25 ต.ค. 2021 เวลา 02:00 • ท่องเที่ยว
Chapter 14 : Hi Seattle #1
เมกา มาทำไม (อีกละ) ตอนที่ 1
ปี 2016 เป็นปีที่เราเขียนเล่าเรื่องการเดินทางใน jwanderlust เยอะมาก มันมีทั้งการเดินทางแบบวางแผนบ้าง ไม่ได้วางแผนบ้าง ไปเที่ยวก็มี ไปทำงานก็มี ไปเรียนก็ยังมีเลย 😁 อย่างเช่นทริป Seattle นี้ ทริปนี้ก็เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดีอีกเช่นเคย เพราะนอกจากจะได้ไปเรียนและเที่ยวกับเพื่อนๆ มันยังเป็นการเติมเต็มสิ่งที่เรียกว่าเป็นความใฝ่ฝันในการเป็นเด็กนักเรียนนอกของเราเลย 🤩 (ถึงจะแค่ 4 วันก็เถอะ 🥲)
เราเคยเล่าเรื่องการไปเมกามาครั้งนึงใน Chapter 9 ตอนนั้นไปเที่ยว San Fran กะครอบครัวเมื่อเดือน มี.ค. 2016 คราวนี้เราได้กลับไปเมกาอีกครั้งในเดือน ต.ค. 2016 ปีเดียวกันเลย ฟลุ๊คชะมัด เพราะหลักสูตร ป.โท ที่เราเรียนอยู่ในตอนนั้นจะต้องมีการไปเข้า class ที่ต่างประเทศด้วย ซึ่งทางคณะจะแจ้งประมาณต้นๆ เทอมว่าเราจะได้ไปประเทศไหน ขึ้นอยู่กับว่าปีนั้นมีธุรกิจไหนที่น่าสนใจ และทางคณะสามารถดีลกับมหาลัยฯ ดีลกับบริษัทฯ ต่างๆ เพื่อขอเข้าไปศึกษาดูงานได้มั้ย ซึ่งผลออกมาก็คือ พวกเราจะได้ไป Seattle เย้ !!! อืม…แต่ก่อนอื่นต้องไปลางานก่อนนะจ๊ะ 😅
ตอนแจ้งเจ้านายว่าจะขอลาไปเมกาอีกแล้วก็แอบเสียวอยู่ว่าจะโดนไล่ออกมั้ย 🥴 แต่เจ้านายก็เข้าใจว่าเราต้องไปเพราะเป็นส่วนนึงของหลักสูตร ป.โท ก็เลยอนุญาตให้ไป (แบบบ่นหน่อย ๆ 😅) เพราะจริงๆ งานเรามันไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ office ตลอดเวลาหรอก เราสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ และที่สำคัญช่วงที่ไปงานไม่ค่อยยุ่งก็เลยไปได้ เอาล่ะ ลางานได้ละสบายใจละ ไปมุ่งเรื่องเที่ยวได้เต็มที่ เห้ยๆ ไม่ใช่ ไปดูงานตะหาก
ทริปนี้เราไปกัน 10 วัน รวมวันเดินทาง (อยู่ที่ Seattle จริงๆ แค่ประมาณ 6 วันเอง 🥲) และเพื่อความสะดวกสบายและทำให้ทริปนี้สนุกยิ่งขึ้น รุ่นเราก็เลยให้ บ.ทัวร์มาจัดทริปที่เที่ยวให้ด้วย (เราจะมีวันว่างจากเวลาเรียน จะได้ไปแอ่ว Seattle กัน) ซึ่งค่าทัวร์ก็จะรวมรถบัส คนขับ แผนเที่ยว และตั๋วเครื่องบิน อืม…สะดวกดี ไม่ต้องเสียเวลาทำเอง
ขอวีซ่าเสร็จ (ซึ่งไม่ขอเล่ารายละเอียดนะคะ เดี๋ยวมันจะยาวเกิน) ก็เตรียมตัวเดินทางกันเลย ช่วงที่เราไปเป็นต้นๆ ฤดูหนาวละ อากาศเริ่มจะเย็น ประมาณ 10 กว่าองศา ก็ยังดีที่ไม่หนาวโหด เตรียมเสื้อผ้าไม่ลำบากมาก coat หนาๆ หน่อยและเอาพวก heat-tech ไปด้วยก็คิดว่าน่าจะรอด
