28 ก.ย. 2021 เวลา 12:19 • กีฬา
จากเด็กหนุ่มที่มีเงินใช้แค่ 800 บาทต่อสัปดาห์ จอร์จินโญ่ ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
2
จอร์จินโญ่ มีไอดอลในดวงใจ 2 คน คนแรกคือริคาร์โด้ กาก้า เจ้าของบัลลงดอร์ชาวบราซิล และอีกคนคือจอร์จี้ ฮาจี้ เพลย์เมกเกอร์คนดังชาวโรมาเนีย
สาเหตุที่ชอบ เพราะกาก้า กับ ฮาจี้ เป็นสุดยอดกองกลางตัวรุกทั้งคู่ ซึ่งตัวจอร์จินโญ่ก็อยากเป็นนักเตะแบบนี้ล่ะ เป็นเพลย์เมกเกอร์เท่ๆ ที่กระชากบอลเข้าไปซัดประตูใส่คู่แข่ง
จอร์จินโญ่เกิดที่อิมบิตูบ้า เมืองชายทะเลในประเทศบราซิล เส้นทางของเขาก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วๆไป คือเริ่มต้นจาก ฟุตบอลชายหาด ตามด้วยฟุตซอล ก่อนขยับมาเล่นฟุตบอล โดยเขามีความฝันคือได้เล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ หาเงินได้เยอะๆ แล้วก้าวไปติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่สักครั้ง
แต่ปัญหาของจอร์จินโญ่ในช่วงเยาวชนคือ เขาเล่นไม่ดี ด้วยความที่ตัวเล็กมาก รูปร่างผอมบาง พอไปยืนเป็นกองกลางตัวรุก ต้องไปสู้กับเซ็นเตอร์แบ็ก หรือกองกลางตัวรับไซส์ใหญ่ๆ จอร์จินโญ่ โดนกระแทกกระเด็นหมด
ถ้าตัวเล็ก แต่มีเทคนิคอัจฉริยะแบบลีโอเนล เมสซี่ ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่จอร์จินโญ่ ก็ไม่ได้มีสกิล หรือความเร็วที่เลิศเลอขนาดนั้น เขาเลี้ยงกระชากหลบผู้เล่น 3-4 คนไม่ได้หรอก
5
นั่นทำให้ในระดับเยาวชน จอร์จินโญ่ เป็นผู้เล่นเกรดกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นจนน่าจดจำนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขามีมากกว่าใครๆ คือ Passion ที่ไม่ยอมแพ้
1
จอร์จินโญ่เล่าว่า "ผมเคยไปคัดตัวกับสโมสรใหญ่ 3 แห่งในเมืองเซาเปาโล แต่ก็โดนปฏิเสธหมด สุดท้ายได้โอกาสไปเก็บตัวร่วมกับทีมเยาวชนเล็กๆ ใกล้ๆ กับเมืองอิมบิตูบ้า ห่างจากบ้านผมราวๆ 200 กิโลเมตร โดยมีข่าวลือว่า ถ้าหากนักเตะคนไหนทำผลงานได้ดี จะมีแมวมองจากอิตาลี ดึงเราไปเล่นด้วย แล้วเด็กคนไหนจะไม่อยากไปยุโรปล่ะ จริงไหม ดังนั้นผมก็เลยคว้าโอกาสนี้ไว้"
