13 ต.ค. 2021 เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Real Yield คืออะไร ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการลงทุน
เวลาที่ฟังข่าวหรือการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ คำหนึ่งที่มักจะได้ยินเสมอนั่นก็คือ "อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield)" วันนี้เรามาทำความเข้าใจที่มาที่ไปของ Real Yield กันให้มากขึ้นว่าคืออะไรและส่งผลกระทบต่อการเลือกลงทุนอย่างไร
1
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า "อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield)" ถูกคำนวณมาจาก "อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) - อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectation)"
“พันธบัตรรัฐบาล” ในมุมหนึ่งจะถูกมองว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไร้ความเสี่ยง (Risk Free) ถ้าใครไม่ชอบความผันผวน อยากให้เงินเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปก็สามารถมาลงใน “พันธบัตรรัฐบาล” ได้ ซึ่งถ้าหากนำ “อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield)” มาหักลบกับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจะทำให้เรารู้ว่าผลตอบแทนที่แท้จริง ที่ได้รับจะเป็นเท่าไหร่ หรือก็คือ Real Yield ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ นั่นเอง
Real Yield คืออะไร ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการลงทุน
เมื่อ Real Yield สูง จะเกิดอะไรขึ้น?
อยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่าถ้าหากการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไร้ความเสี่ยงอย่างพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างชัวร์ อยู่ในช่วงที่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงประกอบกับในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ ส่งผลทำให้ Real Yield อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
เราก็คงไม่อยากเอาเงินลงทุนของเราไปเสี่ยงในสินทรัพย์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะไม่ต้องเสี่ยงก็ได้ผลตอบแทนที่ดีอยู่แล้ว เราก็จะเห็นได้ว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดที่มีความเสี่ยงอย่าง ตลาดหุ้น ทองคำ ต่าง ๆ ออกมาเข้าลงทุนในตราสารหนี้ที่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
เมื่อ Real Yield ต่ำ จะเกิดอะไรขึ้น
ในทางกลับกันถ้าหากผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนในระดับต่ำ แปลว่าการลงทุนในสินทรัพย์ไร้ความเสี่ยงไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี แล้วถ้าหากนำไปหักลบกับเงินเฟ้อทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงยิ่งลดลง หรือในบางช่วงที่ Real Yield อาจจะอยู่ในช่วงติดลบอย่างช่วงที่ผ่านมา
แปลว่าการลงทุนนั้นกำลังแพ้เงินเฟ้อหรือจะทำให้เราจนลงเรื่อย ๆ ทุกวัน ในช่วงที่ Real Yield ต่ำจะเกิดแรงกระตุ้นให้ขายสินทรัพย์การลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำอย่างพวกตราสารหนี้ออกมาสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างพวก หุ้น ทองคำ มากขึ้น
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ย้อนหลัง 5 ปี
ซึ่งถ้าหากเราลองกลับมาดูที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield) ย้อนหลังช่วงปี 2019-2021 ช่วงเวลาเดียวกับที่ตลาดหุ้นมีค่า P/E ที่สูงมากขึ้น จะเห็นได้ว่าแนวโน้มของ Real Yield มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับช่วงที่ Real Yield ลงไปอยู่ในช่วงที่ติดลบเป็นช่วงที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
2
ค่า P/E Ratio ของตลาดหุ้นสหรัฐ S&P 500
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดมากขึ้น จะเห็นได้ว่าเมื่อก่อน เวลาที่จะดูว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นถูกหรือแพงเราอาจจะใช้สิ่งที่เรียกว่า P/E Ratio
ยิ่ง P/E มีค่าที่สูง แปลว่า ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่แพง ในทางกลับกันถ้าหาก P/E อยู่ในระดับที่ต่ำ ก็จะแปลว่า ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ถูกนั่นเอง
แต่ถ้าหากเราลองกลับไปดู P/E Ratio ของตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500) ย้อนหลังตั้งแต่ช่วงปี 2019-2021 จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นหรือแปลว่าหุ้นมีราคาที่แพงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเปรียบเทียบกับในอดีต
ยิ่งในช่วงที่ Real Yield ติดลบช่วงต้นปี 2020 เป็นต้นมา จะเป็นช่วงที่มีการโยกย้ายเงินเข้าสู่ตลาดหุ้น ยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งดัชนีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
ราคาทองคำย้อนหลัง
หรือถ้าไปดูสินทรัพย์อย่าง “ทองคำ” ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาเดียวกัน จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าช่วงที่ Real Yield ปรับตัวลง ราคาทองคำช่วงต้นปี 2020 อยู่แถวระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากนั้นราคาทองคำก็วิ่งขึ้นทำจุดสูงสุดแถว 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะปรับตัวย่อตัวลงมา
เนื่องจากทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถสร้างเงินปันผลหรือผลตอบแทนระหว่างการถือครองให้ได้ แต่ในช่วงที่ Real Yield ต่ำหรือติดลบ เป็นช่วงที่การถือทองคำจะเป็นตัวทดแทนอัตราเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี ทำให้ทองคำปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
จากความสัมพันธ์ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตามอง Real Yield ว่าจะกลับมาตัวมาเป็นขาขึ้นหรือไม่ ซึ่งถ้าหากมีการปรับแนวโน้มมาเป็นขาขึ้นจริง อาจจะได้เห็นการลดสัดส่วนสินทรัพย์ครั้งใหญ่และกลับไปถือพันธบัตรรัฐบาลอีกครั้งก็เป็นไปได้ แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและทองคำอย่างแน่นอน หากมีการปรับลดวงเงินและขึ้นดอกเบี้ยตามคาดการณ์
1
ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่สามารถลดความเสี่ยงของสินทรัพย์เสี่ยงในพอร์ตการลงทุนลงเพื่อทำกำไร และถือเงินสดเพื่อรอดูทิศทางการประชุมของ FED ครั้งถัดไปว่าทิศทางของนโยบายจะออกเป็นอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่ามีผลกระทบโดยตรงกับ Real Yield ทั้งสิ้น ไม่ว่าดอกเบี้ยจะกลับมาเป็นขาขึ้นหรือไม่ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้ออย่างไร เป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
โฆษณา