 น. เปิดบ้านพบ แอสตัน วิลล่า) เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลย ที่ทำไม โซลชาร์ ถึงโรเตชั่นผู้เล่นยกชุด
11 ตัวจริงแทบจะตรงตามที่สื่อคาดเอาไว้ทุกตำแหน่ง โดย ดีน เฮนเดอร์สัน ฟิตกลับมาลงเฝ้าเสาครั้งแรกของฤดูกาล ส่วนแผงแบ็กโฟร์จากขวาไปซ้าย ประกอบด้วย ดีโอโก้ ดาโลต์, เอริก ไบยี่, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ อเล็กซ์ เตลลิส
ตำแหน่งมิดฟิลด์เลือกใช้ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค เป็นคู่กลางร่วมกับ เนมานย่า มาติช โดยให้โอกาส เจสซี่ ลินการ์ด, ฆวน มาต้า และ เจดอน ซานโช่ ขับเคลื่อนเกมรุกอยู่ด้านหลัง อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ยืนศูนย์หน้าตัวเป้า
น่าเสียดายที่ตำแหน่งการยืนของ ลินการ์ด, มาต้า และ ซานโช่ ไม่เป็นแบบที่ผมหวัง เพราะแทนที่จะให้ ซานโช่ เล่นทางด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทีมคาดหวังให้เขาเล่นให้ได้ กลับกลายเป็นว่าจอมแอสซิสต์ค่าตัว 73 ล้านปอนด์ยังคงถูกจับไปยืนทางฝั่งซ้าย ส่วน ลินการ์ด ยังคงเล่นทางขวา โดยที่ มาต้า รับบทหมายเลข 10
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ใช่ไลน์อัพที่น่าเกลียดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อเวสต์แฮมเองก็พักตัวหลักไว้เกือบทั้งทีมเช่นกัน
เดวิด มอยส์ ปรับเปลี่ยนนักเตะที่ลงตัวจริงในเกมแพ้ผีแดง 1-2 คาบ้านเมื่อคืนวันอาทิตย์ถึง 10 ตำแหน่ง โดยเหลือแค่ จาร์ร็อด โบเว่น ที่ยังเล่นหน้าเป้าต่อไปแค่คนเดียว
อัลฟงส์ อาเรโอล่า ลงเฝ้าเสาเป็นเกมแรกของซีซั่น ขณะที่กองหลังก็เป็นโอกาสของตัวสำรองอย่าง ไรอัน เฟรเดริคส์, เคร็ก ดอว์สัน, อิสซ่า ดิย็อป และ เบน จอห์นสัน
มาร์ค โนเบิ้ล ที่พลาดจุดโทษแบบสุดดราม่าในนัดก่อน สวมปลอกแขนกัปตันลงคุมแดนกลางกับมิดฟิลด์ตัวใหม่อย่าง อเล็กซ์ คราล
แนวรุกเลือกใช้ อังเดร ยาร์โมเลนโก้, มานูเอล ลันซินี่ และ อาร์กตูร มาซูอากู เป็น 3 ประสานจากขวาไปซ้าย ทำเกมรุกอยู่ด้านหลัง โบเว่น ที่เป็นตัวบนสุด
ถ้าดูจากชื่อชั้นนักเตะที่ลงสนามบนหน้ากระดาษ จะพบว่าทีมปีศาจแดงยังคงเหนือกว่ามากอยู่ดี
แผนการเล่นของทีมขุนค้อน คล้ายๆ กับแท็กติกที่พวกเขาใช้ในวันอาทิตย์ คือในช่วง 15 นาทีแรก พยายามบุกให้เร็วกว่า และเข้าปะทะให้หนักหน่วง เพื่อเข้าถึงบอลก่อนเจ้าบ้าน
แค่ช่วง 10 นาทีแรก เวสต์แฮม มีโอกาสยิงแบบเกือบได้ประตูไปแล้ว 3 ครั้ง หนึ่งในนั้นคือประตูขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 9 จาก มานูเอล ลันซินี่ แต่ทางฝั่งเจ้าถิ่นยังตั้งเกมไม่ติด เล่นกันเฉื่อยชา และหาโอกาสลุ้นประตูไม่ได้เลย
สำหรับประตูที่เสียให้ เวสต์แฮม ซึ่งเป็นประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนี้ แสดงให้เห็นถึงการเล่นเกมรับที่หละหลวมของ อเล็กซ์ เตลลิส รวมไปถึงนักเตะใหม่อย่าง เจดอน ซานโช่ เมื่อโดนแบ็กขวาตัวสำรองของทีมเยือนอย่าง ไรอัน เฟรเดริคส์ เผาเครื่องลากแหวกผ่านไปดื้อๆ ก่อนตบไปหน้าประตูให้ มานูเอล ลันซินี่ แปตามน้ำง่ายๆ เข้าไป
กว่าที่ผีแดงจะได้สติ เล่นเกมรุกได้แบบมีสมาธิ ก็เป็นตอนที่โดนคู่แข่งนำไปแล้ว ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมของ โซลชาร์ เป็นแบบนี้ แต่หลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ พวกเขามักพลิกสถานการณ์กลับมาแซงชนะได้บ่อยๆ มันจึงดูไม่ค่อยเป็นปัญหาอะไร