"แต่ชีวิตที่แคมป์ฟุตบอลของทีมท้องถิ่น มันไม่ได้มีมาตรฐานอะไรเลย เยาวชน 50 คน นอนอัดกันอยู่ในแคมป์ แล้วแต่ละคนก็ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งแม่บ้านทำความสะอาดลาออกไปอย่างกะทันหัน สโมสรเลยแบ่งพวกเราย่อยออกเป็นกลุ่มละ 5 คน ผลัดกันทำเวรล้างส้วม จนกว่าจะได้แม่บ้านใหม่ ปรากฏว่ามีวันหนึ่ง นักเตะกลุ่มหนึ่งขี้เกียจทำ จากนั้นกลุ่มต่อมาก็ไม่รู้จะทำไปทำไม สุดท้ายก็เลยไม่มีใครทำความสะอาดส้วมเลยหลายสัปดาห์ ความสกปรกนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย"
"มันน่าเหลือเชื่อนะ ที่เจออะไรแย่ๆแบบนี้ แต่ผมก็อดทนได้ เพราะตอนนั้นผมอยากเป็นนักเตะอาชีพมากจริงๆ ดังนั้นจึงไม่มีวันถอนตัวออกไปอย่างเด็ดขาด"
หลังเก็บตัวในแคมป์ได้หลายวัน มาเรีย เทเรซ่า แม่ของจอร์จินโญ่ไปเยี่ยมลูกชายที่แคมป์ และพอไปเห็นสภาพห้องน้ำ เธอประกาศเลยว่า "เก็บข้าวของซะ เราจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ แม่รู้ว่านี่คือความฝันของลูก แต่ลูกชายของแม่จะต้องไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้"
บ้านของจอร์จินโญ่ก็ไม่ได้รวยอะไร คุณแม่เป็นครูสอนขับรถ คุณพ่อเป็นคนขับรถบรรทุก แต่เธอปล่อยให้ลูกชายอยู่ในสถานที่แบบนี้ไม่ได้จริงๆ
อย่างไรก็ตามตัวจอร์จินโญ่ไม่ยอม เขาบอกแม่ว่า ถ้าแม่บังคับให้กลับบ้านตอนนี้ และหนทางเป็นนักฟุตบอลอาชีพสิ้นสุดลง จะไม่มีวันยกโทษให้แม่เลยตลอดชีวิต "แม่ ผมไม่แคร์ว่าผมจะต้องเจ็บปวดแค่ไหน ผมจะกินอาหารเมนูเดิมซ้ำ 10 วัน หรือ ต้องเข้าห้องน้ำสกปรก ผมทนได้หมด"
นั่นทำให้สุดท้ายคุณแม่จากไปทั้งน้ำตา ยอมให้ลูกชายอยู่กับสโมสรต่อ
ความใจสู้ของจอร์จินโญ่เด่นชัดก็จริง แต่ปัญหาคือ เขาเองยังไม่เด่นในสนาม เมาโร แบร์ตาชินี่ โค้ชของทีมเยาวชน ที่ดูแลจอร์จินโญ่ในขณะนั้นเล่าว่า "เขาเลี้ยงผ่านคู่แข่งได้บางคน แอสซิสต์ได้บางครั้ง ก็ไม่ได้ต่างกับผู้เล่นคนอื่นๆ หรือถ้าจะเอาจริงๆ ดูจะแย่กว่าคนอื่นด้วยซ้ำ"
1
"ร่างกายของเขาก็บอบบาง น้ำหนักของเขาตอนใส่สตั๊ดแล้ว อยู่ที่ 50 กิโลกรัม เขาทำอะไรแนวรับคู่แข่งไม่ได้เลย"
2
จุดเปลี่ยนของจอร์จินโญ่ เกิดขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2004 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ระหว่างบาร์เซโลน่า กับเอซี มิลาน วันนั้นเขานั่งดูบอลร่วมกับโค้ชเมาโร ซึ่งจอร์จินโญ่ก็เอาแต่ดูกาก้าที่กระชากลากลุย เขาอยากจะเท่แบบนั้นบ้าง แต่คำแนะนำจากโค้ชคือ "นายดูปิร์โล่ดีกว่า ดูสิ่งที่เขาทำ ดูการวางบอลที่จ่ายเข้าเท้ากาก้าอย่างเพอร์เฟ็กต์ ดูการคุมจังหวะทั้งสนามด้วยตัวคนเดียว เรียนรู้จากเขาซะ ฉันว่านายสามารถพัฒนาเป็นผู้เล่นในสไตล์นี้ได้นะ"
