27 ก.ย. 2021 เวลา 02:09 • ประวัติศาสตร์
“สุสาน” ในประวัติศาสตร์
“สุสาน” คือสถานที่สุดท้ายในชีวิตของผู้คน คือสถานที่ๆ เก็บร่างของมนุษย์เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว
1
แต่สุสานนี้ก็มีประวัติความเป็นมา และมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
บทความนี้ จะบอกเล่าเรื่องราวของสุสานครับ
สุสานในยุคแรกๆ นั้นจะมีลักษณะเป็นบ้าน โดยในวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์หลายแห่ง ผู้คนมักจะฝังศพคนตายในบ้าน พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตาย เนื่องจากเชื่อว่าข้าวของเหล่านี้ ผู้ตายจะได้นำไปใช้ยังโลกหน้า
1
ต่อมา เริ่มมีการนำศพไปฝังนอกบ้าน หากแต่สุสานที่ใช้ฝังศพก็ยังมีลักษณะคล้ายกับบ้าน โดยในยุคหิน สุสานจะมีรูปทรงคล้ายกับบ้าน โดยโครงสร้างหลักนั้นทำมาจากหิน
การฝังศพในยุคหินก็จะมีการฝังเครื่องมือเครื่องใช้ อาหาร และสิ่งของๆ ผู้ตาย เพื่อให้ผู้ตายนำไปใช้ยังโลกหน้า
ในสมัยกรีซและโรมันโบราณ การฝังศพก็ยังมีการฝังสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ตาย หากแต่จุดประสงค์ไม่ใช่แค่เพื่อให้ผู้ตายนำไปใช้ในโลกหน้า แต่ยังเป็นการแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของผู้ตาย
จากนั้น ก็มีการสร้างสุสานต่อมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ยุคกลางและศตวรรษที่ 16 โดยในเวลานั้น โบสถ์ก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนสุสานด้วย
ในยุคเรเนสซองส์ การสร้างสุสานในสังคมตะวันตกเริ่มหมดความสำคัญ เริ่มมีการสร้างอนุสรณ์สถานแทนสุสาน
สำหรับสุสานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก ก็น่าจะเป็น “พีระมิด (Pyramid)” ของอียิปต์
เรื่องราวของพีระมิด ผมเคยเขียนเป็นซีรีส์ไว้แล้ว อ่านได้ตามลิ้งค์นี้เลยครับ
สำหรับสุสานที่โด่งดังอีกแห่งหนึ่ง ก็คือ “โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)”
1
เชื่อกันว่าพระศพของพระเยซู ถูกเก็บไว้ในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ และยังว่ากันว่า ที่ตั้งของโบสถ์แห่งนี้คือจุดที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนและฟื้นคืนจากความตาย
โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)
ภายหลังจากที่ “จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)” พระประมุขแห่งโรม ขึ้นครองราชย์ในปีค.ศ.306 (พ.ศ.849) พระองค์ก็ทรงมีรับสั่งให้ทำลายวิหารที่สร้างบนสุสานของพระเยซู
วิศวกรของพระองค์ได้ทำการขุดสุสานของพระเยซู และสร้างโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบสุสาน
จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)
โบสถ์แห่งนี้เสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ.336 (พ.ศ.879) และเมื่อเวลาผ่านไป โบสถ์ก็ได้ผุพังไปตามกาลเวลาและมีการบูรณะซ่อมแซมหลายครั้ง
ต่อมา พวกเปอร์เซียได้เผาโบสถ์แห่งนี้ในปีค.ศ.614 (พ.ศ.1157) ก่อนจะได้รับการบูรณะในปีค.ศ.630 (พ.ศ.1173) และถูกทำลายโดยพวกอียิปต์ในปีค.ศ.1009 (พ.ศ.1552) และก็ได้รับการบูรณะอีกครั้ง ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ สถาปัตยกรรมของโบสถ์แห่งนี้ก็มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ
ต่อมาคือ “มัสยิดอันนะบะวี (Al Masjid an Nabawi)”
มัสยิดอันนะบะวี ตั้งอยู่ในมืองมะดีนะฮ์ ซาอุดิอารเบีย และเป็นสุสานของ “มุฮัมมัด (Muhammad)” ศาสดาของศาสนาอิสลาม อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสองของอิสลาม
มัสยิดอันนะบะวี (Al Masjid an Nabawi)
มุฮัมมัดเป็นผู้สร้างมัสยิดแห่งนี้ และเมื่อสิ้นมุฮัมมัดในปีค.ศ.632 (พ.ศ.1175) มุฮัมมัดก็ถูกฝังในสถานที่แห่งนี้
ต่อมา ก็ได้มีการทุบและสร้างมัสยิดแห่งนี้ใหม่ และมีการบูรณะอีกหลายครั้ง
สำหรับสุสานแห่งต่อไป คือ “ทัชมาฮาล (Taj Mahal)”
ทัชมาฮาลถูกสร้างในปีค.ศ.1638 (พ.ศ.2181) โดยตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดีย โดยประกอบด้วยสุสาน ทางเข้าขนาดใหญ่ สวน สุเหร่า และอาคารต่างๆ
1
ทัชมาฮาล (Taj Mahal)
แต่เบื้องหลังของความยิ่งใหญ่อลังการของสถานที่แห่งนี้ ก็คือเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่
1
“จักรพรรดิชาห์ชะฮัน (Shah Jahan)” พระประมุขแห่งอินเดียในศตวรรษที่ 17 ได้ทรงมีรับสั่งให้สร้างสถานที่นี้เพื่ออุทิศให้ “พระนางมุมตาซ มหัล (Mumtaz Mahal)” พระอัครมเหสีของพระองค์
1
มีบันทึกถึงเรื่องราวความรักของจักรพรรดิชาห์ชะฮันกับพระนางมุมตาซ มหัล โดยบันทึกว่าพระองค์ทรงรักพระอัครมเหสีองค์นี้มาก
1
จักรพรรดิชาห์ชะฮัน (Shah Jahan)
พระนางมุมตาซ มหัล (Mumtaz Mahal)
พระนางมุมตาซ มหัลสวรรคตในปีค.ศ.1631 (พ.ศ.2174) ขณะให้พระประสูติกาลพระราชโอรสองค์ที่ 14
เมื่อสูญเสียพระอัครมเหสี จักรพรรดิชาห์ชะฮันก็ได้ทรงมีรับสั่งให้สร้างทัชมาฮาลเพื่ออุทิศให้พระอัครมเหสี
ในทุกวันนี้ เรื่องราวความรักที่ทำให้เกิดทัชมาฮาลก็ยังคงเป็นที่พูดถึง และทัชมาฮาลก็เป็นหนึ่งในสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน และโด่งดังไปทั่วโลก
นี่ก็เป็นตัวอย่างของสุสานในสถานที่ต่างๆ และก็มีประวัติความเป็นมาต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่
1
โฆษณา