1 ต.ค. 2021 เวลา 11:50 • ข่าว
สรุป "บาทดิจิทัล" คืออะไร ? ทำไมคนไทยต้องรู้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
13
รู้ไหมว่า 4 ปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ของการใช้ “Central Bank Digital Currency” หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ในภาคสถาบันการเงิน
7
จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ประกาศโครงสร้างของ “เงินบาทดิจิทัล” สำหรับให้ประชาชนและภาคธุรกิจ โดยจะเริ่มทดสอบให้ใช้งานจริง ภายในช่วงกลางของปี 2022
12
เรามาดูกันว่า เงินบาทดิจิทัล มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
แล้วมันจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างไร ในชีวิตเราบ้าง ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
4
เงินบาทดิจิทัล เป็น Central Bank Digital Currency เรียกสั้น ๆ ว่า CBDC หรือก็คือสกุลเงินที่ออกและควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งพัฒนาอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน
3
สำหรับเงินบาทดิจิทัลนั้น จะมีลักษณะคล้ายกับ Stablecoin คือมูลค่าจะถูกหนุนหลังด้วยเงินบาทในอัตราส่วน 1:1
5
นั่นหมายความว่าทุก ๆ การออกเงิน 100 บาทดิจิทัล ก็จะต้องมี 100 บาทเก็บสำรองเอาไว้ในบัญชีธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่เสมอ
6
โดยเงินบาทดิจิทัล ถูกออกแบบมาเพื่อให้เรานำไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ไม่ต่างอะไรจากเงินสด การโอนผ่านโมไบล์แบงกิง หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่เราใช้บนแอปพลิเคชันต่าง ๆ
2
หากใครต้องการเงินบาทดิจิทัล เพียงแค่เรานำเงินสดหรือเงินฝากไปแลกกับสถาบันการเงิน
หรือผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
3
หลังจากนั้น เราจะสามารถเลือกเก็บเงินบาทดิจิทัล ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่
4
1. แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ที่ทางธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดูแล
6
ลักษณะไม่แตกต่างอะไรไปจากแอปพลิเคชันการเงินที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น แอปธนาคารหรือแอปกระเป๋าเงินดิจิทัล
3
หรือ 2. สมาร์ตการ์ด เป็นทางเลือกสำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีสมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต หรือบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงิน
6
ถึงตรงนี้ หลายคนก็คงกำลังสงสัยว่า แล้วเงินบาทดิจิทัล มันต่างจากการที่เราใช้พร้อมเพย์ โมไบล์แบงกิง หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไร ?
2
หากดูในมุมมองของผู้ใช้งานอย่างเรา ช่วงแรกจะพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน
เพราะมันก็นับเป็นการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านสมาร์ตโฟน
4
แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือเรื่องของความปลอดภัยที่จะมีมากกว่า เพราะบาทดิจิทัลจะได้รับการคุ้มครองจากธนาคารแห่งประเทศไทย และธุรกรรมต่าง ๆ ก็จะอยู่บนบล็อกเชน ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้ยากที่จะโดนแก้ไขได้
20
แต่สำหรับอนาคตข้างหน้า เงินบาทดิจิทัลจะถูกพัฒนาและก็จะเริ่มมีความแตกต่างมากขึ้น เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้เปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาโปรแกรม สามารถเข้ามาสร้างนวัตกรรมต่อยอดบนเงินบาทดิจิทัลได้อีกชั้น
7
ตัวอย่างนวัตกรรม ก็เช่น การสั่งสินค้าออนไลน์ ที่สามารถตั้งเงื่อนไข ให้ยังไม่มีการจ่ายเงินออกไปจนกว่าสินค้าจะมาถึงมือเรา
10
หรือหากเป็นภาครัฐ ก็จะสามารถกำหนดให้เงินที่แจกจ่ายแก่ประชาชนนั้น สามารถซื้อสินค้าหรือบริการใดได้บ้าง