บางครั้งตัวเด็กเอง ก็ไม่รู้ว่าทักษะดีที่สุดของตัวเองอยู่ตรงไหน จึงเป็นหน้าที่ของโค้ชที่ชำนาญ ที่จะช่วยอ่านให้ขาด และพัฒนาเยาวชนคนนั้นให้เดินหน้าไปอย่างถูกจุด
1
พอจอร์จินโญ่เปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่ง Regista หรือกองกลางตัวรับที่คอนโทรลเกมได้ดี เขายืนต่ำกว่าเดิม 30 หลา และจากเดิมที่เวลาดูทีวีจะดูแต่กาก้า แต่ตอนนี้เขามีแรงบันดาลใจคนใหม่ นั่นคือปิร์โล่ กับชาบี เอร์นันเดซ โดยในภายหลังจอร์จินโญ่กล่าวว่า "ผมต้องขอบคุณเมาโรจริงๆ เขาคือโค้ชที่พลิกชีวิตของผมไปเลย"
1
หลังจากเล่นกับทีมเยาวชนที่อิมบิตูบ้ามาได้สักพัก มีเอเยนต์รายหนึ่ง บอกว่าสนใจจะดึงจอร์จินโญ่ไปเล่นกับทีมเยาวชนของสโมสรเวโรน่าในอิตาลี โดยสโมสรจะออกค่ากิน ค่าอยู่ให้ และจะมีค่าจ้างให้สัปดาห์ละ 20 ยูโร ซึ่งเอาจริงๆ ก็ถือว่าน้อยนิดมาก แต่นั่นคือโอกาสไปเล่นกับสโมสรยุโรปครั้งแรกของจอร์จินโญ่ และอาจจะเป็นครั้งเดียวด้วย
1
จอร์จินโญ่อยากไปอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือตอนนั้น คุณแม่กับคุณพ่อ เพิ่งเลิกรากัน คุณแม่กำลังอยู่ในสภาพจิตใจอ่อนไหว ที่ต้องแยกทางกับสามี ดังนั้นใจคงรับไม่ไหว ถ้าต้องอยู่ห่างกับลูกชายไปอีกคน
"จอร์จี้ โทรมาหาฉันแล้วบอกว่าเขาอยากไปเล่นฟุตบอลที่อิตาลี ตอนแรกฉันคิดว่าเขาพูดเล่น เพราะตอนเขาเล่นกับทีมเยาวชน อยู่ห่างจากบ้าน 200 กิโลเมตร นี่มันก็ห่างกันมากแล้ว แต่นี่เขาจะไปยุโรปเลย มันจะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร แล้วตอนนั้น ฉันเพิ่งแยกทางกับสามีด้วย ต้องอยู่ตัวคนเดียว นึกภาพไม่ออกว่าถ้าไม่มีลูกชายอยู่ใกล้ๆอีกคน แล้วจะรู้สึกอย่างไร แล้วเรื่องเงินทองอีก ค่าใช้จ่ายต่างๆ บ้านเราก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น"
1
แต่จอร์จินโญ่ ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้ไปเล่นยุโรป ดังนั้นอยากให้แม่เข้าใจจริงๆ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย เขาจะเก็บหอมรอบริบเอง และจะไม่รบกวนแม่ แม้แต่ยูโรเดียว
สุดท้ายเมื่อเป็นความต้องการของลูกชาย คุณแม่เทเรซ่าก็ยอม เหมือนตอนเธออยากให้จอร์จินโญ่ออกจากทีมเยาวชนเพราะห้องน้ำสกปรกนั่นแหละ ครั้งนั้นเธอก็ยอมเหมือนกัน