1
น่าเสียดายที่ผู้ตัดสิน จอน มอสส์ ทำหน้าที่ได้ขัดใจมากๆ เมื่อไม่ยอมเป่าจุดโทษให้ และไม่มี วีเออาร์ ช่วยเช็คให้ละเอียดในจังหวะปัญหานาทีที่ 12 ที่ เจสซี่ ลินการ์ด โดน มาร์ค โนเบิ้ล กระโดดเข้าไปชนในเขตโทษ แถมยังโดนดึงกางเกงไว้ในจังหวะพลิกไปกำลังจะได้ยิง จนเสียหลักล้มไปอีกต่างหาก
1
อย่างไรก็ตาม มันยังมีเวลาอีกมากให้ทีมปีศาจแดงทำประตูตีเสมอให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่ทีมขุนค้อนหันไปเน้นตั้งรับรอสวนอย่างเดียวแล้ว
นับตั้งแต่ผ่านพ้น 10 นาทีแรก ถือว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายพับสนามบุกใส่อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปคือคุณภาพในการลุ้นทำให้เป็นประตู
หากนับเฉพาะครึ่งแรก แมนฯ ยูไนเต็ด หาจังหวะยิงได้มากถึง 13 ครั้ง เวสต์แฮมทำได้ 4 ครั้ง แต่ว่าผีแดงซัดเข้าเป้าแค่ 3 หน ส่วนทีมขุนค้อนขอตรงกรอบแค่ทีเดียว แล้วเปลี่ยนเป็นประตูได้เลย
ในครึ่งเวลาแรก ถือว่าบรรดานักเตะผีแดงที่ไม่ค่อยได้โอกาสลงตัวจริง รวมไปถึง เจดอน ซานโช่ ที่อยากจะรีบๆ ทำผลงานคุ้มค่าตัวเร็วๆ เสียที ดูมีความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองหลายคนนะครับ
ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ขยันวิ่งพล่านเชื่อมเกมตลอด, เจสซี่ ลินการ์ด ก็เล่นได้แบบมีชีวิตชีวา ขณะที่ ซานโช่ ก็ยิ่งกล้าเลื้อย กล้าจ่ายแบบได้เสีย และกล้าหาจังหวะยิงเองมากขึ้น
ช็อตที่น่าจะเป็นประตูตีเสมอของเจ้าบ้านที่สุดก่อนพักครึ่ง คือจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุมฝั่งขวาในนาทีที่ 13 ซึ่งจอมเก๋าอย่าง ฆวน มาต้า เหลือบเห็น อัลฟงส์ อาเรโอล่า ออกห่างจากเส้นประตู จึงยิงปั่นโค้งยัดจากมุมแคบกะจะให้เสียบใต้คาน แต่ว่า อาเรโอล่า ยังรีบตามไปโดดปัดทิ้งออกหลังได้อย่างเหลือเชื่อ
แม้กระทั่งนักเตะที่แฟนบอลแทบไม่อยากเห็นอีกแล้วอย่าง อองโตนี่ มาร์กซิยาล ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะช่วยให้ทีมได้ประตูอย่างเต็มที่ในครึ่งแรกนะครับ เขามีจังหวะหลุดเข้าเขตโทษน่ากลัวหลายครั้ง แต่ยังคงตัดสินใจแบบขาดๆ เกินๆ อยู่
ซึ่งดูเหมือนว่าปัญหาขาดความมั่นใจ จะทำให้เจ้าตัวกู่ไม่กลับซะแล้ว
ในครึ่งเวลาหลัง โซลชาร์ จำเป็นต้องเพิ่มสปีดเกม จึงรีบถอด ฆวน มาต้า ที่สร้างโอกาสฉาบฉวยได้ดี แต่ว่ามีความเร็วไม่มากพอออกมาก่อน แล้วส่ง เมสัน กรีนวู้ด ลงไปยืนทางขวาในนาทีที่ 61 เพื่อให้ ลินการ์ด ขยับเข้ามาตรงกลางมากขึ้น
กรีนวู้ด ลงมาช่วยให้เกมรุกดูวูบวาบขึ้นชัดเจน โดยสัมผัส 2 ครั้งแรกของเขาตอนเพิ่งลงมา เกือบได้ลุ้นเป็นประตูทันที เมื่อหลุดกับดักล้ำหน้าไปจับลูกเปิดของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ลงอย่างนิ่มนวล แต่น่าเสียดายที่ยิงไม่เต็มแรงนัก จึงโดน อาเรโอล่า ล้มตัวใช้ขาเซฟออกมาได้
จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าไม้เขียวยังมีช็อตโชว์ความขยัน ตามไปเบียดแย่งบอลได้จาก เบน จอห์นสัน ทางฝั่งขวาแล้วไหลเข้ากลางให้ เจสซี่ ลินการ์ด ยิงด้วยซ้ายหน้าเขตโทษ แต่น่าเสียดายที่น้ำหนักยังไม่เน้นพอ จึงยังตรงตัว อาเรโอล่า ไม่มีปัญหาอีก
