30 ก.ย. 2021 เวลา 15:39 • กีฬา
เหตุการณ์นักกีฬาบาดเจ็บที่ช็อกที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่มีเคสไหนจะเกินไปกว่า คลินท์ มาลาร์ชัค นักฮอกกี้น้ำแข็งชาวแคนาดา ที่โดนรองเท้าสเก็ตคมๆ ปาดคอ จนเส้นเลือดแดงขาด เลือดพุ่งกระจายเต็มริงค์น้ำแข็ง
2
จริงๆ อาการบาดเจ็บโหดๆ มีให้เห็นหลายเคส เช่น ฌิบริล ซิสเซ่ ขาหักสองท่อน หรือ จอห์น เทอร์รี่ โดนอาบู ดิอาบี้ เตะเต็มหน้าจนหลับคาสนาม แต่อันดับ 1 จากการโหวตของหลายสำนัก เคสของคลินท์ มาลาร์ชัค ถือว่าสยองที่สุดแล้ว
เหตุการณ์เกิดขึ้น วันที่ 22 มีนาคม 1989 ในศึกฮอกกี้น้ำแข็ง NHL บัฟฟาโล่ ซาเบรส เปิดบ้านต้อนรับ เซนต์หลุยส์ บลูส์ เกมนี้ มาลาร์ชัควัย 28 ปี ลงสนามในตำแหน่ง Goaltender หรือผู้รักษาประตูให้ทีมบัฟฟาโล่
การแข่งขันเริ่ม ทั้งสองทีมก็สู้กันอย่างปกติ บัฟฟาโล่นำอยู่ 1-0 จากนั้นอีก 4.43 นาที จะหมดเวลาใน Period แรก ก็เกิดเหตุสำคัญขึ้น เมื่อสตีฟ ทัทเทิล ผู้เล่นของทีมเซนต์หลุยส์ กำลังจะทำประตูตีเสมอ แต่อูเว่ ทรัปป์ ของบัฟฟาโล่ไล่จี้มาจากด้านหลังแล้วสกัดไว้ได้ ทั้งสองคนเกี่ยวกันแล้วล้มกลิ้งไปกองกับพื้น แต่จังหวะนั้นเอง เท้าของสตีฟ ทัทเทิล ตวัดที่คอของ ผู้รักษาประตูมาลาร์ชัคอย่างไม่ได้ตั้งใจ
2
ลองนึกภาพรองเท้าไอซ์สเก็ต มันจะเป็น Blade (ใบมีด) คมๆ เรียวๆ เพื่อให้สไลด์ไปกับน้ำแข็งได้ ความคมระดับนั้นปาดคอฉับเข้าไป ไม่ต่างอะไรกับโดนมีดเชือดคอเลยสักนิด
3
เส้นเลือดใหญ่ที่คอ (Carotid Artery) ของมาลาร์ชัคโดนเฉือน เลือดพุ่งออกมาเป็นน้ำพุ ไหลนองไปทั่วริงค์น้ำแข็ง
5
มาลาร์ชัคเปิดเผยว่า "จังหวะนั้น มันเหมือนผมโดนเตะที่หน้ากาก ผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย แต่พอผมดึงหมวกป้องกันออก ผมเห็นเลือดสีแดงกระจายเต็มไปหมด หัวใจผมเต้นรัวเมื่อรู้ว่ามันไหลออกจากคอตัวเอง ใช่ มันคือเส้นเลือดแดง ผมพยายามเอามือไปจับที่คอ แต่เลือดก็ไหลทะลักผ่านตามนิ้วของผม"
2
ปริมาณเลือดอันน่าสยดสยอง ทำให้แฟนๆ ในสนาม 11 คน เป็นลมไปเลย มี 2 คนเกิดอาการช็อกจนหัวใจวายต้องช่วยชีวิตกันชุลมุน นักกีฬา 3 คน อาเจียนลงบนพื้นน้ำแข็ง โฆษกในสนามเสียงสั่นระรัว ตอนนั้นทั้งอารีน่าเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง
7
"ผมคิดว่า ผมกำลังจะตายใน 2-3 นาทีนี้" ความเข้าใจของเขาคือถ้าเส้นเลือดแดงขาด เลือดก็จะไหลออกหมดตัวแล้วตายในที่สุด "ความคิดวินาทีนั้น ผมต้องการออกจากริงค์น้ำแข็งให้เร็วที่สุด เพราะคุณแม่ของผม ท่านคงดูการแข่งทางทีวีอยู่ และผมไม่อยากให้คุณแม่เห็นลูกชายของเธอ ตายคาสนาม"
7
ระหว่างที่กรรมการ ผู้เล่น และแฟนๆ ทุกคนสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จิม พิซซูเตลลี่ โค้ชฟิตเนสของสโมสรที่เคยมีประสบการณ์เป็นทหารผ่านสงครามเวียดนามมาก่อน ตัดสินใจฉับพลัน เขาหนีบเส้นเลือดแดงเอาไว้ ไม่ให้เลือดไหลออกไปมากกว่านี้ แล้วรีบพาออกจากสนามขึ้นรถพยาบาล เพื่อไปโรงพยาบาลบัฟฟาโล่ เจเนรัล อย่างรวดเร็ว