เมื่อลูกหนักแน่นในสิ่งที่ตั้งใจทำเสียอย่าง คนเป็นแม่ก็ได้แต่ต้องสนับสนุนเท่านั้น
เวโรน่า ณ เวลานั้น (ปี 2007) ทีมร่วงไปอยู่เซเรีย C1 ทำให้ไม่มีเงินในการหาดาวรุ่งราคาแพงมาอยู่ด้วย ส่วนใหญ่ก็ไปเล็งเอาจากเด็กจากสโมสรเล็กๆ ที่น่าจะพอมีแวว แล้วเอามาปั้นต่ออีกที
จอร์จินโญ่ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะบราซิลหลายคน ที่โดนเรียกมาทดสอบฝีเท้า ซึ่งในสนามซ้อมจอร์จินโญ่ไม่มีปัญหาอะไรเลย เขาซ้อมได้ดี ยิ่งมีพื้นฐานภาษาอิตาเลียนอยู่ เพราะคุณปู่เป็นคนอิตาเลียน ทำให้ปรับตัวเข้ากับนักเตะท้องถิ่นได้ง่ายมาก
ชีวิตการเป็นอยู่ที่เวโรน่า ก็ถือว่าลำบากกว่าที่จอร์จินโญ่คาดคิดไว้มากนัก กล่าวคือเงิน 20 ยูโร (800 บาท) ต้องใช้ทั้งสัปดาห์ มันก็ไม่ได้ง่าย
20 ยูโร ต้องแบ่งเอามาใช้ซื้อบัตรโทรศัพท์เพื่อโทรกลับบ้าน 5 ยูโร ที่เหลือก็เอาไปซื้อ แชมพู ยาสีฟัน ของใช้จิปาถะ เหลือเศษอีกนิดหน่อย ก็เอาไปเล่นในอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อคุยแชท MSN กับเพื่อนๆ และครอบครัวที่บราซิล
"ความสุขของผมในแต่ละสัปดาห์ คือการได้ไปนั่งเล่นที่จัตรุัสเมนสแควร์ กลางเมืองเวโรน่า แล้วเดินเข้าร้านแมคโดนัลด์ ซื้อมิลค์เชค ราคา 1 ยูโร คือพวกเฟรนช์ฟรายส์ เบอร์เกอร์ เลิกหวังไปเลย พวกแฮปปี้มีล นี่มีแต่เด็กรวยๆ เท่านั้นแหละที่มีเงินซื้อ ผมก็ได้แต่ซื้อมิลค์เชคมาแล้ว นั่งจ๋องๆ อยู่ในมุม นั่งเฝ้าดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา ดูนก ดูนักท่องเที่ยว นั่นแหละชีวิตผม"
หลังจากอยู่เวโรน่าได้ 18 เดือน จอร์จินโญ่เริ่มมีความเครียด เล่นก็ไม่ได้เล่น แถมมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เหงาเคว้งคว้าง เพราะเขาไม่มีเงินจะบินไปกลับอิตาลี-บราซิล ได้แต่อยู่อย่างเดียวดายแบบนั้น
ทุกอย่างมาระเบิด ตอนที่จอร์จินโญ่จับได้ว่า เขาต้องได้เงินจากสโมสรมากกว่านี้ แต่เอเยนต์คนที่พาเขามาที่เวโรน่า หักหัวคิว เก็บเงินทั้งหมดเก็บไว้เอง แล้วส่งเงินให้เขาใช้แค่สัปดาห์ละ 20 ยูโร
จอร์จินโญ่เข้าใจว่าเวโรน่าไม่ค่อยมีเงิน เพราะร่วงมาอยู่ในระดับ C1 แต่ความจริงคือ ทีมไม่ได้จนขนาดที่จะจ่ายเงินนักเตะเยาวชนแค่ 20 ยูโรต่อสัปดาห์
