29 ก.ย. 2021 เวลา 02:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ลงทุนกองทุนต่างประเทศโดยตรง vs. ลงทุนผ่านกองทุนในไทย ต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง? พร้อมยกตัวอย่าง 3 กองทุนฮิตของ Baillie Gifford
#เด็กการเงิน เคยอธิบายถึงค่าธรรมเนียมกองทุนไปแล้ว วันนี้จะขอมาอธิบายเพิ่มในส่วนของกองทุนหลัก และเปรียบเทียบระหว่างการลงทุนกองทุนต่างประเทศโดยตรง vs. ลงทุนผ่านกองทุนในไทย ซึ่งนักลงทุนหลายคนคงสงสัยว่า เราเสียค่าธรรมเนียมส่วนไหนบ้าง เสียซ้ำซ้อนหรือไม่ ซึ่งโพสต์วันนี้มีคำตอบ!
📌ก่อนอื่นนักลงทุนต้องรู้ก่อน 3 เรื่องคือ
1. Share class คือชนิดของหน่วยลงทุน โดยปกติแล้วทุกคนจะคุ้นชินกับ -A คือสะสมมูลค่า -D คือปันผล นอกจากนี้ยังมี share class สำหรับนักลงทุนสถาบัน กองทุนส่วนบุคคล และนักลงทุนรายย่อยอีกด้วย
เข้าใจถึง Share class หรือชนิดของหน่วยลงทุน อย่างเจาะลึก >> https://www.facebook.com/DekFinance101/posts/209494631068008
2. ค่าธรรมเนียมส่วนที่เรียกเก็บจากกองทุน (ในไทยจะใช้คำว่า Total Expense Ratio: TER ส่วนต่างประเทศจะใช้คำว่า Ongoing Charge) โดยค่าธรรมเนียมในส่วนนี้รวมไปถึงค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ ค่าธรรมเนียมของนายทะเบียน และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกหักออกจากกองทุน ก่อนจะออกมาเป็น NAV นั่นเอง
เข้าใจถึงค่าธรรมเนียม TER อย่างเจาะลึก >> https://www.facebook.com/DekFinance101/posts/180094110674727
3. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากนักลงทุน ส่วนนี้จะถูกคิดเมื่อมีการซื้อ ขาย สับเปลี่ยนนั่นเอง
เข้าใจถึงค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากนักลงทุน อย่างเจาะลึก >> https://web.facebook.com/106594434691362/posts/121259583224847
📌หลังจากเข้าใจ 3 เรื่องด้านบนแล้ว ต่อไปเราก็ต้องรู้ว่าการลงทุนกองทุนต่างประเทศนั้น เราไปลงทุนโดยตรง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมในไทย
กองทุนต่างประเทศ มี 2 ค่าใช้จ่ายคือ
(1) Ongoing Charge
(2) Front-End/Back-End Fee
 
กองทุนในไทย มี 2 ค่าใช้จ่ายคือ
(1) Total Expense Ratio (TER)
(2) Front-End/Back-End Fee/Switching Fee
🔵หากลงทุนเองโดยตรง: จะต้องพิจารณาแค่ส่วนของกองทุนต่างประเทศ (Ongoing Charge + Front-End/Back-End Fee)
🟢หากลงทุนผ่านกองทุนในไทย: จะต้องพิจารณาทั้งส่วนของกองทุนต่างประเทศ (Ongoing Charge) และกองทุนในไทย (Total Expense Ratio + Front-End/Back-End Fee)
*ถ้าหากลงทุนผ่านกองทุนไทย นักลงทุนจะไม่เสียค่าธรรมเนียมส่วน Front-End/Back-End Fee ของกองต่างประเทศซ้ำซ้อน
🤔จากตรงนี้หลายคนคงมีคำถามว่า ถ้าดูคร่าวๆแล้ว ตอบได้เลยหรือไม่ว่าลงทุนเองโดยตรงถูกกว่า เพราะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม TER ในไทย?
