23 ก.ย. 2021 เวลา 13:30 • ความคิดเห็น
<เค้าไม่ได้จ่าย>
ด้วยความพลาดพลั้ง ผมเผลอปัดแว่นที่วางไว้ ผลคือเลนส์แตก
ผมเศร้ามาก เพราะเลนส์นี้ใช้ดี ใช้มาเกือบสิบปี แถมราคาก็ไม่ได้ถูก
1
ถ้าจำไม่ผิด เลนส์คู่นี้ราคาหมื่นแปด ตอนยื่นบัตรเครดิตถึงกับมือสั่น
ใช่ แพงมาก (แพงกว่ากรอบแว่นอีก) เพราะสายตาผมสั้นเยอะ แถมเอียงด้วย เป็นคนที่มีปัญหาด้านสายตา
5
พอเลนส์คู่นี้แตกผมจึงเศร้า โชคดีที่แตกนิดเดียว ยังพอใช้ได้ แต่ถ้าใช้ระยะยาวคงไม่เวิร์ก
1
“ถือซะว่าจะได้เปลี่ยนเลนส์” ผมบอกตัวเองแบบนี้
2
คือช่วงหลังสายตาผมน่าจะเริ่มยาว เริ่มมองตัวหนังสือเล็ก ๆ ไม่ชัด
ลองค้นกูเกิ้ลว่ามีเลนส์อะไรที่ใช้ได้ทั้งสายตาสั้น เอียง และยาว คำตอบคือ เลนส์โปรเกรสซีฟ (Progressive Lens)
1
แต่เลนส์โปรเกรสซีฟไม่เหมือนเลนส์ทั่วไป มีความละเอียดอ่อน แถมราคาแพง (เกือบหมื่นจนถึงเกือบแสน) จึงคิดว่าไปตัดกับร้านแว่นเฉพาะทางเลยดีกว่า
ร้านแว่นแนวนี้มีหลายร้าน แต่คลินิกแว่นตาออร่า น่าจะอยู่ใกล้บ้านผมที่สุด ลองอ่านกระทู้ใน Pantip ก็เห็นหลายคนชม
จึงติดต่อทางร้านเพื่อขอนัดเวลา (ร้านแนวนี้เดินดุ่ม ๆ ไปไม่ได้ ต้องนัดล่วงหน้า) ก่อนวันนัดทางร้านก็โทรมายืนยันด้วย
“ดูโปรดีแฮะ” ผมคิดในใจ
ร้านอยู่ในซอยรามคำแหง 53 เข้าซอยลึกมาก ถ้าไม่เปิด Google Map คงขับเลยแน่นอน ดีที่มีที่จอดรถด้วย
พอผลักประตูเข้ามา สัมผัสแรกคือกลิ่น เป็นกลิ่นหอมสไตล์โรงแรมหรู ขนาดใส่หน้ากากยังได้กลิ่นจาง ๆ
“สวัสดีค่ะ” พนักงานสาว (สวย) กล่าวต้อนรับ
ผมแจ้งชื่อและบอกว่านัดไว้ พนักงานสาว (สวย) ค้นเจอชื่อผม จึงเชิญไปที่เก้าอี้
ลองมองรอบ ๆ พบว่าร้านไฮโซมาก ขายแต่แว่นแบรนด์ดัง ๆ Dior, Gucci, Oakley, ic berlin
“จะมีตังค์จ่ายไหมเนี่ย” ผมคิดในใจ
ไม่นานพนักงานก็เชิญผมไปที่ห้องวัดสายตา
นักทัศนมาตรที่วัดสายตาให้ผมชื่อคุณป่าน เป็นคนละเอียดและใจเย็นมาก
การวัดสายตาใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
อ่านไม่ผิดหรอก หนึ่ง-ชั่ว-โมง
ทำไมนานขนาดนั้น?