วันแรก เราออกเดินทางด้วย Eva Air ไปลงไต้หวันก่อน ละเปลี่ยนเครื่องไป Seattle อีกที ที่เลือก Eva Air เพราะติดใจตอนไป San Fran เมื่อครั้งที่แล้ว เราชอบทั้งเรื่องการบริการและเวลาเดินทาง เพราะเครื่องจะออกจากกรุงเทพฯ ประมาณบ่ายสี่โมงเย็น ทำให้เรามีเวลาเคลียงานในช่วงเช้าได้ (แม๋ดูขยันเนอะ 😁) และถึง Seattle ประมาณหกโมงเย็น พอออกจากสนามบินเราก็เดินทางไปโรงแรมและเช็คอินเข้าห้องพักได้เลย ซึ่งมันโอเคกะเรามาก แต่เพื่อนคนอื่นๆ ไปกะ Korean Air ก่อนล่วงหน้าแล้ว 1 วัน การเดินทางในวันนี้ก็เลยมีเรากะเพื่อนอีก 1 คนแค่นั้น
หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองทุกอย่างเรียบร้อย ก็ออกมาเรียกแท็กซี่ไปโรงแรม แต่เนื่องจากซื่อบื้อไม่รู้จักจองรถมาก่อน และไม่รู้จักใช้ Uber เลยโดนแท็กซี่ฟันหัวแบะ จำได้ว่าค่ารถจากสนามบินไปโรงแรมใน downtown ประมาณ 2,400 บาทแน่ะ 😬
ถึงโรงแรม Hotel Deca ที่จะเป็นที่พักตลอดทริปนี้ของเราประมาณทุ่มครึ่ง ได้เจอกะเพื่อนๆ ที่รอพวกเราอยู่ เอาข้าวของไปเก็บในห้องเรียบร้อยก็ออกไปทานข้าวกัน
Hotel Deca
การได้ออกมาเที่ยวกะเพื่อนๆ นี่มันดีมากเลยนะ ถึงแม้เราจะแก่กันแค่ไหน แต่อารมณ์ที่ได้หลุดมาจากสิ่งเดิมๆ จากงาน จากภาระต่างๆ มันทำให้ทุกคนรู้สึกเฮฮาร่าเริงเบิกบานกันมากๆ คุยกันเสียงดังจ๊อกแจ๊ก เข้าร้านไหนเค้าก็มองกันใหญ่ 555 ต้องขอโทษชาว Seattle มา ณ ที่นี้ด้วย
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้มา Seattle เคยเห็นแต่ในหนัง ใน downtown ของ Seattle ก็ไม่ได้ต่างจากเมืองใหญ่เมืองอื่นๆ ของเมกา ที่มีความเจริญมากๆ มีร้านขายของ ร้านอาหารกิ๊บเก๋มากมาย แต่ก็มี homeless นอนเรียงรายข้างถนนเยอะมากเช่นกัน
เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับเรา เพราะเราคิดเสมอว่ายิ่งเมืองที่มีความเจริญมากๆ น่าจะมีผู้คนที่อดอยาก ไร้ที่อยู่น้อย แต่ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็น New York , San Fran หรือ Seattle เราก็สามารถเห็น homeless ได้ตามท้องถนนทั่วไป ตอนแรกๆ ก็กลัวๆ นะ แต่พอเจอทุกวันๆ ก็เริ่มเฉยๆ เพราะเค้าก็อยู่ส่วนเค้า ไม่ได้มายุ่งย่ามอะไรกะเรา
แต่ที่เด็ดสุด มีวันนึง พวกเรากำลังจะเดินไปหาข้าวเย็นทานกัน อยู่ๆ เพื่อนก็ชี้ให้ดูผู้ชาย homeless คนนึงที่นั่งอยู่ตรงบันไดทางเข้าสวนสาธารณะที่เรากำลังจะเดินผ่าน เค้านั่งยองๆ ทำท่าทางแปลกๆ เราก็เดากันใหญ่ว่าเค้าทำไรวะ ปรากฎว่าซักพักเห็นอะไรไหลลงมา OMG ฮีกะลังอึ๊อยู่ 😱💩 …อี๊ว… แม่เจ้ารีบเดินหนีกันขาขวิดเลย 555 เพิ่งรู้ที่นี่มีโชว์ขรี้กันด้วย
