Series บทความมาตรการทางการคลังกับวิกฤต COVID-19: บทความที่ 2 Big Data กับพฤติกรรมผู้บริโภค: กรณีศึกษาโครงการคนละครึ่ง
credit: https://unsplash.com/photos/DPVL400D0As
บทความโดย
นายณัฐพล สุภาดุลย์
เศรษฐกรชำนาญการพิเศษ
สำนักนโยบายภาษี
นายนวพล ภิญโญอนันตพงษ์
เศรษฐกรชำนาญการ
สำนักนโยบายการคลัง
นายอิทธิพัฒน์ ประภาประเสริฐ
เศรษฐกรปฏิบัติการ
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ในส่วนของบทความฉบับที่ 2 ภายใต้ Series บทความมาตรการทางการคลังกับวิกฤต COVID-19 จะเป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ผ่าน Big data ของพฤติกรรมการใช้เงินของผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง โดยมีรายละเอียดข้อค้นพบที่น่าสนใจ ดังนี้
มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ และสัดส่วนต่อผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดสูงเป็นอันดับ 3 รองจาก Gen Y และ Gen X อย่างไรก็ดี สัดส่วนผู้เข้าร่วมโครงการต่อประชากรของกลุ่ม Baby Boomer ทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 18.05 อยู่ในระดับต่ำรองจากกลุ่ม Builder ซึ่งอาจสะท้อนถึงข้อจำกัดด้านการใช้เทคโนโลยีเช่นกัน ในขณะที่ยอดใช้ต่อหัวอยู่ในระดับค่อนข้างสูง (รองจาก Gen X) อยู่ที่ 6,945 บาทต่อหัว คิดเป็นส่วนเพิ่มการใช้จ่าย 1.045 (ใกล้เคียงกับ Gen X) สะท้อนถึงกำลังทรัพย์ที่ในระดับหนึ่งแต่จะมีลักษณะการใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่า (พร้อมใช้จ่ายเยอะขึ้น ถ้าได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น) นอกจากนี้ ยอดใช้จ่ายต่อครั้งของกลุ่ม Baby boomer อยู่ในระดับสูงสุดใน 5 กลุ่มช่วงอายุ อยู่ที่ 179 บาทต่อครั้ง และมีจำนวนครั้งที่ใช้น้อยที่สุดอยู่ที่ 39 ครั้ง เท่ากับกลุ่ม Builder ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัจจัยจากข้อจำกัดด้านการใช้เทคโนโลยีเช่นกัน
Gen X (40-55 ปี)
มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ และสัดส่วนผู้เข้าร่วมโครงการต่อประชากร Gen X ทั้งประเทศ สูงเป็นอันดับสองรองจาก Gen Y แต่มีสัดส่วนผู้เข้าร่วมโครงการต่อประชากรของกลุ่ม Gen X ทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 28.47 ต่ำกว่ากลุ่ม Gen Y และ Gen Z ซึ่งอาจเป็นผลจากข้อจำกัดด้านเวลาในการกดลงทะเบียนเพื่อให้ทันในการรับสิทธิ์ รวมไปถึงความจำเป็นในการรับความช่วยเหลือทางการเงินจากภาครัฐอาจอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับอีกสองกลุ่มช่วงอายุดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นในรูปของยอดใช้จ่ายต่อหัวของผู้เข้าร่วมโครงการซึ่งอยู่ที่ 6966 บาท สูงสุดในทั้ง 5 กลุ่มช่วงอายุ
โดยมีส่วนเพิ่มการใช้เงินตนเองอยู่ที่ 1.048 เท่า ต่ำกว่า Gen Y แต่มีการใช้วงเงินที่รัฐบาลสนับสนุนสูงสุดในทั้ง 5 กลุ่มช่วงอายุ อยู่ที่ 3,402 บาท (คิดเป็นร้อยละ 97 ของวงเงิน 3,500 บาท ที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนสูงสุดต่อราย) สะท้อนถึงกำลังทรัพย์ที่อยู่ในระดับสูงแต่จะมีลักษณะการใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่าของกลุ่ม Gen X สำหรับยอดใช้จ่ายต่อครั้งของกลุ่ม Gen X อยู่ที่ 163 บาทต่อครั้ง ต่ำกว่ากลุ่ม Builder และ Baby Boomer และมีจำนวนครั้งที่ใช้อยู่ที่ 43 ครั้งต่อคน สูงกว่ากลุ่ม Builder และ Baby Boomer