สายตาผมค่อนข้างมีปัญหา สั้นเยอะ เอียงนิด และน่าจะยาวด้วย (ปรากฏว่ายาว 100)
คุณป่านตรวจละเอียดมาก ให้ทดสอบสายตาหลายแบบ (บางแบบไม่เคยเจอจากร้านแว่นที่อื่น)
ให้ลองใส่เลนส์โปรเกรสซีฟเปรียบเทียบกับเลนส์ธรรมดา
ตอนใส่เลนส์โปรเกรสซีฟ รู้สึกมึนนิดหน่อย คือเลนส์โปรเกรสซีฟมองปุ๊ปจะยังไม่ชัด ต้องรอให้สายตาปรับโฟกัสแป๊ปนึง แล้วจะชัดขึ้น
ตำแหน่งของตัวเลนส์ก็มีค่าสายตาไม่เท่ากัน ส่วนบนของเลนส์ใช้มองระยะไกล ส่วนกลางใช้มองระยะกลาง และส่วนล่างใช้มองระยะใกล้
เวลามองบนแล้วเปลี่ยนมามองล่างจะรู้สึกว่าภาพยังไม่ชัด ต้องรอให้สายตาปรับโฟกัสนึดนึง
อารมณ์คล้ายมองกล้องจากปืนสไปเปอร์ วื้ด-ซูม วื้ด-ซูม อะไรยังงั้น
แต่ถ้าเป็นเลนส์ปกติ (Single Lens) จะมีค่าสายตาเท่ากันทั้งเลนส์ สามารถมองขึ้น-ลงได้ตามสบาย ไม่ต้องรอปรับโฟกัส แต่จะมีปัญหาเวลามองตัวหนังสือเล็ก ๆ เพราะถ้าไม่ชัด ยังไงก็ไม่ชัด
ผมทดลองใส่ทั้งเลนส์โปรเกรสซีฟและเลนส์ธรรมดาเปรียบเทียบกันหลายรอบ รู้สึกว่าเลนส์โปรเกรสซีฟยังไม่ตอบโจทย์ อาจเป็นเพราะสายตายังยาวไม่มาก ภาพที่ออกมาจึงต่างกันไม่มาก
แต่ราคาต่างกันมาก ถ้าเป็นเสนส์โปรเกรสซีฟดี ๆ ราคาแพงกว่า 3-4 เท่า
ผมจึงตัดสินใจซื้อเลนส์ธรรมดา เลือกแบบที่ย่อบางที่สุด (แต่ก็ยังหนาอยู่ดี) และเพิ่มออปชันลดการเกิดฝ้า (OptiFog) สนนราคารวม 13,300 บาท
(ถ้าใครใส่แว่นแล้วใส่หน้ากากอนามัย จะเจอปัญหาเรื่องแว่นขึ้นฝ้าบ่อยมาก)
พนักงานสาว (สวย) ถามว่าผมสนใจเปลี่ยนกรอบแว่นไหม แต่ผมยังชอบกรอบเดิม และแค่ราคาเลนส์ก็ทำให้ผม ‘กรอบ’ แล้ว
พอรู้ว่าผมไม่คิดจะเปลี่ยนกรอบแว่น พนักงานก็ไม่ถาม ไม่ตื๊อ หรือไม่พยายามยัดเยียดเลย เป็นจุดนึงที่ผมชอบมาก
1
ผมสังเกตว่าแป้นวางจมูกของแว่นที่ใช้ตอนนี้เริ่มโทรมแล้ว ตั้งแต่ซื้อมาก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย จึงถามว่าทางร้านพอจะเปลี่ยนให้ได้ไหม
“ได้ค่ะ” พนักงานยิ้ม แล้วรับแว่นของผมไป
สักพักก็นำแว่นที่เปลี่ยนแป้นวางจมูกมาให้
“ค่าใช้จ่ายเท่าไรครับ?” ผมถาม
“ไม่มีค่ะ ทางเรายินดีให้บริการ” พนักงานส่งยิ้ม
คำตอบนั้นทำผมประหลาดใจทีเดียว
ทางร้านแจ้งว่าต้องรอเลนส์ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ผ่านไปห้าวัน ร้านก็โทรมา
“เลนส์มาแล้วนะคะ ไม่ทราบว่าสะดวกเปลี่ยนวันไหนดีคะ?”
