1 ต.ค. 2021 เวลา 03:30 • ธุรกิจ
Halo Top สตาร์ตอัปไอศกรีม เปิดมา 9 ปี แต่ขายดีเท่า Häagen-Dazs
ถ้าพูดถึงแบรนด์ไอศกรีมสหรัฐอเมริกาที่โดดเด่นที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นไอศกรีม 2 เจ้าดัง ที่มีสาขาทั่วโลกอย่าง Häagen-Dazs ซึ่งมีอายุมากถึง 61 ปี และ Ben & Jerry’s ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 43 ปีที่แล้ว
แต่การเกิดขึ้นของสตาร์ตอัปไอศกรีมอย่าง Halo Top ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 หรือเพิ่งเดินทางมาได้เพียง 9 ปี กลับมาแรงแซงขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งไอศกรีมที่มียอดขายสูงสุด 3 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกา เทียบชั้นกับสองแบรนด์ดังข้างต้น
แล้วเรื่องราวของ Halo Top น่าสนใจอย่างไร ?
ทำไมแบรนด์ที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่ปี ถึงมียอดขายแซงขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ได้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
สำหรับบางคนไอศกรีมอาจเป็นอาหารสำหรับมื้อคลายเครียด ที่คุ้นหูในนาม Cheat Meal
และคนที่กำลังลดน้ำหนักคงไม่สามารถทานไอศกรีมที่มีไขมันและน้ำตาลสูงได้ในทุก ๆ วัน
แต่เรื่องนี้ถูกแก้ปัญหาโดยคุณ Justin Woolverton อดีตทนายความผู้ก่อตั้ง Halo Top (ฮาโลท็อป)
ย้อนกลับไปในปี 2011 คุณ Justin Woolverton ทำอาชีพทนายความที่สำนักงานกฎหมายชื่อดังในลอสแอนเจลิส ด้วยความชื่นชอบไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจ เขาจึงอยากคิดสูตรไอศกรีมที่มีรสชาติเหมือนไอศกรีมทั่วไป แต่มีน้ำตาลน้อย และรักษาสุขภาพมากกว่า เพื่อให้คนทานสามารถเพลิดเพลินได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
ดังนั้นเขาจึงลองผสมกรีกโยเกิร์ต ผลไม้ตระกูลเบอร์รี และหญ้าหวานซึ่งเป็นสารให้ความหวานตามธรรมชาติ เข้าด้วยกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาสร้างความพึงพอใจให้เขามาก
จนทำให้เขาตัดสินใจซื้อเครื่องทำไอศกรีม ที่กำลังลดราคาอยู่บนเว็บไซต์ Amazon มาในราคา 650 บาท สำหรับทำไอศกรีมไว้รับประทานเองที่บ้าน
ในเวลาต่อมาคุณ Justin Woolverton ได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า
“ถ้าเขาชอบไอศกรีมนี้ คนอื่นก็อาจจะชอบไอศกรีมนี้เช่นเดียวกัน เขาจึงควรนำมันออกสู่ตลาด”
โดยคุณ Justin Woolverton ใช้เวลา 18 เดือน ลองผิดลองถูกมากมายกับส่วนผสมต่าง ๆ
และสารให้ความหวานแทบทุกรูปแบบ จนได้สูตรไอศกรีมที่สมบูรณ์แบบ
หลังจากนั้นเขาก็ใช้วิธีการ Cold Calling หรือการโทรหาลูกค้าที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
โดยมุ่งหวังเพื่อนำเสนอสินค้า รวมไปถึงการหาช่องทางจัดจำหน่าย
จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน ปี 2012 คุณ Justin Woolverton ได้เริ่มต้นธุรกิจ และเปิดตัว Halo Top ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ซึ่งทำรายได้ราว 390,000 บาทในปีนั้น
โดยคุณ Justin Woolverton ยังคงทำอาชีพทนายความจนถึงกลางปี ​​2013 แล้วจึงลาออกจากงาน เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับ Halo Top อย่างเต็มที่ และได้ชักชวนคุณ Doug Bouton เพื่อนและอดีตทนายความที่ลาออกจากงานเช่นเดียวกัน จัดตั้งบริษัท Eden Creamery และร่วมหุ้นกันอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
ซึ่งแรงผลักดันธุรกิจของพวกเขาคือ ทั้งคู่มีหนี้สินเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษากว่า 6.5 ล้านบาทต่อคน
มากไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังมีหนี้บัตรเครดิตที่ต้องแบกรับอีกด้วย
เรียกได้ว่าทั้งสองอยู่ในสถานะหลังชนฝา ถ้าบริษัทล้มเหลว พวกเขาก็ไม่ต่างจากคนล้มละลาย
โดยช่วงปี 2013 Halo Top ระดมทุนก้อนแรกได้ 16.3 ล้านบาทจากเพื่อนฝูงและครอบครัว
และในปี 2015 แบรนด์มีการเปลี่ยนแปลงสูตรครั้งสำคัญ เพิ่มและลดส่วนผสมบางอย่าง จนได้เนื้อไอศกรีมที่สม่ำเสมอขึ้น รวมถึงเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เหมือนที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปลักษณ์สวยงาม มีตัวเลขปริมาณแคลอรีตัวใหญ่ ๆ ให้เห็นอย่างเด่นชัด ชวนให้ลูกค้ามาลิ้มลองและโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
แต่แล้วในปีต่อมา จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น เมื่อคุณ Shane Snow คอลัมนิสต์ชื่อดัง ออกมาเล่าประสบการณ์ว่าไม่ได้กินอะไรเลยนอกจาก Halo Top เป็นเวลา 10 วัน เพื่อทดสอบว่าไอศกรีมแคลอรีน้อยนี้ มีโปรตีนสูงอย่างที่อวดอ้างจริงหรือไม่
1