เอาละจบเรื่อง homeless ก่อน เด๋วจะยาวไปกันใหญ่ 🤣
วันที่ 2 วันนี้ free day จ้า (ลืมบอก เราเลือกมาก่อนกำหนดตารางเรียน 3 วันจะได้มีเวลาปรับตัวจาก jetlag และที่สำคัญจะได้มีเวลาเที่ยวไง อิอิ)
เพิ่งได้เห็น Seattle เต็มๆ ตายามเช้า วู๊ เป็นเมืองที่สวย น่าอยู่มากๆ เลย
Seattle
Seattle ตั้งอยู่ในรัฐวอชิงตัน ถ้าดูในแผนที่จะอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา เป็นรัฐที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ติดกับเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ติดขนาดที่เรียกว่านั่งรถข้ามไปเที่ยวได้สบายๆ เลย
ลักษณะภูมิประเทศของเมือง Seattle จะเป็นเนินซะส่วนใหญ่ เวลาเดินเล่นในเมืองจะรู้สึกเหมือนเดินขึ้น-ลงเขาพอให้เหนื่อยอยู่เหมือนกันนะ
โดยรวมเมืองนี้เป็นเมืองที่น่าอยู่มาก และด้วยความที่เป็นเมืองน่าอยู่ อากาศดี ก็เลยทำให้มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ บริษัทมาเปิดสำนักงานกันที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft , Boeing , Expedia , Amazon , Nintendo รวมไปถึงกาแฟ Starbucks ก็มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนี้เช่นกัน ซึ่งพวกเราก็จะได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมการทำงานของ Starbucks และ Microsoft กันด้วย 🤩
เอาล่ะ รู้จักเมือง Seattle กันพอคร่าวๆ ละ เช้าวันนี้พวกเราจะไปเที่ยว Pike Place Market กัน
Pike Place Market
Pike Place Market หรือ Public Market Center เปิดมาตั้งแต่ปี คศ. 1907 แล้ว เดิมทีตลาดนี้เป็นบ้านของชาวไร่ชาวนา 8 คนที่ใช้พื้นที่ตรงนี้มาขายผลผลิตของพวกเค้า ต่อมาเมื่อกิจการดีขึ้น มีคนมาซื้อสินค้าที่ตลาดนี้มากขึ้น ที่นี่ก็เลยกลายเป็นแหล่งรวมของสินค้าการเกษตร งานฝีมือ รวมถึงผลิตภัณฑ์ Homemade ต่างๆ มากมาย
Pike Place Market
นอกจากดอกไม้ ผักผลไม้ อาหารทะเล อาหารสดต่างๆ ที่นี่ก็จะมีร้านขายเครื่องเทศ ร้านอาหาร ร้านขายขนมเต็มไปหมด
Pike Place Market
เราเดินเล่น ถ่ายรูป แวะซื้ออะไรชิมนิดๆ หน่อยๆ พอหอมปากหอมคอ แล้วก็ต้องมาที่นี่เลย highlight ของ Pike Place Market นั่นคือ……ใช่แล้ว Starbucks สาขาแรกนั่นเอง
Pike Place Market