ทางร้านแจ้งว่าต้องใช้เวลาเปลี่ยนเลนส์ประมาณสามชั่วโมง เพราะต้องเซาะร่องเลนส์ให้พอดีกับกรอบ
(ผมไม่มีแว่นสำรอง จึงทิ้งแว่นไว้ที่ร้านไม่ได้ ต้องนำแว่นที่ใส่อยู่ไปให้ทางร้านเปลี่ยนเลนส์ให้)
พอรู้ว่าต้องรอนาน ผมจึงเตรียมหนังสือมาอ่าน และเตรียมหูฟังมาด้วย
“เชิญคุณลูกค้ารอที่ห้องรับรองได้เลยค่ะ”
เป็นห้องรับรองที่สวยมาก มีโซฟา ทีวี แถมมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ให้นั่งทำงานรอด้วย (เสียดายไม่ได้นำคอมพิวเตอร์มา)
ร้านเปิดเพลงคลาสสิกคลอเบา ๆ หูฟังที่นำมาด้วยจึงไม่ได้ใช้
สักพัก ผมรู้สึกว่าแอร์เย็นและส่องหัว จึงไปนั่งรอที่เก้าอี้ด้านหน้าแทน
“คุณลูกค้าไม่สะดวกนั่งรอที่ห้องรับรองหรือคะ?” พนักงานสาว (สวย) ถาม
พอรู้ว่าแอร์ส่องหัว พนักงานสาว (สวย) จึงปรับแอร์ และเชิญผมไปที่ห้องรับรองอีกครั้ง
“ถ้าแอร์เย็นหรือร้อนไป คุณลูกค้าปรับได้ตามใจเลยนะคะ” เธอยิ้มพร้อมผายมือไปที่รีโมท
ประทับใจไหม?
สุด ๆ
อันที่จริง ก่อนออกจากบ้านผมค้นแว่นเก่า (กึ้ก) เจอ จึงนำมาที่ร้านด้วย (จะได้มีแว่นใส่ตอนนั่งรอเลนส์)
แต่แว่นเก่า (กึ้ก) ของผมโทรมมาก ยิ่งตรงแป้นวางจมูกโทรมสุด ๆ จึงถามทางร้านว่าเปลี่ยนแป้นวางจมูกให้ได้ไหม
“ได้ค่ะ”
“คิดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ครับ?” ผมถาม
“ไม่คิดค่ะ ถือเป็นบริการให้ลูกค้า”
“แต่นี่เป็นแว่นอันเก่า ไม่ใช่แว่นที่นำมาใส่เลนส์อันใหม่นะครับ” ผมแย้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ ทางเรายินดีให้บริการ” พนักงานสาว (สวย) ยิ้มตอบ
คำตอบนั้นทำผมประหลาดใจอีกแล้ว
ทางร้านแจ้งว่าใช้เวลาเปลี่ยนเลนส์ประมาณ 3 ชั่วโมง แต่แค่ 2 ชั่วโมง คุณป่านก็นำแว่น (ที่เปลี่ยนเลนส์แล้ว) มาให้ลอง แน่นอนว่าใช้ได้ดี ชัดเจน ใสแจ๋ว แถมยังมีกล่องแว่น (ไฮโซ) เพิ่มมาให้ด้วย
ผมเดินออกจากร้านด้วยความประทับใจ ถ้าคะแนนเต็ม 10 คงให้ 11 เพราะเกินความคาดหมาย
ขอบคุณคลินิกแว่นตาออร่าสำหรับประสบการณ์ดี ๆ
ตัดแว่นครั้งหน้า ผมจะมาที่ร้านนี้แน่นอน ^_^
ป.ล. บทความนี้เริ่มเขียนตอนนั่งรอเลนส์ ประทับใจจนต้องบันทึกประสบการณ์
โฆษณา