ความรู้สึกของจอร์จินโญ่ จึงเหมือนตัวเองเป็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุง แค่ได้โอกาสมายุโรป ก็พร้อมจะมา โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า โดนหักหัวคิวมาเต็มๆ 1 ปีครึ่ง เขาต้องกล้ำกลืนใช้เงิน 20 ยูโร (800 บาท) ซ้ำไปซ้ำมา 18 เดือน ทั้งๆที่นักเตะคนอื่นๆ ก็ได้เงินกันปกติ
1
นาทีนั้น จอร์จินโญ่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่
ความเครียดทุกอย่างมันสะสมรวมกัน กับทีมชุดใหญ่ก็ไม่ได้เล่น แถมโดนหลอกมาตลอด ถ้าชีวิตมันจะรันทดขนาดนี้ สู้กลับบราซิลแล้วไปหาสโมสรเล็กๆ อยู่ไม่ดีกว่าหรือ จะทนเจ็บปวดที่อิตาลีต่อไปทำไม
"ผมทนไม่ไหวแล้ว เลยโทรไปหาแม่แล้วร้องไห้ บอกแม่ว่า 'แม่ ผมพอแล้ว ผมรับไม่ไหวอีกแล้ว ผมคิดถึงแม่ ผมจะกลับบ้าน' ในใจของผมตอนนั้นคิดถึงแต่เมืองอิมบิตูบ้า"
แต่แทนที่แม่จะดีใจที่ลูกชายจะกลับมา มาอยู่ใกล้ชิดกันเหมือนเดิม แม่กลับสวนไปว่า "แต่ประตูบ้าน จะไม่เปิดต้อนรับลูกหรอกนะ"
จอร์จินโญ่ตกใจแล้วถามกลับไปว่า "อะไรนะ"
คุณแม่เทเรซ่ากล่าวต่อว่า "ลูกจะไม่กลับมาที่บ้าน ถ้าลูกอยู่หน้าประตูบ้าน แม่จะไม่เปิดให้เข้า"
"ผมช็อกไปเลย คุณจินตนาการออกไหม ว่าแม่แท้ๆของคุณ พูดตอกหน้าคุณแบบนั้น จากนั้นผมก็เลยโทรหาคุณพ่อ ผมคิดในใจว่า โอเค ตอนนี้พ่อแม่แยกทางกัน ถ้าแม่ไม่ต้อนรับผม ผมกลับไปอยู่กับพ่อก็ได้ แต่สิ่งที่พ่อพูดก็เหมือนกัน คือไม่ต้อนรับให้ผมกลับมา"
1
จากนั้นพ่อแม่ที่แม้จะแยกทางกันไปแล้ว ได้รวมสายโทรศัพท์ แล้วโทรมาหาจอร์จินโญ่ แล้วบอกลูกชายว่า "จอร์จี้ ตอนนี้ลูกได้ซ้อมกับนักเตะมืออาชีพ แล้วทำไมจะมายอมแพ้เอาตอนนี้ล่ะ หลังจากที่ลูกทนทรมานมาตลอดหลายปี มันไม่มีเหตุผลที่จะถอดใจนะ เชื่อมั่นเข้าไว้ แล้วเดินหน้าต่อ ความฝันของลูกจะต้องเป็นจริง"
3
พ่อแม่ของจอร์จินโญ่ พูดอย่างเด็ดเดี่ยวมาก ไม่ให้ลูกกลับบ้านเด็ดขาด ย้ำเตือนว่า ในอดีตจอร์จินโญ่เองเป็นคนอยากไปอิตาลีเองแท้ๆ แล้วจะยอมแพ้แค่นี้ได้อย่างไร ทำไมไม่สู้ไปให้สุดก่อน แม่เหงามา 1 ปีครึ่งแล้ว จะให้เหงาต่อ แม่ก็ทนได้
จอร์จินโญ่ตกใจในความเด็ดขาดของแม่ แต่หลังจากที่วางสายกัน พี่สาวของจอร์จินโญ่โทรมาแล้วบอกว่า แม่น้ำตาร่วงเพราะคิดถึงลูกและอยากเจอกันจะตาย แต่ที่ต้องพูดออกไปแบบนั้น เพราะไม่อยากให้ลูกทิ้งความฝันของตัวเองไว้กลางทาง