โดยบทความนี้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์นิตยสาร GQ ซึ่งก็สร้างปรากฏการณ์ไวรัล ทำให้แบรนด์ได้รับความสนใจ และเป็นที่รับรู้ของผู้บริโภคนับล้านคน
สองเดือนต่อมา BuzzFeed สื่อออนไลน์ชื่อดังก็ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ และได้ให้ผลลัพธ์ในเชิงบวกอีกครั้ง
จากนั้น Halo Top ก็เริ่มเป็นกระแส มีคนดังที่โพสต์เกี่ยวกับความหลงใหลในผลิตภัณฑ์ลงบนโซเชียลมีเดีย จึงยิ่งทำให้ยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยที่แบรนด์ไม่ต้องเสียเงินโฆษณา
ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกตระกูลคาร์เดเชียนอย่าง Khloé Kardashian, นางแบบ Karlie Kloss
ไปจนถึงนักแสดงและศิลปินนักร้องชื่อดัง เช่น Ashley Benson, Nina Dobrev และ Hilary Duff
ซึ่งจากที่กล่าวมาทั้งหมดช่วยผลักดันให้ยอดขาย Halo Top ในปี 2016 บริษัทมีรายได้กว่า 1,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 2,500% จากปีก่อนหน้า
ต่อมาในปี 2017 Halo Top ยังคงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และทำรายได้สูงถึง 11,500 ล้านบาท
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในช่วงหน้าร้อนปี 2017 Halo Top ก็สามารถขึ้นแท่นเป็นไอศกรีมที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกา เอาชนะยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมไอศกรีมอย่าง Häagen-Dazs และ Ben & Jerry's
นับจากนั้น Halo Top ก็อยู่ในรายชื่อไอศกรีมที่ขายดีที่สุด 3 อันดับแรก เคียงคู่ Häagen-Dazs และ Ben & Jerry's มาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 Halo Top ได้ขายกิจการให้กับ Wells Enterprises ผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ไปเป็นที่เรียบร้อย
ปัจจุบันไอศกรีม Halo Top ไม่ได้เพียงวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังมีจำหน่ายมากกว่า 25 ประเทศทั่วโลก เช่น ในประเทศออสเตรเลีย, เม็กซิโก, แคนาดา, ไอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, เดนมาร์ก, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, ออสเตรีย, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่าทำไม Halo Top ถึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
นอกจากรูปลักษณ์ที่สะดุดตา รสชาติอร่อย และอิทธิพลของการบอกต่อกันในกระแสสังคมแล้ว
“ความแตกต่าง” ถือเป็นจุดแข็งของไอศกรีม Halo Top
ด้วยการเป็นไอศกรีมที่ให้โปรตีนสูง แต่มีแคลอรีต่ำ ซึ่ง 1 ไพนต์ (16 ออนซ์) มีเพียง 280-380 กิโลแคลอรีเท่านั้น แถมยังใช้หญ้าหวาน และอิริทริทอล สารให้ความหวานจากธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่พบในผลไม้ เช่น ลูกแพร์และองุ่น ในการให้รสหวานแทนน้ำตาล
3
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น หากลองเปรียบเทียบ Halo Top กับ Häagen-Dazs และ Ben & Jerry's
ในรสชาติวานิลลาเหมือนกัน ขนาด 1 ไพนต์เท่ากัน จะพบว่า
ปริมาณแคลอรีของ Halo Top อยู่ที่ 280 กิโลแคลอรี
ในขณะที่ Häagen-Dazs 872 กิโลแคลอรี และ Ben & Jerry's 1,000 กิโลแคลอรี
ปริมาณไขมันของ Halo Top อยู่ที่ 8 กรัม
ในขณะที่ Häagen-Dazs 59.2 กรัม และ Ben & Jerry's 64 กรัม
ปริมาณน้ำตาลของ Halo Top อยู่ที่ 23.2 กรัม
ในขณะที่ Häagen-Dazs 49.6 กรัม และ Ben & Jerry's 80 กรัม
ปริมาณโปรตีนของ Halo Top อยู่ที่ 18.4 กรัม
ในขณะที่ Häagen-Dazs 14.8 กรัม และ Ben & Jerry's 16 กรัม
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าไอศกรีมวานิลลาของ Halo Top มีปริมาณแคลอรีน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของ Häagen-Dazs และน้อยกว่าหนึ่งในสามของ Ben & Jerry's เนื่องจากมีปริมาณไขมันและน้ำตาลที่ต่ำกว่า
แต่ในทางกลับกัน Halo Top ก็ให้โปรตีนที่ตอบสนองความหิวได้มากกว่า
ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็อาจจะเป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ใส่ใจสุขภาพมีตัวเลือก และทานไอศกรีมได้อย่างสบายใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตามจากความสำเร็จของ Halo Top ที่เข้าแย่งส่วนแบ่งการตลาดไอศกรีมในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ Ben & Jerry's ต้องออกไอศกรีมสูตรแคลอรีต่ำที่ลดไขมันและน้ำตาล ปรับตัวตามทิศทางการตลาดไปด้วย
จากเรื่องราวทั้งหมดก็สะท้อนให้เห็นว่าตัวการที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม อาจไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่อีกต่อไป
แต่สามารถเป็นธุรกิจรายใหม่ หรือสตาร์ตอัปที่เริ่มต้นเล็ก ๆ เหมือน Halo Top ที่กล้านำเสนอจุดขายที่แตกต่างและสร้างสรรค์สินค้าด้วยไอศกรีมรูปแบบใหม่ ๆ นั่นเอง..
โฆษณา