Gen Y (24-39 ปี)
มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการสูงสุดในทั้ง 5 กลุ่มช่วงอายุ คิดเป็นร้อยละ 39.22 ของผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด โดยมีสัดส่วนต่อประชากรกลุ่ม Gen Y ทั้งประเทศ อยู่ที่ร้อยละ 38.26 สะท้อนถึงความเข้าถึงและคุ้นชินกับเทคโนโลยีสูงของ Gen Y นอกจากนี้ กลุ่ม Gen Y ยังมีส่วนเพิ่มการใช้จ่ายสูงถึง 1.055 สูงที่สุดใน 5 กลุ่มช่วงอายุ แต่มียอดใช้จ่ายรวมต่อหัวอยู่ที่ 6,913 ใกล้เคียงกับกลุ่ม Builder และต่ำกว่า Gen X และ Baby Boomer
โดยเป็นส่วนที่มาจากเงินตนเอง 3,550 บาท (สูงเป็นอันดับสองรองจาก Gen X) และส่วนที่มาจากเงินรัฐบาล 3,363 บาท (ต่ำกว่า Gen X Baby Boomer และ Builder) สะท้อนถึงกำลังทรัพย์ที่ค่อนข้างสูง (แต่อาจน้อยกว่า Gen X) และพร้อมที่จะใช้จ่ายเพื่อทดลองสิ่งแปลกใหม่โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า/สิทธิประโยชน์สูงที่สุด ทั้งนี้ กลุ่ม Gen Y มียอดใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ที่ 144 บาท อยู่ในระดับต่ำ (แต่สูงกว่า Gen Z) และจำนวนครั้งที่ใช้สูง (แต่ต่ำกว่า Gen Z) อยู่ที่ 48 ครั้งต่อคน
Gen Z (8-23 ปี)
มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการค่อนข้างต่ำ (แต่สูงกว่ากลุ่ม Builder) คิดเป็นร้อยละ 13.16 ของผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงื่อนไขโครงการที่กำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำที่ 18 ปี โดยหากพิจารณาจากสัดส่วนผู้เข้าร่วมโครงการต่อประชากรช่วงอายุ 18- 23 ปีทั้งประเทศ จะอยู่ที่ร้อยละ 38.16 อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับสัดส่วนของ GEN Y สะท้อนถึงความเข้าถึงและคุ้นชินกับเทคโนโลยีสูงของ Gen Z เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ยอดใช้จ่ายต่อหัวของ Gen Z อยู่ที่เพียง 6,647 อยู่ในอันดับต่ำสุด โดยมียอดใช้จ่ายจากเงินของตนเองอยู่ที่ 3,386 บาท ต่อหัว (ในขณะที่ Gen อื่น เกิน 3,500 บาท ทั้งหมด) และยอดใช้จ่ายจากเงินรัฐบาล 3,261 บาทต่อหัว คิดเป็นส่วนเพิ่มการใช้จ่าย 1.038 เท่า ต่ำที่สุดใน 5 กลุ่มช่วงอายุ และมีวงเงินสนับสนุนจากรัฐบาลที่ไม่ได้ใช้สิทธิเหลือถึง 239 บาท (ในขณะที่ Gen อื่น จะมีวงเงินเหลือที่ไม่ได้ใช้สิทธิเพียงประมาณ 100 บาท) สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านรายได้ที่มีอยู่มากเมื่อเทียบกับช่วงอายุอื่น เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่เริ่มทำงานทำให้มีเงินเดือนน้อย รวมไปถึงเป็นกลุ่มที่เพิ่มจบการศึกษาและอาจไม่สามารถหางานทำได้จากผลกระทบของ COVID-19 ทำให้ Gen Z ต้องการใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุดและน้อยที่สุดแม้จะได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจากรัฐบาลก็ตาม