จอร์จินโญ่เลยฮึดสู้ต่อไป และเป็นโชคดี ที่เมาริซิโอ ซาร์รี่ เฮดโค้ชของเวโรน่าในปี 2008 มาดูการซ้อมของนักเตะเยาวชน และเห็นแววของจอร์จินโญ่พอดี จึงดันขึ้นมาซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่
1
เรื่องฝีเท้าเริ่มถูกยอมรับมากขึ้น ขณะที่เรื่องนอกสนาม มีนักเตะบราซิลที่ย้ายมาใหม่ คือผู้รักษาประตูชื่อราฟาเอล ที่มีอายุมากกว่าจอร์จินโญ่ 9 ปี โดยราฟาเอล เหมือนเป็นพี่ชาย คอยให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ รวมถึงตอนที่จอร์จินโญ่ไม่มีเงิน ก็ไปกินข้าวที่บ้านราฟาเอล นั่นทำให้ชีวิตของเขาเริ่มดีขึ้นทีละนิด
1
จากนั้นความพยายามของเขาก็เห็นผล จอร์จินโญ่ ได้เซ็นสัญญาอาชีพกับเวโรน่าในที่สุด
1
ตอนได้เงินก้อนแรก เขาเอาไปซื้อรถเปอร์โยต์ 106 มือสองให้ตัวเอง 1 คัน สำหรับเดินทางไปซ้อม ส่วนเงินที่เหลือทั้งหมด เขาส่งให้แม่เอาไปซื้อบ้านที่บราซิล เขาอยากบอกแม่ว่า แม่ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้เขาจะเลี้ยงดูคุณแม่เอง
1
เส้นทางชีวิตของจอร์จินโญ่ต่อจากนั้น เขาถูกปล่อยให้ทีมแซมโบนิฟาเซ่ ในลีก C2 ยืมตัว 1 ฤดูกาล จากนั้นกลับมาที่เวโรน่า ในซีซั่น 2011-12 ที่เล่นในเซเรีย เบ และใช้เวลาแค่ 2 ปีในการพาเวโรน่าเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ
จากนั้นเส้นทางอาชีพของเขาก็ก้าวกระโดดไม่หยุด จอร์จินโญ่ย้ายไปนาโปลี ก่อนจะมาสู่เชลซี ในปี 2018 ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 57 ล้านปอนด์
1
วันที่จอร์จินโญ่ย้ายไปเชลซี เขาพาคุณแม่เทเรซ่า ไปที่เมกะสโตร์ของสโมสรในสแตมฟอร์ดบริดจ์ เพื่อให้แม่ได้ดูว่า ลูกชายของเขาประสบความสำเร็จขนาดที่ มีเสื้อสกรีนชื่อและเบอร์ของตัวเองวางขายในร้านค้าของทีมระดับนี้เลยนะ
1
ซึ่งพอคุณแม่เห็นชื่อ "JORGINHO" ก็ร้องไห้ แล้วคว้าตัวลูกชายมากอดอย่างดีใจ ความตั้งใจของจอร์จินโญ่ มันสำเร็จแล้วจริงๆ
2
สำหรับประเด็นทีมชาตินั้น จอร์จินโญ่มีพาสปอร์ตทั้งบราซิลและอิตาลี เขาสามารถเลือกว่าจะเล่นให้กับประเทศไหน
1
บราซิลก็ได้ เพราะเขาก็เป็นคนบราซิล เกิดที่บราซิล แต่อิตาลีก็ได้เหมือนกัน เพราะเลือดเนื้อ 25% ก็เป็นอิตาเลียน ถือว่ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือดอยู่ คนอิตาลีเองก็รับได้
1