ในร้านคนเยอะมากกกก ส่วนนึงเพราะร้านค่อนข้างเล็ก และอีกส่วนก็เพราะทุกคนต้องการมาดูต้นกำเนิดความสำเร็จของ Starbucks กัน
ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าที่ Starbucks สาขาแรกนี้จะมีโลโก้ไม่เหมือนสาขาอื่น โดยโลโก้จะเขียนว่า STARBUCKS COFFEE TEA SPICES ซึ่งเป็นโลโก้ดั้งเดิมของ Starbucks และเมนูที่สร้างสรรค์ใหม่ๆ ของ Starbucks ทุกเมนูก็จะถูกเปิดตัวที่เมือง Seattle นี้ก่อน แล้วถึงค่อยเปิดตัวในสาขาอื่นๆ ตามมา
Pike Place Market
อ่ะ หลังจากถ่ายรูปหน้าร้าน พร้อมทั้งซื้อแก้วที่ระลึกเสร็จแล้ว (เห็นแล้วอดใจไม่ไหวจริงๆ 😆) เราก็ไปต่อกันเหอะ
เที่ยงวันนั้น เราไปทาน seafood ที่ร้าน Crab Pot กัน Seattle เป็นเมืองที่อยู่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้มีอาหารทะเลที่สดมาก เพราะฉะนั้นเราจะพลาดชิมได้ยังไง
Crab Pot
เตรียมอาวุธคู่กายให้พร้อม 555 วิธีการทานอาหารที่นี่ เค้าจะเทอาหารทะเลทั้งหมดลงบนโต๊ะที่มีกระดาษปูโต๊ะกันเปื้อนรองไว้ จากนั้นใครใคร่ทานอะไรก็หยิบฉวยกันได้เลย ไม่ต้องรักษากิริยาใดๆ ทั้งสิ้น เดี๋ยวอด ซึ่งการทานกุ้งถังบ้านเราก็เอาแบบอย่างมาจากที่นี่นั่นเอง
Crab Pot
จุกๆ ไปเลยมื้อนี้ ทั้งอิ่มอร่อยทั้งสนุก 😋
มายืนรอรถบัสหน้าร้าน เพิ่งเห็นว่ามีเจ้าชิงช้าสวรรค์อยู่ใกล้ร้าน เราว่าน่าจะเป็น Seattle Great Wheel นะ
ตอนบ่าย เราไปเที่ยวหอคอย Space Needle ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Seattle กัน
Space Needle
Space Needle ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Seattle เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1962 ด้านในอาคารชั้นล่างจะมีร้านขายของที่ระลึก ส่วนจุดชมวิวของเมือง Seattle แบบ 360 องศาจะอยู่บนชั้นสูงสุดของ Space Needle
Space Needle
ตอนที่เราไป มีนักท่องเที่ยวมาเยือน Space Needle แล้วกว่า 58 ล้านคน สุดยอดเลย 😄
Space Needle
หลังจากเที่ยวที่ Space Needle กันแล้ว บ่ายวันนั้นยังมีเวลาเหลือ เราก็เลยไปช็อปปิ้งกันต่อที่ Seattle Premium Outlet ด้วยความที่ห่วงช็อปอ่ะนะ ก็เลยไม่มีภาพของ Outlet มาฝากเลย 😅 แต่บอกได้เลยว่าที่นี่ใหญ่มาก น่าเดิน ร้านรวงเยอะ เป็นแบรนด์เนมจริงๆ และลดราคาแบบถูกจริงๆ บางร้านลดถึง 70% ก็มี
หลังจาก ช็อป ช็อป และ ช็อป จนจะเกิน budget แล้ว (นี่เพิ่งวันที่ 2 เองนะ 555) ก็ได้เวลากลับโรงแรมกันซะที เย็นนั้นเราแยกย้ายกันไปทานอาหารกันตามอัธยาศัย เป็นอันจบวันที่ 2