9
พูดง่าย ๆ ก็คือเราสามารถ “สร้างเงื่อนไข” ที่ผูกกับการชำระเงินด้วยบาทดิจิทัลได้
2
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังคงไม่มีนโยบายให้นำเงินบาทดิจิทัลไปเชื่อมต่อกับ DeFi หรือระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง
5
และถ้าหากว่าเรามาดูในด้านผู้กำหนดนโยบาย ก็จะพบว่าเงินบาทดิจิทัล มีแนวโน้มที่จะเข้ามาทำให้ผู้กำหนดนโยบายมีความคล่องตัวมากขึ้น
5
เช่น การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะสามารถร่วมมือกับรัฐบาลในการอัดฉีดเงินไปสู่ประชาชนได้ทันที
 
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้ศึกษาความเป็นไปได้ของ “Retail CBDC” เช่น การให้ธนาคารกลางจ่ายดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสมให้กับผู้ฝากด้วยตนเอง
13
นั่นหมายความว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเริ่มเข้ามาเชื่อมต่อกับประชาชนโดยตรง แทนที่รูปแบบเดิมจะเป็นธนาคารพาณิชย์
7
ซึ่งที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกมองว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่านดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
ถ้าธนาคารกลางมีบทบาทโดยตรง ก็อาจทำให้การขับเคลื่อนนโยบายการเงินจากภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น
10
แต่ก็ต้องบอกก่อนว่า บาทดิจิทัล ที่กำลังจะทดลองใช้ในปีหน้า ยังไม่ได้เป็นแบบนั้น
2
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วว่า
บาทดิจิทัล มีรูปแบบและคุณสมบัติเบื้องต้น อะไรบ้าง ?
1
1. บาทดิจิทัลจะมีลักษณะคล้ายเงินสด คือ ไม่มีการให้ดอกเบี้ย ซึ่งการที่เงินบาทดิจิทัลไม่มีดอกเบี้ย ก็จะยังทำให้เราไม่ได้มองว่ามันเป็นทางเลือกการฝากเงิน
6
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะยังคงฝากเงินไว้กับเหล่าธนาคารพาณิชย์เช่นเดิม
3
และก็น่าจะทำให้เงินบาทดิจิทัลจะถูกนำไปจับจ่ายใช้สอยจริงทั้งบนโลกออนไลน์ ออฟไลน์ และสามารถนำไปใช้ได้บนทุกแพลตฟอร์ม
ซึ่งต่างจากระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบัน ที่อาจใช้ได้เฉพาะเครือข่ายที่รับชำระ เช่น ระบบของ Rabbit LINE Pay หรือ TrueMoney ก็ตาม
4
2. ดำเนินการกระจายเหรียญผ่านตัวกลาง เช่น สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงินอื่นเพื่อยังคงรักษาบทบาทของเหล่าตัวกลางทางการเงิน และให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการ
4
เพราะตัวกลางทางการเงินเหล่านี้มีความชำนาญและคุ้นเคยในการทำ KYC (Know Your Customer) อยู่แล้ว
6
3. จำกัดปริมาณการถือหรือการไถ่ถอน เพื่อป้องกันการถอนเงินจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ที่อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ รวมทั้งป้องกันการฟอกเงิน
8
4. ไม่สร้างภาระต้นทุนค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ใช้งานและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึง เพื่อต่อยอดนวัตกรรมหรือเขียนโปรแกรมเพิ่มบนบาทดิจิทัล
2
5. ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีแบบรวมศูนย์ (Centralized) และกระจายศูนย์ (Decentralized) ส่งผลให้ประชาชนได้ใช้สื่อการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย
12
ถึงตรงนี้ เราก็สามารถสรุปได้ว่า “เงินบาทดิจิทัล” ที่กำลังจะทดลองใช้จริงในปีหน้านี้
ก็น่าจะกลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเรา
3
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าเมื่อถึงวันนั้น
คนไทยจะมีความพร้อมต่อการใช้เงินบาทดิจิทัลขนาดไหน
รวมถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดโอกาสให้นักพัฒนา
เข้ามาช่วยกันสร้างนวัตกรรมลงบนสกุลเงินใหม่ของไทย ก็ถือเป็นอะไรที่น่าติดตาม ไม่แพ้กัน..
3
โฆษณา