สุดท้ายหลังทบทวนอยู่นาน จอร์จินโญ่เลือกอิตาลี โดยให้เหตุผลว่า "ทีมชาติบราซิล มันดูห่างไกลมากสำหรับผม นั่นเพราะผมไม่เคยเล่นฟุตบอลอาชีพมาก่อนเลยที่บราซิล และผมก็ย้ายมาอยู่อิตาลีตั้งแต่อายุ 15 แล้ว ดังนั้นพออิตาลีเปิดประตูให้ผม ผมไม่สามารถปิดประตูนั้นได้จริงๆ ผมชั่งน้ำหนักอยู่นาน แต่ตัดสินใจดีแล้วว่าจะเลือกอิตาลี"
ทางเลือกนี้ ถือว่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อย เพราะความฝันในวัยเด็กของจอร์จินโญ่ ครั้งหนึ่งเขาอยากเล่นให้บราซิลจริงๆ ฮีโร่ของเขาคือกาก้า แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเล่นให้อิตาลีแทน
เหตุผลหลักเชื่อว่า บราซิลไม่ได้แสดงความจริงจังในการอยากได้ตัวจอร์จินโญ่นัก เพราะกองกลางบราซิลมีเยอะ ทั้งคาเซมิโร่, เฟร็ด, ฟาบินโญ่ รวมถึงเปาลินโญ่ ในขณะที่อิตาลี ผู้คนอยากได้จอร์จินโญ่กันอย่างมาก สื่อมวลชน และอดีตนักเตะออกมาเชียร์กันรายวัน ให้โค้ชดึงตัวมาติดทีมเสียที ทำให้สุดท้ายจอร์จินโญ่เลือกหนทางที่เขาน่าจะเป็นที่รักมากกว่า
หลังตัดสินใจเลือกอิตาลี นักข่าวไปถามคุณแม่เทเรซ่า ว่าเสียใจไหม ที่ลูกชายไม่ได้เลือกประเทศบ้านเกิดของเธอ
1
คุณแม่ตอบว่า "ถ้าบราซิลเจอกับทีมอื่นทั้งโลก ฉันเชียร์บราซิลแน่นอน แต่ถ้าบราซิลต้องมาเจอกับอิตาลี ฉันจะเลือกอิตาลีอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะลูกชายฉันเล่นให้ทีมนั้น ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ทีมอันดับหนึ่งของฉัน คือจอร์จินโญ่ฟุตบอลคลับเสมอ"
6
ณ เวลานี้ จอร์จินโญ่ อายุ 29 ปี เขาคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับเชลซี ตามด้วยแชมป์ยูโร 2020 กับอิตาลี และปิดท้ายด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า
1
หลังจากที่คว้าแชมป์ยูโรได้สำเร็จ จอร์จินโญ่กลับไปที่เวโรน่า เมืองที่เขาไม่ได้แวะมานานแล้ว แต่ในวันนี้มีสถานที่ ที่เขาอยากไป นั่นคือจัตุรัสเมนสแควร์
เขาเดินไปที่แมคโดนัลด์ แล้วซื้อมิลค์เชค จากนั้นมานั่งกินเงียบๆ คนเดียว
1
"ผมหลับตาแล้วย้อนคิดถึงอดีต ผมเห็นตัวเองในวัย 15 ปี ผมจำได้ดีว่าเด็กคนนั้นรู้สึกอ้างว้างและเหงาแค่ไหน เป็นเด็กหนุ่มที่ผอมบาง และมีเงินเพียงพอแค่ซื้อมิลค์เชคราคา 1 ยูโรเท่านั้น"
"แต่เด็กคนนั้นก็อดทน ฝ่าฟันเรื่องราวยากๆ ได้สำเร็จ ดังนั้นสำหรับใครก็ตามที่กำลังไล่ล่าความฝัน ผมคงบอกได้เพียงคำเดียวว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่ายอมแพ้นะ"
1
#DREAM
โฆษณา