วันที่ 3 วันนี้เราจะไปเปิดประสบการณ์นั่งรถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกกับ Ride The Ducks of Seattle กัน เพิ่งเคยนั่งรถเรือแบบนี้ครั้งแรกนะ จะเป็นไง สั่นสะเทือนเบอร์ไหน เดี๋ยวมาดูกัน
Ride The Ducks of Seattle
พอขึ้นรถปุ๊บ คุณไกด์ซึ่งพี่แกก็เป็นคนขับรถด้วย ก็จะพาเรานั่งรถชมวิวในเมืองกันก่อน ก่อนจะไปลงน้ำ บรรยากาศบนรถวันนั้นมันส์มากกกกก เพราะพี่ไกด์แกเปิดเพลง Uptown Funk ของ Bruno Mars ศิลปินในดวงใจของเราพอดี 🤩 โอ๊ย ร้องเพลงกันอย่างเมามัน นี่ถ้าลุกขึ้นเต้นได้จะเต้นเลยนะเนี่ย 🤣
Ride The Ducks of Seattle
ปล. คุณฝรั่งสองท่านที่นั่งแถวสองซ้ายมือ ที่หน้าตาดีเกินพวกเรา เค้าคือนักท่องเที่ยวนะคะไม่ได้มากะพวกเรา แกอุตส่าห์ยินดีเล่นกะพวกเราด้วย 😆
วู๊ วิวทะเลสาปที่นี่สวยโคดๆ เห็นละนึกถึงหนังเรื่อง Sleepless in Seattle ขึ้นมาเลย แม๋ถ้าชีวิตนี้ได้สัมผัสความโรแมนติกแบบในหนังมั่งก็คงจะดีนะ 😍
Ride The Ducks of Seattle
จะว่าไป เจ้า Ride The Ducks นี่ก็โอเคนะ ไม่สะเทือนเหมือนที่คิด บนบกก็นุ่ม บนน้ำก็นิ่ม ใช้ได้ๆ ถ้าใครได้มาเยือน Seattle ขอแนะนำให้มาลองใช้บริการดู
ขึ้นจากรถเรือแล้ว เราก็แวะไปถ่ายรูปที่หาด Alki Beach ก่อนจะไปทานข้าวเที่ยงกัน
Alki Beach เป็นหาดทรายยาวหลายไมล์ที่เต็มไปด้วยเปลือกหอย อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ downtown จากที่นี่เราจะเห็นวิวของเมือง Seattle ด้วย สวยมากเลย
Alki Beach
ไม่เห็นหาดใช่มะ…🧐 ใช่ เพราะเราไม่ได้ลงไป อยู่แค่บนสวนสาธารณะ 😆
หลังจากทานข้าวเที่ยง ช่วงบ่ายเราออกนอกเมืองไปเที่ยว Museum of Flight พิพิธภัณฑ์เครื่องบินและยานอวกาศกัน
Museum of Flight
ที่นี่ใหญ่โตอลังการมาก เข้ามาด้านในจะเห็นภาพที่จัดแสดงไว้ เป็นภาพบรรยากาศบนเครื่องบินในสมัยก่อน ไฮโซสุดๆ นี่มัน Private Jet เลยนะเนี่ย 😵 (ไปเนียนๆ นั่งเกาะกลุ่มกะเค้าด้วย ดูแทบไม่ออกเลยเนอะ 😁)
Museum of Flight
ภายในมีการจัดแสดงเครื่องบินประเภทต่าง ๆ รวมถึงยานอวกาศด้วย เราชอบเดิน museum อยู่แล้ว ที่นี่เลยสนุกสำหรับเรามาก
Museum of Flight
เดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้กันจนทั่วแล้ว เราก็เดินออกมาเที่ยวด้านนอกกันบ้าง
Museum of Flight
จะมีสะพานเดินข้ามจาก Museum ไปยังส่วนที่เป็นบริษัท Boeing
ที่ฝั่งนี้ก็จะมีการแสดงเครื่องบินรุ่นต่างๆ ของ Boeing รวมทั้ง Air Force One ด้วย