3
อาการของมาลาร์ชัคดูย่ำแย่มาก พิซซูเตลลี่ก็คิดว่ากว่าจะถึงโรงพยาบาล มาลาร์ชัคอาจจะตายก่อน เขาจึงตัดสินใจใช้เข่ากดไว้ที่คอเพื่อให้มาลาร์ชัคหายใจไม่ออก ด้วยวิธีนี้มาลาร์ชัคจะหายใจน้อยลง ซึ่งในความเข้าใจของเขา ร่างกายของมาลาร์ชัคจะเข้าสู่ Low Metabolic State ซึ่งจะลดปริมาณการเสียเลือดลงได้
5
"จิม ฉันหายใจไม่ออก" มาลาร์ชัคพูด แต่พิซซูเตลลี่กล่าวตอบว่า "นายจะไม่ได้หายใจสบายๆ จนกว่าเราจะไปถึงมือหมอ" โดยพิซซูเตลลี่กดคอไว้แบบนั้น ถ้ามาลาร์ชัคไม่ไหวจริงๆ ก็จะปล่อยให้หายใจได้ช่วงสั้นๆ เขาทำแบบนี้จนซื้อเวลาได้ 10 นาที และไปถึงโรงพยาบาลได้สำเร็จ
10
เมื่อถึงโรงพยาบาล มาลาร์ชัคเข้าห้องฉุกเฉินทันที แพทย์วางยาสลบแล้วเริ่มผ่าตัดอย่างเร่งด่วน สุดท้ายหลังจากเย็บแผลกว่า 300 เข็ม ใช้เวลาผ่าตัดราว 1 ชั่วโมงครึ่ง มาลาร์ชัคก็รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
5
ท่ามกลางความโชคร้าย มีความโชคดีนิดๆ คือ Blade ที่ปาดคอ อีกแค่ 1 มิลลิเมตร จะโดนกล่องเสียงแล้ว แพทย์วินิจฉัยว่า ถ้าหากใบมีดเสียบลึกกว่านี้อีกนิดเดียว เขาคงยากที่จะรอดชีวิตได้
3
ตัดกลับมาที่สนามแข่งขัน ไม่มีใครอยากแข่งต่อแล้ว เพราะเห็นภาพเพื่อนกำลังจะตายต่อหน้า แต่สุดท้ายเมื่อมีข่าวจากโรงพยาบาลว่ามาลาร์ชัคปลอดภัยแล้ว ไม่เสียชีวิต จึงกลับมาแข่งกันต่อ ซึ่งทุกคนก็เล่นท่ามกลางกองเลือดของมาลาร์ชัคนั่นแหละ
2
สำหรับเลือดที่มาลาร์ชัคเสียไป มีปริมาณมากถึง 1.5 ลิตร หรือประมาณน้ำดื่ม 1 ขวดใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์ในวงการกีฬาที่ผู้เล่นเสียเลือดในสนามมากขนาดนี้มาก่อน
1 วันหลังเกิดเหตุการณ์ นายแพทย์จอห์น บุตช์ ผู้ผ่าตัด กล่าวกับมาลาร์ชัคว่า "คุณเสียเลือดไปเยอะมาก แต่ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว โดยแพทย์ได้รักษาเส้นเอ็นทั้งหมดแล้ว ส่วนหลอดเลือดแดงก็เกือบโดนตัดขาดทั้งหมด ถ้าหากใบมีดเฉือนลึกกว่านี้ล่ะก็ มันจะทำความรุนแรงได้เหมือนกิโยตินเลยทีเดียว"
2
10 วันหลังเข้าโรงพยาบาล ร่างกายของมาลาร์ชัคฟื้นสภาพ และกลับมาฝึกซ้อมได้แล้ว แต่ปัญหาที่เขาเจอต่อจากนั้น คือสภาพจิตใจที่หวาดผวา หรืออาการ PTSD
PTSD ย่อจาก Post-Traumatic Stress Disorder แปลว่า สภาวะป่วยทางใจหลังจากต้องเจอกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนความรู้สึกอย่างรุนแรง
มาลาร์ชัคตื่นขึ้นอย่างหวาดผวาทุกคืน แล้วเอามือจับลำคอของตัวเองไว้ ความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเพิ่งโดนปาดคอ มันลืมภาพนั้นไม่ได้เสียที
ความหวาดกลัวจนนอนไม่หลับมันส่งผลต่อการซ้อมด้วย เขามีสภาพร่างกายทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วพอลงแข่งขันก็แพ้คู่แข่ง
1
ยิ่งบวกกับโรคเดิม คือโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ที่เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ทำให้เขาเริ่มมีอาการมือสั่น จนหมอต้องจ่ายยาให้ ซึ่งเรื่องนี้ พอแฟนๆ ทีมอื่นรู้ ก็เอามาแซวในสนามว่า "เฮ้ มาลาร์ชัค เอายาอีกสักเม็ดไหม"
2
ฟอร์มของมาลาร์ชัคตกต่ำลงเรื่อยๆ สุดท้าย ในปี 1992 เขาโดนต้นสังกัดบัฟฟาโล่ ซาเบรส ปล่อยตัวทิ้ง จากนั้นก็ไม่ได้เล่นใน NHL อีกเลย มีวนเวียนในลีกรอง (AHL) และลีกรองกว่า (IHL) แต่สุดท้ายก็หายไปจากวงการอย่างเงียบๆ
PTSD และ OCD รวมกัน ทำให้ชีวิตส่วนตัวของมาลาร์ชัคย่ำแย่มาก เขาเป็นคนอารมณ์แปรปรวน เดาใจยาก เริ่มดื่มแอลกอฮอล์หนัก สุดท้ายต้องผ่านการหย่าร้างถึง 3 ครั้ง ไม่สามารถรักษาชีวิตครอบครัวได้เลย
ในปี 2004 มาลาร์ชัควัย 43 ปี ทำงานเป็นโค้ชให้ทีมฮอกกี้น้ำแข็งที่เท็กซัส และได้รู้จักกับ โจแอนนี่ กูดลีย์ ครูฝึกสอนสเก็ต จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคบหากัน ก่อนแต่งงานกันในปี 2006 นี่เป็นการแต่งงานรอบที่ 4 ของมาลาร์ชัค
ชีวิตรวมๆ ก็เหมือนจะมีความสุขดี แต่ทุกครั้งที่มีความเครียดแม้แต่เพียงนิดเข้ามา เขาไม่สามารถรับมือกับมันได้เลย เขากลัวเรื่องเงินทองจะไม่พอใช้ กลัวการแต่งงานรอบที่ 4 จะล่ม กลัวไปเสียทุกอย่าง แล้วพอกลัวก็ไปปลดปล่อยความหงุดหงิดด้วยการไปกินเหล้าเมายาบ้าง หรือไม่ก็ไปต่อยตี หาเรื่องวิวาทในบาร์บ้าง
1
มีคนแนะนำให้มาลาร์ชัคไปหาจิตแพทย์ แต่เขาปฏิเสธที่จะไป เพราะมองว่าคนที่ไปหาจิตแพทย์เป็นเรื่องที่น่าอับอาย เกิดเป็นผู้ชาย เจอปัญหาอะไรก็ต้องกัดฟันทน ต้องเอาชนะให้ได้ด้วยตัวเอง มันน่าอดสูถ้าต้องไปสารภาพกับหมอว่า เหตุการณ์ใบมีดปาดคอผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่เขาเองก็ยังไม่ลืม
3
โจแอนนี่ กับมาลาร์ชัค ทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพราะฝ่ายมาลาร์ชัคไม่ยอมไปหาหมอ โจแอนนี่จึงแยกไปนอนที่โรงแรมเพื่อแสดงความไม่พอใจ
วันที่ 7 ตุลาคม 2008 หลังแยกกันอยู่สักระยะ โจแอนนี่โทรหามาลาร์ชัค แต่เขาไม่ได้รับสาย เธอจึงกลับไปที่บ้าน ภายในบ้านว่างเปล่าไม่เจอใคร เธอตะโกนเรียกสามีแต่ไม่มีใครตอบ จากนั้นเดินอ้อมไปที่เพิงเก็บของนอกบ้าน สุดท้ายก็เจอมาลาร์ชัคที่นั่น เขานั่งเหม่อลอย บนโต๊ะด้านหน้ามีปืนไรเฟิลวางอยู่หนึ่งกระบอก
2
โจแอนนี่ถามว่า "คุณมาทำอะไรอยู่ที่นี่" มาลาร์ชัคตอบว่า "ผมกำลังมองหากระต่าย"
ความเงียบมาเยือนทั้งคู่ ก่อนที่มาลาร์ชัคจะพูดขึ้นมาว่า "ผมทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว มันไม่ยอมออกไปจากหัวผมเสียที ผมอยู่กับชีวิตแบบนี้ไม่ได้แล้ว ผมอยากหายไปซะให้พ้น"
1
จากนั้นเขาเอื้อมมือ คว้าปืนไรเฟิลบนโต๊ะ เอามาจ่อที่คางของตัวเอง และก่อนที่โจแอนนี่จะได้กรีดร้อง มาลาร์ชัคลั่นไกเปรี้ยง เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายให้ทุกอย่างมันจบสิ้นกันไป
5
เสียงปืนดังขึ้น แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ มาลาร์ชัคไม่ได้ร่วงไปกองกับพื้น ซ้ำยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างตกใจ หรือว่ามาลาร์ชัคจะยิงพลาด ประมาณว่ากระสุนลอยขึ้นฟ้าไม่โดนร่างกาย
1
แต่ทันใดนั้น จมูกของมาลาร์ชัคก็มีเลือดไหล เช่นเดียวกับที่คาง ก็มีเลือดพุ่งออกมา โจแอนนี่ จึงโทรเรียก 911 พาตัวไปส่งโรงพยาบาลทันที
1
ตอนที่เขาเจอ Blade เชือดคอแล้วไม่ตาย นั่นก็เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว แต่ใครจะไปเชื่อว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นซ้ำสองกับคนคนเดิม
1
กระสุนที่ยิงทะลุผ่านคาง ทะลุลิ้น ทำลายฟัน แล้วพุ่งขึ้นไปตามโพรงจมูก แต่กระสุนปืนยาวขนาด .22 มาหยุดที่ตรงกลางระหว่างดวงตาสองข้างพอดี อีกเสี้ยวเดียวจะถึงสมองแล้ว
6
แพทย์รีบทำการรักษาทันที ซึ่งสุดท้ายมาลาร์ชัครอดชีวิตมาได้อีกครั้ง แพทย์บอกว่าถ้าเป็นกระสุนขนาดปกติ ที่ไม่ใช่ .22 เขาตายแล้วแน่นอน
1
ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ ไม่เพียงแค่รอดชีวิตเท่านั้น แต่เขายังพูดได้ แม้จะทะลุลิ้นไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังพอพูดได้ สมองและดวงตาก็ไม่กระทบกระเทือน ภาพเอ็กซ์เรย์ เห็นชัดเจนว่ากระสุนหยุดอยู่ก่อนถึงสมองพอดี จะมีสักกี่คนที่ยิงปืนทะลุคาง แล้วจะรอดชีวิตมาได้อย่างสมประกอบแบบนี้
งานวิจัยที่สหรัฐฯ เผยว่า คนที่พยายามฆ่าตัวตายด้วยปืนไรเฟิล หากยิงเข้าไปที่ศีรษะของตัวเอง มีอัตราการตาย 99% แต่มาลาร์ชัคเป็น 1% ที่รอดชีวิตมาได้
1
สุดท้ายเมื่อได้เจอปาฏิหาริย์ครั้งที่ 2 คราวนี้เขายอมแล้ว มาลาร์ชัคตัดสินใจเข้ารับการบำบัดทางด้านจิตใจ โดยไปใช้ชีวิตที่ศูนย์บำบัดในเมืองซาน ราฟาเอล ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และที่นี่เอง ที่เขาได้รู้จักกับจิตแพทย์ที่ชื่อว่าทีน่า กาลอร์ดี้
3
"หลังเกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย ผมมีโอกาสได้ปรึกษากับคุณหมอทีน่า เชื่อไหมหลังจากได้คุยกับเธอ ได้เล่าเรื่องราวของผมออกไป ผมร้องไห้ออกมาเลย เพราะเธอบอกว่าผมไม่ได้บ้า ผมไม่ได้เป็นโรคจิต ผมไม่ได้เป็นคนใจอ่อนแอ ผมแค่ป่วยเท่านั้น คุณหมอบอกว่าถ้าผมเสียใจผมก็ร้องไห้ได้ เป็นผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกไว้ตลอดเวลา การบอกคนอื่นให้รู้ถึงความเจ็บปวดของตัวเอง ก็มีข้อดีเหมือนกัน"
6
"ผมเริ่มเผชิญหน้ากับมันตรงๆ และเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม จากนั้นจึงได้เข้าใจว่าเราไม่จำเป็นต้องสู้กับเรื่องนี้คนเดียวนี่นา"
1
หลังจากอยู่ในศูนย์บำบัด 6 เดือน มาลาร์ชัค ออกจากโรงพยาบาล ซึ่งในวันที่โจแอนนี่ได้เจอสามีเป็นครั้งแรก เธอกล่าวว่า "เขากลายมาเป็นผู้ชายคนที่ฉันเคยหลงรัก และยังรู้สึกว่าดีขึ้นกว่าเดิมด้วย มันเหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ"
1
ถึงตรงนี้ มาลาร์ชัคจึงได้เข้าใจว่า ถ้าจิตใจไม่สมบูรณ์พร้อม อย่าไปโทษตัวเอง บางครั้งคุณอาจจะแค่ป่วย และป่วยก็ต้องรักษา เหมือนป่วยกายก็มีวิธีรักษาทางกาย เมื่อป่วยใจก็ต้องหาวิธีรักษาทางใจ ปัจจุบันมีแพทย์ที่ชำนาญด้านนี้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าคนไข้จะทำลายกำแพงของตัวเองลงได้หรือไม่แค่นั้น
2
หลังรอดชีวิตมาได้ มาลาร์ชัคยังเป็นโค้ชฮอกกี้น้ำแข็งอยู่ แต่ก็ได้รับงานเสริม คือถูกจ้างให้ช่วยเป็นวิทยากร พูดให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตที่ตัวเองเคยเผชิญมา เพราะในอเมริกามีคนอีกมากมาย ที่คิดว่าผิดปกติหรือจิตใจอ่อนแอ จากนั้นก็เริ่มโทษตัวเองและทำร้ายตัวเอง ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ถ้าคุณเข้าใจว่ามันเป็นการป่วย ก็แค่ไปรักษา ให้ตรงกับอาการของตัวเอง
2
มาลาร์ชัคกล่าวว่า "สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับทุกคนคือการซื่อตรงต่อตัวเอง ผู้ชายส่วนมาก เราถูกสอนกันมาว่า อย่าแสดงความรู้สึก อย่าแสดงความอ่อนแอ ยิ่งเจออะไรที่ยากลำบากยิ่งต้องอดทน แต่เรื่องแบบนี้เราไม่จำเป็นต้องทน ถ้ารู้สึกไม่ดี ก็แค่ขอความช่วยเหลือ"
1
"นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำต่อไปจากนี้ คืออยากช่วยเหลือทุกคนที่รู้สึกว่าชีวิตสิ้นหวัง ผมคิดว่าเมื่อพระเจ้ามอบโอกาสในชีวิตให้ผมอีกครั้ง ผมก็อยากใช้มันให้เป็นประโยชน์ที่สุด และจากนี้ไป ผมรู้แล้วว่าเป้าหมายในชีวิตของผมคืออะไร"
ปัจจุบันมาลาร์ชัควัย 60 ปี ยังมีชีวิตอยู่ และแม้จะยังไม่ลืมเหตุการณ์ในปี 1989 เสียทีเดียว แต่อาการก็คงที่แล้ว และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
บทสรุปจากเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า เวลาที่ทุกอย่างมันรุมเร้า เราอาจจะคิดว่าตัวเองสู้อยู่คนเดียวบนโลก แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น
1
เราอาจไม่รู้ตัวว่ามีคนที่พร้อมจะยื่นมือช่วยเรามากมาย ทั้งคนรอบตัว ทั้งแพทย์ เพียงแค่เขาเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเราต้องการความช่วยเหลือแค่นั้นเอง
2
ดังนั้นถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา
1
เพราะทุกคนอ่อนแอได้ ร้องไห้เป็น การขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยแม้แต่นิด
1
#MIRACLE
โฆษณา