23 ก.ย. 2021 เวลา 08:02 • ประวัติศาสตร์
“แก๊งค้ายาเมเดยิน (Medellín Cartel)” ขบวนการค้ายาเสพติดที่ใหญ่และอันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์
“แก๊งค้ายาเมเดยิน (Medellín Cartel)” คือขบวนการค้ายาเสพติดที่ใหญ่และโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงที่รุ่งเรืองสุดขีด ขบวนการค้ายาเสพติดแก๊งนี้สามารถทำกำไรได้ถึงวันละ 100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,000 ล้านบาท)
1
แก๊งค้ายาเมเดยิน มีส่วนแบ่งตลาดโคเคนในสหรัฐอเมริกาถึง 96% ตลาดโคเคนทั่วโลกอีก 90% เรียกได้ว่ากินรวบในธุรกิจโคเคน และมีอิทธิพลมาก ภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี ก็สร้างชื่อ แผ่อิทธิพลไปทั่วโคลัมเบีย
1
ทางการโคลัมเบีย รวมทั้งทางการอเมริกันและแคนาดา ต่างก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มแก๊งนี้ และในที่สุด ก็สามารถจับกุมและสังหารสมาชิกแก๊งนี้ได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสังหาร “พาโบล เอสโคบาร์ (Pablo Escobar)” ผู้นำแก๊งค้ายาเมเดยิน
พาโบล เอสโคบาร์ (Pablo Escobar)
ที่ผ่านมา เอสโคบาร์ได้สร้างอิทธิพล แผ่บารมีไปทั่วโคลัมเบีย โดยเขาได้จ่ายสินบนให้แก่ตำรวจและข้าราชการจำนวนมาก อีกทั้งยังบริหารงานต่างๆ ในแก๊งค้ายาเมเดยิน
แก๊งค้ายาเมเดยิน ได้เติบโตเป็นแก๊งที่ทรงอิทธิพล เงินหมุนเวียนก็มหาศาล มีเครื่องบินหลายลำ เฮลิคอปเตอร์ เรือยอร์ช มีแม้กระทั่งเรือดำน้ำ เป็นที่เกรงขามไปทั่ว
2
สำหรับเอสโคบาร์ซึ่งเป็นผู้นำนั้น ได้รับฉายาว่า “ราชาโคเคน” และได้รับการจัดอันดับให้เป็นอาชญากรที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงที่รุ่งเรืองนั้น เขาทำเงินได้มากกว่าปีละ 2,100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 63,000 ล้านบาท)
ด้วยรายได้มหาศาล ทำให้เอสโคบาร์มีชีวิตที่หรูหรา และเมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว ก็มีการประเมินว่าเขามีทรัพย์สินสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณหนึ่งล้านล้านบาท) แต่อาจจะมีที่ซุกซ่อนไว้มากกว่านั้น
แต่ถึงแม้ในเวทีโลก เอสโคบาร์คืออาชญากร หากแต่เหล่าคนยากจนในโคลัมเบียต่างยกย่องเอสโคบาร์ เนื่องจากเอสโคบาร์ได้ให้การช่วยเหลือเหล่าคนจนเป็นจำนวนมาก บริจาคเงินจำนวนมาก
เอสโคบาร์นั้นเริ่มเข้ามาในธุรกิจโคเคนในช่วงปลายยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) โดยโคลัมเบียนั้น ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เหมาะแก่การปลูกต้นโคคา พืชที่ใช้ในการสกัดทำโคเคน
เอสโคบาร์ได้ทำการสกัดโคเคน ก่อนจะจ้างให้คนขนโคเคนเข้าไปในสหรัฐอเมริกา และก็ทำได้อย่างแนบเนียน มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ด้านมาช่วยในการขนย้ายโคเคนให้รอดพ้นจากหูตาของทางการ
1
รัฐบาลอเมริกันก็ไม่อยู่เฉย ได้พยายามจะแกะรอยแก๊งค้ายาเมเดยิน หากแต่เอสโคบาร์และพวกก็มักจะนำหน้าอยู่หนึ่งก้าวเสมอ
นอกจากจะค้ายาแล้ว แก๊งค้ายาเมเดยินยังก่ออาชญากรรมและความรุนแรงมากมาย โดยได้ทำการฆาตกรรมผู้ต่อต้านเป็นจำนวนมาก มีการประเมินว่าแก๊งค้ายาเมเดยินฆ่าคนไปถึง 4,000 คน
ผู้ที่ถูกฆ่านั้น นอกจากประชาชนทั่วไปและแก๊งค้ายาเสพติดแก๊งอื่น อีกไม่ต่ำกว่า 1,000 คนที่ถูกฆ่าคือตำรวจและนักข่าว อีก 200 คนคือผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่รัฐ
ในปีค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) เอสโคบาร์และแก๊งของเขาได้ทำการวางระเบิดเครื่องบินเพื่อสังหารนักการเมืองรายหนึ่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 107 คน
แต่ถึงแม้จะทำความผิดอย่างอุกอาจ หากแต่ด้วยความที่จ่ายสินบนให้ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาจึงรอดจากเงื้อมมือกฎหมาย
แต่ด้วยความกดดันจากการตามล่าของตำรวจและหลายฝ่าย เอสโคบาร์จึงยอมมอบตัวในปีค.ศ.1991 (พ.ศ.2534) หากแต่การมอบตัวของเขานั้นก็ไม่ธรรมดา
เอสโคบาร์ขอกักตัวอยู่ในเรือนจำส่วนตัว ซึ่งเรือนจำนี้มีชื่อว่า “La Catedral” โดยเป็นเรือนจำสุดหรู มีทุกอย่างไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาว
1
และในไม่ช้า เอสโคบาร์ก็ได้หลบหนีออกจากเรือนจำของตน
La Catedral
เมื่อเป็นอย่างนี้ ทางการก็เริ่มโหมกำลังแทบทั้งหมดเพื่อจะจับตัวเอสโคบาร์ให้ได้ ทำให้เอสโคบาร์เริ่มจะเครียดและหวาดวิตก อารมณ์ร้อนขึ้นกว่าเดิม และได้ฆ่าพรรคพวกของตัวเองไปถึงสองคน
ความอารมณ์ร้อนของเอสโคบาร์ ทำให้หลายคนที่อยู่ข้างเขาเริ่มแปรพักตร์ หลายรายเริ่มเข้าหาตำรวจ ให้ข้อมูลของเอสโคบาร์
1
ในที่สุด วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) ภายหลังจากผ่านวันเกิดปีที่ 44 ของตนมาได้เพียงหนึ่งวัน จุดจบของเอสโคบาร์ก็มาถึง
เอสโคบาร์ได้พูดโทรศัพท์กับลูกชาย หากแต่เขาคุยนานเกินไป ทำให้ตำรวจสามารถดักสัญญาณโทรศัพท์ และทราบที่อยู่ของเขา ตำรวจจึงส่งกำลังมาล้อมบ้านของเขา
เอสโคบาร์ได้หนีขึ้นไปทางหลังคา หากแต่ก็ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต
ตำรวจกับร่างไร้วิญญาณของเอสโคบาร์
แต่ถึงเอสโคบาร์จะตายไปแล้ว แต่แก๊งค้ายาเมเดยินยังคงอยู่ และทำการส่งโคเคนจากแหล่งอื่นๆ และทำเงินได้เป็นจำนวนมาก
และแก๊งค้ายาเมเดยินและเอสโคบาร์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นขบวนการค้ายาเสพติดที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์
โฆษณา