เคยเห็นแต่ในหนัง ขอขึ้นไปเหยียบของจริงหน่อยเหอะ ถึงจะเป็นตัวปลดระวางแล้วก็ยังดี 😬
Air Force One
แม๋ แค่ได้ขึ้นไปยืนบนบันไดนี่ รู้สึกเหมือนตัวเองได้เป็น someone ขึ้นมาเลย 😎
Air Force One
ด้านในของ Air Force One ที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี
Air Force One
หลังจากใช้เวลาเดินเที่ยวเล่นที่พิพิธภัณฑ์กันพอสมควร ก็ได้เวลากลับที่พักละจ้า
ถึงโรงแรม แยกย้ายกันทานอาหารเย็น และพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเรียนวันพรุ่งนี้ละ
วันที่ 4 ในที่สุด ความฝันในการเป็นนักเรียนนอกของเราก็เป็นจริงแล้ววันนี้ 5555 ตื่นเต้น เยี่ยงวันแรกที่เข้าเรียนในมหาลัยฯ ยังไงยังงั้นเลย
University of Washington
Foster School of Business University of Washington คือที่ที่พวกเราจะได้เข้าร่วมหลักสูตร Global Business Innovation เป็นเวลา 4 วัน โดยเราจะเรียนกัน 4 วิชา กับ Professor ที่มากความสามารถ 3 ท่าน
โดยจะมีอยู่วิชานึงที่เราจะได้รับโจทย์จากอาจารย์ผู้สอน เป็นโจทย์ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางธุรกิจ ให้ไปคิดหาคำตอบแล้วเอามาแชร์กับ class ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งวิชานี้โหดมากกกก 😱 ธรรมดาการตอบโจทย์ปัญหาทางธุรกิจก็ยากสำหรับเราอยู่แล้ว นี่ต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษอีก เล่นเอาเกือบตาย 🥴 แต่สุดท้ายพวกเราก็รอดมาได้
เฮ้อ ดีละที่ไม่ได้มาเรียนเมืองนอก 🤣
เล่าเรื่องเรียนคร่าวๆ ไปแล้ว มาเล่าเรื่องตัวมหาลัยฯ ให้อ่านกันดีกว่า
วันแรกที่ได้ก้าวเท้าเข้ามาใน UW (ชื่อเต็มๆ คือ University of Washington ซึ่งมักจะถูกเรียกด้วยชื่อย่อว่า UW หรือ ยูดับ (ตัด "บลิว" ออก 😆 ตรงตัวในภาษาไทยเลย)) บอกเลยว่าเกิดมาไม่เคยเห็นมหาลัยไหนสวยเท่านี่มาก่อน มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาจริงๆ ตึกอาคารเรียนต่างๆ ก็สวยมากๆ เหมือนปราสาทยุโรป แวดล้อมไปด้วยสวนสีเขียว มองแล้วสบายตามากๆ อากาศก็สดชื่นเย็นสบาย อยากย้ายมาอยู่ที่ยูดับนี่เลยจริงๆ
University of Washington
ช่วงที่ไปใบไม้กำลังเปลี่ยนสีสวยมากๆ อดหยุดถ่ายรูปไม่ได้เลย วันแรกที่มาพวกเราเกือบเข้าห้องสายกันเพราะมัวแต่แวะถ่ายรูปตลอด 😆
นอกจากตัวมหาลัยที่สวยมากกกกก ที่นี่ยังมี highlight อีกอย่างคือ Library of University of Washington ซึ่งเราจะเก็บไว้เล่าใน Chapter 15 ต่อนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊
โฆษณา