5 ต.ค. 2021 เวลา 12:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Alice in Borderland
“อีกหนึ่งเกมมรณะที่ถูก Squid Game ปลุกชีพ”
1
ใครที่เข้าไปหาอะไรดูใน Netflix อยู่เป็นประจำ อาจสังเกตุเห็น Top 10 อันดับหนังยอดนิยมตอนนี้มี Alice in Borderland กลับขึ้นมาร่วมชาร์ทด้วยเนื่องจากกระแสความนิยมอันร้อนแรงจาก Squid Game ที่มีแนวเรื่องคล้ายกัน สำหรับใครที่ได้ดูทั้งสองเรื่องก็คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าทั้งสองเรื่องนั้นก็มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน สำหรับเราก็ถือว่าทำออกมาได้ดี และสนุกทั้งคู่เลย
Alice in Borderland เล่าเรื่องของสามเด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนรักกัน อะริสุ คารุเบะ และ โจตะ ที่จู่ๆ ก็ต้องเข้าไปพัวพันกับการเล่นเกมมรณะ โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ทุกคนที่หลุดเข้าไปในดินแดนแห่งนี้จะถูกบังคับให้ต้องเล่นเกมให้ชนะเพื่อต่อระยะเวลาการมีชีวิตของตัวเอง หรือที่เรียกว่าการ “ต่อวีซ่า” ซึ่งหากวีซ่านี้หมดลงเมื่อไหร่ ผู้เล่นก็จะถูกลำแสงปริศนาที่ยิงลงมาจากท้องฟ้าฆ่าตายโดยทันที ธีมหลักของเรื่องจึงเป็นการหาทางเอาชีวิตรอด และไขปริศนาว่าดินแดนแห่งนี้คืออะไรกันแน่ แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ วิธีการออกแบบเกมในแต่ละเกมที่มีความโดดเด่นและเล่นกับจิตใจของทั้งตัวละครและคนดูได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นประเด็นที่เราอยากนำมาแชร์กันในบทความนี้
“อลิซในแดนมรณะ”
เนื้อหาต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องในช่วง Episode 3
จากทั้งหมด 8 ตอน เนื้อเรื่องในช่วงตอนที่ 3 เป็นส่วนที่เราอยากกล่าวถึงมากที่สุด มันคือช่วงที่ตัวละครเพื่อนรักทั้งสามคนจะต้องเล่นเกมที่ทำให้พวกเขาแตกคอกันเอง ซึ่งก็คือ “เกมซ่อนหา”
กติกามีอยู่ว่า จะมีคนหนึ่งเป็น “หมาป่า” และคนที่เหลือเป็น “แกะ” ภายในเวลาที่กำหนด หากหมาป่าสบตากับแกะ ตำแหน่งของหมาป่าจะถูกส่งต่อให้แกะตัวนั้นกลายเป็นหมาป่าแทน เมื่อเวลาหมดลง แกะทุกตัวจะถูกฆ่าตายทันที เหลือเพียงหมาป่าตัวเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตออกไปจากเกมนี้ได้ และเกมนี้ยังได้บอกกับผู้เล่นอีกด้วยว่า “คนที่เป็นแกะ จงซ่อนตัวให้ดี อย่าให้หมาป่าเจอ”
“หมาป่าต่างหากล่ะที่ต้องซ่อนตัว” นั่นคือสิ่งที่ผู้เล่นทุกคนเข้าใจทันทีเมื่อเกมเริ่มต้นขึ้น วิธีเดียวที่จะรอดตายคือแย่งตำแหน่งหมาป่ามา แล้วหนีจากคนอื่นๆ ให้ได้จนจบเกม ด้วยเหตุนี้ การตัดสินว่าใครจะอยู่หรือตายระหว่าง อะริสุ คารุเบะ และ โจตะ เพื่อนสนิททั้งสามคนจึงเริ่มต้นขึ้น เพราะนี่คือเกมที่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดออกไปได้
โจตะ อะริสุ และ คารุเบะ ที่ถูกบังคับให้เล่น “เกมซ่อนหา”
อะริสุ คารุเบะ และ โจตะ แม้หนังจะไม่ได้พาคนดูย้อนไปดูในอดีตของพวกเขามากนัก แต่ด้วยบทพูด และเหตุการณ์ที่หนังนำเสนอ ก็เพียงพอให้คนดูอย่างเรารู้สึกได้ว่าพวกเขารักและสนิทกันมากแค่ไหน ถึงทั้งสามคนจะแตกต่างกันทั้งพื้นฐานครอบครัว นิสัยใจคอ และงานที่ทำ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนเหมือนกันคือ “การไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม” และ “การปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมในฐานะมนุษย์”
แม้ในสังคมจะมีคนอยู่หลากหลายประเภท แต่ละคนล้วนมีความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่มีใครเหมือน แต่ด้วยสังคมที่คนส่วนมากมีมาตรฐานชัดเจนว่าสิ่งใดเป็นตัวตัดสินคุณค่าของคนคนหนึ่ง
ทำให้คนที่สมบูรณ์พร้อมทั้ง “รูปลักษณ์” “ชื่อเสียง” “เงินทอง“และ “มันสมอง” มักถูกยกย่องว่าเป็นบุคคลที่ดีเลิศเหนือผู้อื่น และเหลือพื้นที่ให้แก่บุคคลที่มีความบกพร่องอย่างใหญ่หลวงไม่ว่าด้านใดน้อยลงทุกที
หากคุณแตกต่าง แม้ในด้านที่ดี บางครั้งคุณอาจไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครทั้งสามในเรื่องนี้ “อะริสุ” เป็นเด็กฉลาด และมีไหวพริบดีเยี่ยม แต่กลับชอบเก็บตัวและมีมนุษยสัมพันธ์น้อยทำให้เขาเข้ากับคนอื่นได้แย่ จนแม้แต่คนที่บ้านยังไม่กล้าจะตั้งความหวังด้วย “คารุเบะ” ที่เกิดมาเป็นผู้ชายมาดเท่ ตัวสูง หน้าตาดี แต่ไม่เฉลียวฉลาดเท่าไหร่ ไม่มีใครคิดว่าชาตินี้จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ เป็นแค่นักเลงไร้อนาคตในสายตาคนอื่น และ “โจตะ” ที่แม้มีจิตใจดี เป็นคนตลก มีอารมณ์ขัน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่ก็แสนธรรมดา เป็นพนักงานบริษัททำงานทั่วๆ ไป ไร้คนสนใจ และไม่มีใครมองเห็น
เพื่อนรักที่มีกันแค่สามคน
ตัวละครทั้งสามล้วนเป็นตัวแทนของคนธรรมดา ที่มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน แต่ข้อเสียของพวกเขากลับถูกบริบทของสังคมจับจ้องจนบดบังข้อดีที่แต่ละคนมีจนไม่ได้รับการยอมรับ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกมีความสุขนักกับการมีชีวิตในแต่ละวัน และรู้สึกว่าตัวเองเป็นคน “ไร้ค่า” แต่กระนั้น ถึงคนอื่นจะไม่เห็นค่า พวกเขาทั้งสามกลับมองเห็นคุณค่า และด้านดีของกันและกัน ช่วยเติมเต็มให้ชีวิตในแต่ละวันสามารถดำเนินผ่านไปได้มาตลอด
อะริสุได้ตัดสินใจเลือกบทสรุปของเกมแล้ว
“ฉันน่ะ มีแต่พวกนายเท่านั้น”
“ถ้าจะมีใครซักคนรอดไปได้ …ต้องไม่ใช่ฉัน”
หลังจากต้องห้ำหั่นกันเองเพื่อเอาชีวิตรอด อะริสุ กลับตัดสินใจที่จะออกจากเกม เขาบอกกับเพื่อนทั้งสองว่าตัวเองนั้นเป็นคนไร้ค่าแค่ไหนหากเขาไม่มีเพื่อนอยู่เคียงข้าง และถ้าเลือกได้ เขาขอเป็นคนที่จะต้องตายเสียเองดีกว่า
หลังจากประโยคนี้สิ้นสุดลง อะริสุพยายามวิ่งตามหาเพื่อนของเขาไปทั่วทุกที่ เพื่อส่งตำแหน่งหมาป่าให้กับใครสักคน แต่กลับหาใครไม่พบ ทั้งคารุเบะและโจตะพยายามทุกวิถีทางที่จะหลบซ่อนไม่ให้อะริสุเจอตัว หลังจากที่ทั้งคู่ได้สติกลับคืนมาจากคำพูดของเพื่อนรัก แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ทุกคนก็มีความในใจเหมือนๆ กัน ต่างคนต่างผ่านช่วงเวลาเลวร้ายในชีวิตมาได้เพราะไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ชีวิตที่ต้องแย่งชิงกันแล้วรอดออกไปเพียงตัวคนเดียวนั้น มันไม่ได้มีค่าอะไรกับทั้งสามคนเลย ดังนั้น ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ เมื่อคารุเบะและโจตะมีโอกาส เขาจึงอยากจะมอบโอกาสมีชีวิตให้กับอะริสุ เพื่อนรักที่พวกเขาเชื่อใจมากที่สุดว่าจะต้องมีชีวิตรอด และมีอนาคตที่สดใสแทนพวกเขาได้
ด้วยเหตุนี้ แกะทุกตัวจึงเก็บตัวเงียบ และหลบซ่อน เพื่อไม่ให้หมาป่าหาตัวเจอ
แม้จะวิ่งหาไปทั่วทุกที่ อะริสุก็หาคารุเบะกับโจตะไม่เจอ
หลังจากที่ทุกคนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเกมซ่อนหานี้ อีกไม่กี่วินาที ชีวิตของพวกเขาจะจบลงแล้ว แต่ทั้งคารุเบะและโจตะกลับเลือกที่จะพูดคุยถึงช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านมา ว่าพวกเขาสนุกและโชคดีมากแค่ไหนที่ได้มาเจอกัน และกล่าวขอบคุณกับอะริสุเป็นครั้งสุดท้ายที่ช่วยเรียกสติให้พวกเขาไม่ต้องมาเข่นฆ่ากันเอง และภาคภูมิใจที่ได้ตายแทน เพื่อปกป้องชีวิตของคนที่ตัวเองรัก
“ขอบใจมากนะ” ประโยคสุดท้ายที่คารุเบะพูดกับอะริสุ
หลังจากเรื่องราวในตอนนี้จบลง เราคิดว่าเราได้รับ Message สำคัญจากหนังเป็นอย่างมาก ทำให้เรากลับไปนึกทบทวนตัวเองในหลายๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แม้เรามักรู้สึกว่าชีวิตต้องพบเจออุปสรรคมากมายที่คอยมาขัดขวางไม่ให้เรามีความสุขอยู่เสมอ แต่หากลองนึกย้อนดูดีๆ ก็จะพบว่ามันยังมีเรื่องราวดีๆ คนดีๆ มากมายที่รายล้อมเราอยู่โดยที่เราอาจไม่เคยใส่ใจมองเห็น วันเวลาในชีวิตของเรานั้นมีจำกัด ในขณะที่ตอนนี้เรายังคงมีโอกาสให้ดูแลรักษาสิ่งที่มีคุณค่า เราจึงไม่ควรรีรอและลงมือทำให้เต็มที่ เพราะทั้ง อะริสุ คารุเบะ และ โจตะ หากพวกเขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงเต็มใจเลือกที่จะย้อนกลับไปมีชีวิตแบบเดิม ที่แม้อนาคตข้างหน้าจะยังมองไม่เห็นหนทางที่สดใส แต่พวกเขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ เพราะมีคนสำคัญที่มองเห็นคุณค่าของพวกเขาอยู่เสมอนั่นเอง
Ace
211005
โฆษณา