📍คำตอบคือ ตอบเลยไม่ได้ แล้วแต่กองทุน บางกองทุนอาจจะลงทุนเองโดยตรงถูกกว่า บางกองทุนอาจจะลงทุนผ่านกองทุนในไทยถูกกว่า เนื่องมาจากหลายสาเหตุคือ
1. โดยปกติแล้ว Ongoing Charge ของนักลงทุนสถาบัน (เราลงทุนผ่านกองทุนในไทย ให้เขาไปลงทุนต่ออีกที) จะถูกกว่า Ongoing Charge ของนักลงทุนรายย่อย (ที่เราลงทุนเองโดยตรง)
2. นอกจากนี้ บางครั้งกองทุนหลักอาจจะมีการคืนค่าธรรมเนียมบางส่วนให้กับกองทุนไทย เรียกว่า Rebate โดยทาง บลจ. จะนำเงินส่วนนี้กลับเข้าสู่กองทุนโดยตรง เป็นผลประโยชน์ให้กับนักลงทุน ซึ่งจะมีรายละเอียดแจ้งไว้ใน Fact Sheet
3. แม้ว่า Ongoing Charge ของกองทุนในไทยจะถูกกว่า แต่เมื่อรวมค่าธรรมเนียมในส่วนของกองทุนในไทยแล้วอาจจะแพงกว่าการลงทุนโดยตรงก็ได้
📌อธิบายมาทั้งหมดแล้วอาจจะยังงงๆอยู่ เราขอยกตัวอย่าง 3 กองทุนฮิต มาดูกันว่า การลงทุนโดยตรงหรือลงทุนผ่านกองทุนในไทย แบบใดเสียค่าธรรมเนียมถูกกว่ากัน
(ขอยกตัวอย่างการลงทุนโดยตรงผ่าน Finvest ในช่วงเวลาปกติ หากไม่มีโปรโมชั่นใดๆ จะมี Front-End Fee ที่ 1.605%)
ตัวอย่างที่ 1️⃣ Baillie Gifford Worldwide Positive Change Fund
Class A USD Acc (สำหรับนักลงทุนรายย่อย): Ongoing Charge = 1.58%
Class B USD Acc (สำหรับนักลงทุนสถาบัน): Ongoing Charge = 0.53%
K-CHANGE-A(A)
TER = 1.3736%
Front-End Fee = 1.5%
(นอกจากนี้กองทุนมีแจ้งการ Rebate ของกองทุนหลักด้วย)
หากลงทุนโดยตรงผ่าน Finvest จะเสียค่าธรรมเนียม 1.58% + 1.605% รวม 3.185%
หากลงทุนผ่านกองทุน K-CHANGE-A(A) จะเสียค่าธรรมเนียม 0.53% + 1.3736% + 1.5% รวม 3.4036%
📍กรณีนี้การลงทุนโดยตรงจะถูกกว่า แต่จะมีเงินลงทุนขั้นต้นคือ 30,000 บาท และต้องพิจารณาถึงเรื่องค่าเงิน และภาษีด้วย
ตัวอย่างที่ 2️⃣ Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund
Class A USD Acc (สำหรับนักลงทุนรายย่อย): Ongoing Charge = 1.6%
Class B USD Acc (สำหรับนักลงทุนสถาบัน): Ongoing Charge = 0.35%
KF-US
TER = 1%
Front-End Fee = 1.5%
หากลงทุนโดยตรงผ่าน Finvest จะเสียค่าธรรมเนียม 1.6% + 1.605% รวม 3.205%
หากลงทุนผ่านกองทุน KF-US จะเสียค่าธรรมเนียม 0.35% + 1% + 1.5% รวม 2.85%
📍กรณีนี้การลงทุนผ่านกองทุน KF-US ถูกกว่า และมีความเสี่ยงค่าเงินน้อย เนื่องจากกองทุน KF-US มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน (มากกว่า 90%)
ตัวอย่างที่ 3️⃣ Baillie Gifford Worldwide Long Term Growth Fund และกองทุนในไทยคือ KFGG และ KF-US อ่านเพิ่มได้จาก >> https://www.facebook.com/DekFinance101/posts/259704572713680
จากทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า นักลงทุนต้องนำค่าธรรมเนียมทุกส่วนมาพิจารณารวมกัน และถ้าหากเป็นการลงทุนโดยตรง จะมีขั้นต่ำที่เริ่มลงทุนค่อนข้างสูง นอกจากนี้นักลงทุนอย่าลืมคำนึงถึงความเสี่ยงค่าเงิน และกำไรที่ได้มาต้องนำมาคำนวณภาษีอีกด้วย แต่ถ้าหากนำเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ กลับไทยในปีถัดไป จะไม่ต้องเสียภาษี นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
📍ตัวอย่างกองทุนที่ใช้ในโพสต์นี้เพื่อเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น ไม่ได้แนะนำการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากคุณป่าน “Paniti Growth Way”
ข้อมูล ณ 31 สิงหาคม 2564
โฆษณา