ผมมองว่า ลินการ์ด คือนักเตะที่มีลุ้นช่วยให้ทีมได้ประตูมากที่สุดในเกมนี้นะครับ เพราะเป็นคนที่หาจังหวะยิงตรงกรอบมากที่สุด (2 ครั้ง) จากโอกาสยิงทั้งหมด 4 ครั้งภายในเวลาแค่ 71 นาที โดยสามารถสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนได้อีก 2 หนด้วย
เมื่อบวกกับความมั่นใจจากเกมลีกนัดล่าสุด ที่เพิ่งเป็นซูเปอร์ซับทำประตูชัยได้ ผมจึงคิดว่าดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 14 สมควรจะได้อยู่ในสนามให้นานกว่านี้ แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น
นาทีที่ 71 โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ตัดสินใจส่งตัวหลักอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงมาช่วยเพิ่มทีเด็ดในเกมบุก เช่นเดียวกับกล้าแลกหมัดเต็มเหนี่ยวด้วยการถอดแบ็กซ้ายผลงานแย่อย่าง อเล็กซ์ เตลลิส ออก แล้วใส่ปีกซ้ายดาวรุ่งอย่าง แอนโธนี่ เอลังก้า ลงมาแทน
การตัดสินใจส่ง บรูโน่ ลงมาคือเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่มันผิดตรงที่เขาถอด ลินการ์ด ออกจากสนามไปนั่นแหละ แล้วเก็บนักเตะที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยในครึ่งหลังอย่าง มาร์กซิยาล เอาไว้อย่างนั้นจนจบเกม
ในครึ่งหลัง จู่ๆ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ก็เปลี่ยนจากคนที่ดูมุ่งมั่นในครึ่งแรก กลายเป็นนักเตะซังกะตาย ขี้เกียจไล่บอล ไม่ขยันเคลื่อนที่ และไม่เหลืออันตรายใดๆ ทั้งสิ้นอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งนั่นย่อมส่งผลกับประสิทธิภาพเกมรุกด้วย เพราะดาวเตะเจ้าของเสื้อเบอร์ 9 ไม่ยอมวิ่งทำทาง หรือเคลื่อนที่หาโอกาสที่จะช่วยให้ทีมน่าจะได้ประตูมากสักเท่าไร แต่ทำตัวไม่ต่างอะไรกับนักเตะที่ลงไปให้ครบ 11 คนเลยจริงๆ
ถ้าได้เห็นการเล่นของ มาร์กซิยาล ในครึ่งหลังแบบเต็มๆ คุณอาจรู้สึกว่าต่อให้เอา ลินการ์ด หรือ บรูโน่ ขึ้นไปเล่นหน้าเป้า ยังจะมีประโยชน์มากกว่าได้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าจะให้เดาเหตุผลของ โซลชาร์ ที่ไม่ยอมถอดศูนย์หน้าทีมชาติฝรั่งเศสออกมานั่ง น่าจะเป็นเพราะว่าเขาอยากมีกองหน้าตัวเป้าในสนามเอาไว้ตลอดทั้งเกม หลังจากตัดสินใจพักนักเตะอายุ 36 ปีอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพื่อให้ฟิตเต็มที่สำหรับเกมคืนวันเสาร์ไปแล้ว
น่าเสียดายที่ เอดินสัน คาวานี่ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ฟิตไม่พอที่จะมีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมนี้ ไม่อย่างนั้น มาร์กซิยาล คงไม่น่าจะได้อยู่ในสนามนานขนาดนั้น และมันกลายเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงในเกมนี้ของ โซลชาร์
ดิออน ดับลิน อดีตศูนย์หน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ช่วงต้นยุค 90 วิจารณ์ มาร์กซิยาล ไว้แบบสับเละไม่มีชิ้นดีว่า “ภาษากายของเขามันเลวร้ายมากๆ ที่จะดู เขาไม่ต้องการวิ่งไปไหน และไม่ต้องการทำงานหนักอะไรเลยเพื่อเป็นหมายเลข 9 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
แล้วผมคิดว่าถ้าใครได้นั่งดูเกม คงคิดเหมือนผม ว่าถ้าทีมอุตส่าห์ขึงเกมบุกได้มากขนาดนี้ แล้วมีกองหน้าที่ดีกว่านี้ ทีมอาจจะไม่แพ้ก็ได้
ส่วนตัวผมแล้ว ผมรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ โซลชาร์ ไม่ยอมใส่ชื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไว้กันเหนียวเผื่อกรณีฉุกเฉิน เพราะในสถานการณ์ที่ไม่มีทั้ง คาวานี่ และ แรชฟอร์ด เขาคือตัวจบสกอร์ที่ไว้ใจได้แทบจะคนเดียวที่ทีมมีอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งตัวของ CR7 เองจริงๆ ก็อยากช่วยทีมเช่นกัน แต่ว่า โซลชาร์ เลือกที่จะเก็บความฟิตไว้สำหรับเกมกับ แอสตัน วิลล่า มากกว่า
สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า มันคือเกมที่ เดวิด มอยส์ สามารถเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่โดนทีมปีศาจแดงปลดออกไปเมื่อ 7 ปีก่อนไปซะเลย
หากตัดเรื่องความเสียดายโอกาสที่จะคว้าแชมป์ติดมือไป ถือว่าการร่วงตกรอบ คาราบาว คัพ มันก็พอมีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน
ถ้าหากทีมปีศาจแดงเข้ารอบต่อไปได้ จะต้องพบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในคืนวันที่ 27 ตุลาคม ซึ่งเกมนั้นจะเป็นโปรแกรมกลางสัปดาห์ที่แทรกกลางระหว่างเกมลีกนัดยาก 2 นัดอย่างการเปิดบ้านพบ ลิเวอร์พูล ในคืนวันที่ 24 ตุลาคม และบุกเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในวันที่ 30 ตุลาคม
แต่พอรีบตกรอบไปก่อน จะทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ โฟกัสกับเกมลีก 2 นัดดังกล่าวได้แบบเต็มที่มากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการตัดโปรแกรมในรอบลึกๆ ออกไปด้วย ที่อาจจะทำให้ทีมมีสมาธิกับรายการหลักอย่างพรีเมียร์ลีกได้แบบเต็มๆ ยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อ โซลชาร์ เลือกที่จะแสดงออกว่าเขาเน้นรายการนี้น้อยกว่ารายการอื่นที่ลุ้นแชมป์ยากกว่า เขาต้องสามารถรับแรงกดดันที่หนักหน่วงขึ้นจากแฟนบอลต่อจากนี้ให้ดีให้ได้
แล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไม่มีรายการอย่าง คาราบาว คัพ ที่เป็นโอกาสให้นักเตะตัวสำรองหลายคนได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว เขาจะจัดการกับปัญหานักเตะที่ไม่ใช่แกนหลัก ยอมทนนั่งสำรองยาวๆ ยังไงให้มีความสุขกับทีม และมีฟอร์มการเล่นที่ดีพอจะช่วยเหลือทีมเมื่อถูกเรียกใช้งานให้ดีกว่านี้ยังไงอีก
เพราะเราได้เห็นกันไปแล้ว และหลายครั้งแล้วว่า คุณภาพที่เหลื่อมล้ำมากเกินไป ระหว่างนักเตะตัวหลักไม่กี่คนที่ โซลชาร์ ใช้งานบ่อยๆ กับนักเตะที่ไม่ค่อยได้ลงสนามจนมีผลงานไว้ใจไม่ได้ มันทำให้ทีมเจอกับเกมที่น่าผิดหวังมากแค่ไหน
.
ในช่วงต่อจากนี้ นักเตะบางคนที่ไม่อยู่ในสภาพช่วยเหลือทีมได้ดีพอ อาจจะแทบไม่ได้โอกาสลงตัวจริงอีกแล้ว
เพราะถ้ายังฝืนต่อไปแล้วผลงานยังแย่อีก คนที่ไม่เหลือโอกาสจะไม่ใช่นักเตะ แต่จะเป็นผู้จัดการทีมแทนนั่นแหละ….
#เสียบสามเหลี่ยม #ผีแดง #ปีศาจแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #เวสต์แฮม #โซลชาร์ #ซานโช่ #ฟานเดอเบค #มาร์กซิยาล #ลินการ์ด #ลันซินี่ #มอยส์ #เดวิดมอยส์ #ลีกคัพ #คาราบาวคัพ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา