1 ต.ค. 2021 เวลา 04:30 • ดนตรี เพลง
แปลเพลง You and Me - Lifehouse
เคยเจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ต้องเผลอถามตัวเองแบบนี้บ้างมั้ยครับ?
แปลและอธิบายเพลง You and Me - Lifehouse
วันนี้เป็นเพลงเก่าที่เคยได้ยินมานานแล้วครับ ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นเพลงของใคร ไม่รู้ว่าที่ได้ยินอยู่เป็นเวอร์ชั่นที่ถูกนำมาร้องอีกที วันที่ได้ยินนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันไพเราะมากมายอะไร ได้ยินเพียงผ่านๆ ฟังออกไม่หมด ก็เลยไม่มีความหมายพิเศษอะไร
ตอนนั้นมันแค่รู้สึกว่าแปลก เนื้อหาของเพลงที่พูดๆ มาไม่เห็นจะเกี่ยวพันอะไรกันเลย ก็เลยจำเพลงนี้ได้ แต่ก็ไม่เคยคิดจะลงลึกกับมันซักที ว่ามันมีอะไรแฝงอยู่ในความหมายของเพลงรึเปล่า
แต่วันนี้เพลงนี้มันฮัมขึ้นมาเองในความคิด ก็เลยลองหาเนื้อเพลงมาอ่านใหม่ดีๆ แล้ววันนี้มันไพเราะกว่าวันนั้นเยอะเลย ก็เลยดูว่ามีใครแปลความหมายอย่างที่กำลังจะแปลให้อ่านนี้บ้างรึยัง ซึ่งก็นั่นแหล่ะครับ เป็นที่มาว่าทำไมผมถึงแปลเพลงนี้
และก็ต้องขึ้น disclaimer กันอีกครั้ง ผมไม่ได้แปลตรงตัวตามดิกชันนารีครับ เหตุผลที่ผมแปลออกมาได้อย่างนี้นั้น อยู่ในช่วงอรรถาธิบายข้างล่างครับ หากท่านไม่ชอบเชิญปล่อยผ่านได้เลยครับ ถือว่าผมเป็นตัวประหลาดแห่งการแปลเพลงก็แล้วกัน :D
You and Me - Lifehouse
What day is it
And in what month?
This clock never seemed so alive
I can't keep up, and I can't back down
I've been losing so much time
'Cause it's you and me
And all of the people with nothing to do
Nothing to lose
And it's you and me
And all of the people
And I don't know why
I can't keep my eyes off of you
What are the things that I want to say
Just aren't coming out right?
I'm tripping on words
You got my head spinning
I don't know where to go from here
'Cause it's you and me
And all of the people with nothing to do
Nothing to prove
And it's you and me
And all of the people
And I don't know why
I can't keep my eyes off of you
There's something about you now
That I can't quite figure out
Everything she does is beautiful
Everything she does is right
'Cause it's you and me
And all of the people with nothing to do
Nothing to lose
And it's you and me and all of the people
And I don't know why
I can't keep my eyes off of you and me
And all of the people with nothing to do
Nothing to prove
And it's you and me and all of the people
And I don't know why
I can't keep my eyes off of you
What day is it?
And in what month?
This clock never seemed so alive
นี่มันวันอะไร
และเดือนอะไรหนอ
ทำไมวันเวลาถึงไม่เคยดูเหมือนมีชีวิตชีวาขนาดนี้?
ฉันล่องลอยคั่นกลางอยู่ระหว่างอนาคตกับอดีต
ผ่านวันเวลาเนิ่นนานไร้ความหมาย
จะทั้งเธอและทั้งฉัน
ก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไปทั้งนั้นที่เราไม่จำเป็นต้องไปสนใจ
ก็เป็นคนอื่น ไม่เห็นจะต้องไปรู้สึกอะไร
และเพราะเธอและกับฉัน
และผู้คนมากมายเหล่านั้น ก็เป็นคนอื่นเหมือนๆ กัน
แต่ฉันดันไม่เข้าใจ
ว่าเหตุใดฉันละสายตาจากเธอไปไม่ได้เลย
มันคืออะไรนะ ถ้อยคำเหล่านั้นที่ฉันอยากจะเอ่ย
มันแค่ไม่พากันออกมาเฉยๆ หรือกระไร?
ถ้อยคำอันตรธาน
ทำอะไรไม่ถูก
เพียงเพราะฉันได้มาเจอเธอ
จะทั้งเธอและทั้งฉัน
ก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไปทั้งนั้นที่เราไม่เคยจำเป็นต้องสนใจอะไร
ก็เป็นคนอื่น จะต้องไปพิสูจน์อะไรทำไม
และเพราะเธอและกับฉัน
และผู้คนมากมายเหล่านั้น ก็เป็นคนอื่นเหมือนๆ กัน
แต่ว่าฉันไม่เข้าใจ
ฉันละสายตาจากเธอไปไม่ได้เลย
ต้องมีแน่ๆ บางสิ่งในตัวเธอ
ที่ฉันมองไม่ออกว่าคืออะไร
ที่มันทำให้ดูงดงามไปหมดไม่ว่าเธอจะทำอะไร
ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ดูเหมาะสมไปทุกอย่าง
จะทั้งเธอและทั้งฉัน
ก็เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไปทั้งนั้นที่เราไม่เคยจำเป็นต้องสนใจ
ก็เป็นคนอื่น จะต้องไปรู้สึกอะไรทำไม
และเพราะเธอและกับฉัน
และผู้คนมากมายเหล่านั้น ก็เป็นคนอื่นเหมือนๆ กัน
แต่วันนี้มันแปลกไป
ละสายตาจากเธอและฉันไม่ได้
ก็เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไปทั้งนั้นที่เราไม่เคยต้องใส่ใจ
ก็เป็นคนอื่น ก็แล้วไง
และเพราะเธอและกับฉัน
และผู้คนมากมายเหล่านั้น ก็เป็นคนอื่นเหมือนๆ กัน
แต่วันนี้ไม่เข้าใจ
ว่าทำไมเลิกมองเธอไม่ได้เลย
นี่มันวันอะไร
และเดือนอะไรกันหนอ
ทำไมวันเวลาถึงไม่เคยดูเหมือนมีชีวิตชีวาขนาดนี้?
อรรถาธิบาย
อารมณ์เพลงนี้เป็นการรำพึงรำพันกับตัวเองครับ เป็นช่วงจังหวะสั้นๆ แห่งความงงของชีวิต ทำตัวไม่ถูก และดูเหมือนโลกมันเปลี่ยนไปจากเดิมทุกๆวัน จนอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่าวันนี้มันวันอะไรเนี่ย นี่เป็นการแปลเพลงที่มองจากมุมของความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังคำศัพท์อีกทีครับ
สามบรรทัดแรกคือประโยคเดียวกันครับ ต้องแปลทั้งประโยคก็จะได้อารมณ์เพลงที่รำพึงรำพันเป็นความสงสัยออกมา วันนี้นี่มันวันเดือนอะไรหนอ
ส่วนสองบรรทัดต่อมาก็เป็นประโยคเดียวกันครับ ฉันไปต่อไม่ได้ I can't keep up ฉันกลับก็ไม่ได้ด้วย I can't back down และฉันก็เสียเวลามามากแล้ว I've been losing so much time ถ้าอ่านและแปลประโยคนี้ผ่านๆ แล้วเอามารวมกันเป็นท่อนใหญ่ทั้งเพลงก็อาจจะทำให้งงได้นะครับ เพลงนี้มันอะไร (วะ) เนี่ย (เดี๋ยวจะแปลคร่าวๆ แบบงงๆ ให้ดูในย่อหน้าถัดๆ ไป) แต่ประโยคนี้แหล่ะครับที่ไขความกระจ่างของการแปลความหมายเพลงในบทความนี้
ต่อมาก็เป็นท่อนสร้อยครับ ก็เพราะเธอและเพราะฉัน ('cause it's you and me) และผู้คนทั้งหมดเหล่านั้น (and all of the people) ผู้คนทั่วๆ ไปก็เคยเห็นอยู่ทุกวี่วันมาก่อน all of the people คนทั้งหมดนั้นก็คือคนทั่วๆ ไปซึ่ง you and me ทั้งเธอและฉันจะว่าไปแล้วก็รวมลงเป็น all of the people เหมือนกันใช่มั้ยครับ ที่ไม่มีอะไรจะทำ (with nothing to do) ไม่มีอะไรจะเสีย (nothing to lose) (มันใช่เหรอ?!!!) และฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันไม่สามารถเอาลูกกะตามากกว่าหนึ่งข้างออกจากเธอไปได้เลย (and I don't know why I can't keep my eyes off of you) (ถ้าแปลเพลงตรงๆแบบนี้จะชอบกันบ้างมั้ยนะ :D) ซึ่งถ้อยคำที่ต่อตามหลังมาเหล่านี้นี่แหล่ะที่ทำให้แปลยากจนทำให้เกิดความงงได้ ใส่เข้ามาในเรื่องราวนี้แล้วมันแปลว่าอะไรกันล่ะครับ? ลองดูนะครับ
. . . วันนี้มันวันเดือนอะไรหนอทำไมเวลามันไม่เคยดูมีชีวิตชีวาขนาดนี้? ฉันไปต่อไม่ได้ แต่จะกลับก็ไม่ได้ ฉันเสียเวลามาเยอะแล้ว ผู้คนทั่วๆ ไปก็เคยเห็นอยู่ทุกวี่วันมาก่อน ทั้งเธอและฉันและผู้คนทั่วไปทั้งหมดเหล่านั้นที่ไม่มีอะไรจะทำไม่มีอะไรจะเสีย และฉันไม่เข้าใจว่าทำไมละสายตาจากเธอไม่ได้เลย . . .
what? ทำไมเขาถึงแต่งเพลงออกมาแปลกๆ แบบนี้ล่ะครับ? มันมีเหตุผลอะไรที่อยู่เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านี้อีกทีรึเปล่า?
แต่พออ่านประโยคนั้นใหม่โดยมันสะดุดใจที่ตรง present perfect continuous tense ก็บังเกิดความอ้าวขึ้นมา นี่มันเป็นเส้นเวลานี่นา เขาอยู่ตรงกลางระหว่างอดีตกับอนาคต เพราะความที่ฉันเสียเวลามาตลอด I've been losing so much time และฉันก็ยังเสียเวลาอยู่ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเสียเวลาแบบนี้ต่อไปอีกนานมั้ย พอมองจากมุมทางความรู้สึกแล้วมันเลยหมายความว่าวันคืนที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ที่เสียเวลาไปนั้น จะว่าไปมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลยเพราะมันไม่ได้ดูมีชีวิตชีวามาก่อนจนกระทั่งตอนนี้! (this clock never seemed so alive) มันเลยทำให้รู้ว่าใน verse ถัดไปคำว่า nothing to do, nothing to lose และ nothing to prove นี่มันหมายถึงอะไร
เหตุเพราะสิ่งเก่าๆ เดิมๆ มันไม่มีความหมายนั่นเองครับ มันก็เลยไม่มีอะไรต้องทำ คือจะไปทำให้มันพิเศษขึ้นมาทำไม มันก็เหมือนเดิมแบบนี้มาทุกวัน เมื่อไม่ต้องทำอะไรก็ไม่มีอะไรต้องเสีย แล้วจะต้องไปพิสูจน์อะไร ไม่มีอะไรพิเศษ จะไปแคร์ทำไมครับ
nothing to do, nothing to lose, nothing to prove เมื่อประโยครวมกันแล้วความหมายก็คือ เราต่างคนต่างก็เป็นแค่คนอื่นๆ ของกันและกัน แล้วจะไปสนใจทำไม? วันเวลาที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้มาตลอด จนมันรู้สึกเหมือนไม่มีชีวิตชีวา มันไม่มีความหมาย จะไปต่อก็ไปไม่ได้ ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมแบบนี้ จะกลับหลังก็ผ่านไปแล้วกลับไม่ได้อีก แต่ว่าวันนี้ เอ๊ะ เธอก็เป็นคนอื่น ฉันก็เป็นคนอื่น มันก็เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วๆ ไปทุกคน all of the people เหมือนทุกๆวัน แต่คนนี้มันอะไรเนี่ย? ทำไมฉันละสายตาไปจากคนคนนี้ไม่ได้ล่ะ? มันทำให้ได้การเอะใจออกมาครับ ที่ต้องรำพึงรำพันว่าวันนี้มันวันอะไรหนอ
อีก verse นึงที่เป็น feeling twist เหมือนกันก็คือ what are the things that I want to say, just aren't coming out right? มันมีถ้อยคำต่างๆอยู่มากมายในจิตใจเรา แต่กลับไม่พากันออกมาซะงั้น นี่ฉันถึงกับอึ้งเลยเหรอ
tripping คือการสะดุดครับ เวลาไฟตกไฟกระชากแล้วเบรคเกอร์บ้านเรามันตัด ภาษาช่างเขาก็ใช้คำว่าเบรคเกอร์มันทริป คำพูดที่มีมากมายในหัวตะกี๊มันทริปมันสะดุดมันอึ้ง เคยเป็นมั้ยครับเวลาที่เจอเหตุการณ์อะไรบางทีขณะกำลังพูดๆ อยู่แท้ๆ แต่จู่ๆ คำพูดมันหายไปหมดซะงั้น นี่ฉันถึงกับหัวหมุนเลยเหรอ
you got my head spinning ตรงนี้เป็นภาษาพูดครับที่บอกว่าฉันถึงกับหัวหมุน แต่จริงๆ แล้วเขามาหมุนหัวฉันรึเปล่าครับ? หรือตั้งใจจะทำให้ฉันหัวหมุน? โนว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นจึงแปลไม่ได้ครับว่าเธอทำให้ฉันหัวหมุน ดังนั้น I don't know where to go from here ก็เลยไม่ได้จะไปไหนหรอก ในสถานการณ์นี้แท้จริงคือทำอะไรไม่ถูกต่างหาก
คนมันอึ้งๆ สตั้นไปสามวิ ในเหตุการณ์จริงหากเรากำลังทำอะไรๆ อยู่แล้วมีคนเดินผ่านมา เราแค่เห็นเค้าแล้วเราอึ้ง พออึ้งแล้วเราจะเดินไปไหนรึเปล่าครับ? (ถ้าเป็นแฟนเก่าหรือเจ้าหนี้ก็ว่าไปอย่าง แฟนเก่าอาจจะทำให้วันคืนมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ได้ แต่เจ้าหนี้คงไม่ใช่แน่) แต่ในถ้อยคำนี้ก็ต้องกลับมาดูให้ลึกกันอีกครั้ง ก็ทั้งๆ ที่สามารถใช้คำว่า I don't know what to do from now เอามาใส่ในเพลงแล้วก็ยังร้องได้เหมือนเดิมด้วย แล้วเหตุใดถึงไม่ใช้?
คำตอบคือเขาอาจจะไม่ได้นึกถึงถ้อยคำนี้ก็ได้ หรือไม่มันก็จะไปสัมพันธ์กับ verse แรกประโยคที่สองพอดี ตรง I can't keep up, I can't back down เพราะมันสัมพันธ์กับ go มากว่า do
จะจบแล้วครับ ที่เหลือท่อน something about you now ก็ไม่ยากเท่าไหร่ ก็แปลไปเกือบจะตรงตัวเลยทีเดียว นอกนั้นคุณก็จะเห็นผมเล่นคำที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในท่อนสร้อยแต่ก็ยังอยู่ในความหมายเดิม เพียงแต่เพิ่มอรรถรสทางความรู้สึกให้กับคุณเท่านั้นครับ
ยาวไปเสียแล้ว เพลงนี้ไม่มีศัพท์ยากเลย มีแต่ถ้อยคำง่ายๆ ไม่ต้องเปิดดิกเลยซักคำ แต่ความหมายทางความรู้สึกที่แฝงมานั้นค่อนข้างมองออกยากสักหน่อย
สิ่งที่เพลงนี้นำเสนอคือการเอะใจ วันคืนที่ผ่านมาจืดชืดไร้ความหมาย จู่ๆ การปรากฏตัวของคนอื่นคนหนึ่งทำให้วันเวลามันสดใสขึ้นมา ใครที่เคยมีโมเม้นท์แบบนี้มาก่อนอาจจะนึกเปรียบเทียบกับตอนนี้ หากมันไม่เหมือนเดิมแล้วก็ขอให้เพลงนี้ช่วยทำให้มันมีความหมายกับคุณอีกครั้ง ส่วนใครที่ยังไม่เคยมีโมเม้นท์แบบนี้และต้องการจะมี ก็ขออวยพรให้สมปรารถนาครับ
Happy listening
เวอร์ชั่นที่ได้ยินครั้งแรกและทำให้รู้จักเพลงนี้
บอยซ์อเวนิวร้องโคฟเเวอร์ไว้เช่นกัน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา