7 ต.ค. 2021 เวลา 05:15 • กีฬา
Blof Story - จากศูนย์ที่เกาหลีใต้ถึงร้อยที่ไทย
ถ้าเราพูดถึงผู้เล่นตัวแปรสำคัญในสโมสรทั้งหลายในไทยก็คงหนีไม่พ้นนักเตะต่างชาติที่จะเป็นตัวยกระดับทีมหรือสร้างความแตกต่างให้กับทีม
ในช่วงทศวรรษหลังเหล่าแข้งต่างแดนเหล่านี้แทบจะเป็นตัวชี้วัดว่าทีมจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหนเลยทีเดียว
ถึงแม้ค่าเหนื่อยของพวกเขาจะมากมายมหาศาลถ้าเทียบกับเหล่านักเตะไทยในทีม แต่ถ้าการลงทุนนั้นสามารถยืนยันการได้ลุ้นแชมป์ได้ รอดตกชั้นอย่างแน่นอนเหล่าสโมสรก็พร้อมลงทุนกัน
เมื่อเราพูดถึงนักเตะต่างชาติที่ลงเล่นในลีกไทย จะถูกจำแนกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
• Non Asian ก็คือนักเตะที่ไม่ได้มาจากทวีปเอเชียซึ่งแน่นอนนักเตะเหล่านี้จะเป็นอาวุธหลักของแต่ละสโมสร ก็เพราะพวกเขามาจากทวีปมหาอำนาจลูกหนังอย่าง อเมริกาใต้ ยุโรป และแอฟริกาใต้
ความเข้าใจเกม ความสามารถเฉพาะตัว ร่วมถึงความแข็งแกร่งของนักเตะเหล่านี้ดีกว่านักเตะไทยระดับหนึ่งเลยทีเดียว
• Asia ก็จะเป็นนักเตะเพื่อนร่วมทวีปกับพวกเรานั่นแหละ แต่พวกเขามักมาจากประเทศที่ฟุตบอลพัฒนามากกว่าเราอย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือพวกประเทศจากเอเชียกลาง
• และประเภทสุดท้าย ASEAN ได้แก่ ประเทศจากเพื่อนบ้านเรา ซึ่งคุณภาพไม่หนีจากเราเท่าไร ในมุมมองผม นักเตะไทยยังเหนือกว่าด้วยซ้ำ โดยรวมแล้ว
ในบทความนี้ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์นักเตะโควต้าเอเชียคนนึงที่โลดแล่นอยู่ในไทยมาอย่างยาวนาน
ซึ่งมันมีเหตุผลของมันอยู่กับการที่เขาสามารถมาเป็นนักเตะเอเชียที่ยืนระยะได้ในบอลบ้านเรา กับผลงานที่เกินนักเตะเอเชียคนอื่นๆ เขาคือ ‘’Woo Geun Jeong’’
หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า Kaka นักเตะเกาหลีใต้ที่ปัจจุบันอายุ 30 ปี และยังคงไล่ล่าตาข่ายให้กับสโมสรสุโขทัยอยู่ในลีกพระรองนั่นเอง
ในบทความนี้ผมจะเล่าประวัติของ Kaka ผ่าน 100 ประตูของเขาในการค้าแข้งในไทย ซึ่งจารึกเขาให้เป็นนักเตะต่างชาติชาว Asia คนแรกที่สามารถยิงประตูได้ถึง 100 ประตูได้ในไทย
นับศูนย์ที่เกาหลีใต้
ย้อนไปเมื่อตอน Kaka 7-8 ขวบที่เมือง Daejon ประเทศเกาหลีใต้ เขาก็เหมือนเด็กน้อยทั่วๆ ไปที่ชอบเตะบอลเล่นกับเพื่อนๆ
แต่สิ่งที่ที่เขามีแตกต่างกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันนั้น คือความกระหายที่จะยิงประตู Kaka ค้นพบตัวเองตั้งแต่เด็กว่าเขาชอบที่จะยิงประตูเป็นที่สุด
แล้วเด็กน้อยก็ไปเข้าหาอาจารย์จนได้ในช่วงมัธยมต้นเมื่ออายุ 10 ปี เขาใช้เวลาไม่นานที่จะประกาศให้เมืองรู้ว่าเขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในอายุเดียวกัน
ตอนอายุ 12 ปี เขาจึงได้ย้ายไป academy ใหม่ในเมืองเดียวกัน แต่เนื่องด้วยในเมือง Daejon ไม่มีอเคเดมี่มากนัก ทำให้ไม่มีคู่ต่อสู้ที่จะเป็นเครื่องชี้วัดความสามารถที่แท้จริงของเขาได้
และเมื่อเขาเริ่มได้มีโอกาสได้ไปแข่งกับทีมต่างเมือง เขาก็ค้นพบตัวเองว่า เขาไม่ได้เก่งเหนือกว่าคนอื่นอย่างที่คิด แต่นั่นยิ่งทำให้เขากระตือรือร้นเพื่อทำให้สิ่งที่เขาชอบทำให้ได้ดีกว่าเดิม
ตอนอายุ 16 ปี เขาตัดสินใจเข้าเมืองหลวง Seoul เพื่อต่อยอดความฝันของเขา แต่ก่อนที่เขาจะได้ไปร่วมทีมใดทีมนึงที่นั่น เขาก็ได้มีโอกาสได้พบกับเอเย่นนักกีฬาคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้กล่าวถึงโลกฟุตบอลที่อยู่อีกฝากของโลก
เขาบอกกับ Kaka ว่าลูกฟุตบอลไม่ได้มีเพียงเท่าที่เขาเห็น มันยังมีอะไรเยอะกว่านี้มาก และจุดปลายทางในตอนนั้นก็คือประเทศบราซิล ด้วยเหตุผลที่ว่าตอน ณ นั้นทีมชาติบราซิลคือเบอร์หนึ่งของโลก และผลิตนักเตะคุณภาพสู่วงการฟุตบอลได้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งนั้นทำให้เขาสนใจเป็นอย่างยิ่ง และเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณพ่อของเขา ที่เป็นห่วงเด็กอายุ 16 ปี ที่ต้องไปผจญโลกคนเดียวโดยไม่มีประสบการณ์ห่างบ้านมาก่อน และไม่สามารถพูดภาษาได้เลย แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของหนุ่มน้อยได้แต่อย่างใด
นักเตะเอเชียแบบฉบับอเมริกาใต้
และแล้ว Kaka ก็ได้เลือกเดินทางมายังดินแดนฟุตบอลอย่างประเทศบราซิล เพื่อให้ประสาทศาสตร์ลูกหนังให้กับเขาในช่วงเวลาทองในการเรียนรู้ฟุตบอล ซึ่งจะหล่อหลอมนักเตะที่ชื่อว่า Woo Geun Jeong ในการค้าแข้งต่อไป
ในวัย 16 ย่าง 17 เขาได้ร่วมทีมกับ Ituano F.C. ซึ่งเป็นทีมเล็กๆ ในลีกสูงสุดในประเทศบราซิล ณ ตอนนั้น ซึ่งพวกเขามักให้โอกาสเด็กดาวรุ่งในการลงเล่น (Kaka บอกให้เห็นภาพ คล้ายๆ ทีมชลบุรีบ้านเรา แต่ชลบุรีเป็นทีมใหญ่)
อย่างน่าแปลกใจ Kaka รู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพที่สู้พวกเขาได้ จากการร่วมทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี กับสัญญา 3 ปี เขาสามารถถีบตัวเองให้ขึ้นมาเล่นในชุดใหญ่ ได้ 4-5 ครั้ง
แต่หลังจากนั้น 1 ปีครึ่งจากช่วงระยะเวลาสัญญา 3 ปี เขาก็ได้ย้ายทีมไปยังทีมที่ใหญ่กว่าในลีกสูงสุดในบราซิล แต่นั่นก็เหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหรรณ เพราะมันจะเป็นจุดเปลี่ยนอาชีพค้าแข้งตลอดไป...
เขาไม่มีโอกาสลงเล่นแม้แต่เกมเดียว แล้วจึงย้ายสโมสรอีกถึงสองครั้งสองคราแต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย เขาไม่ได้รับโอกาสลงเล่น แต่ตลอดช่วงเวลาบนแผ่นดินแซมบ้าก็ทำให้เขามีสไตล์การเล่นที่ไม่เหมือนนักเตะเอเชียทั่วไป
กล่าวคือบราซิลมีสไตล์การเล่นที่หนัก ผู้เล่นมีความแข็งแกร่ง และมีความสามารถเฉพาะตัวสูงซึ่งตัว Kaka ก็บอกว่าเขาไม่ใช่ผู้เล่นที่สูงใหญ่อะไรจึงต้องปรับตัวในการเล่นเพื่อให้เขากับบอลบราซิลให้ได้ ซึ่งนั้นก็หล่อหลอมให้เขาเป็นผู้เล่นอย่างทุกวันนี้
เมื่อไม่มีโอกาสให้เขาได้โชว์ฝีมือเขาจึงตัดสินใจที่จะออกเดินทางอีกครั้งเพราะสำหรับเขา ฟุตบอลไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้แน่นอน
ช่วงเวลาที่เหมาะสม
เมื่อ Kaka อายุได้ 20 ปี เขาก็ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้งจากความช่วยเหลือของเอเย่น โดยครั้งนี้เขาเลือกที่จะไปยุโรป ประเทศสโลวาเกีย เขาไปคัดตัวกับทีม Zahoraci ซึ่งเป็นทีมโนเนมในยุโรป
แต่พวกเขาก็เล่นในระดับถ้วย Champions League เลยทีเดียว ในการคัด Kaka ต้องเจอกับผู้เล่นที่มาคัดอีก 40 คนจากทั่วโลก หลายเชื้อชาติ และคัดตัวกันเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์
จากความคาดหวังที่จะได้มาโลดแล่นในทวีปยุโรปก็ต้องเปลี่ยนไปเพราะหลัง 1 สัปดาห์เจ้าตัวก็รู้ตัวทันทีว่าเขายังไม่สามารถผู้เล่นคนอื่นได้ ฟุตบอลที่นั่นยากเกินไปสำหรับเขา เขาตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บราซิลเพื่อลองไปหาทีมที่นั่นดูอีกครั้งก่อนที่จะไม่สามารถหาทีมได้
แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่สามารถหาทีมได้จริงๆ เมื่อเส้นทางลูกหนังของเขาดูเหมือนจะจบลงแล้ว เจ้าตัวก็กำลังจะตัดสินใจกลับภูมิลำเนาหลังจากที่ห่างบ้านมาหลายปี
เอเย่นก็ได้พูดถึงประเทศไทย ประเทศที่จะเปลี่ยนชีวิตฟุตบอลของเขาไปตลอดกาล ว่า ณ ขณะนั้นฟุตบอลที่ประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมาก และน่าจะเป็นความคิดที่ดีเลยแหละ ที่จะลองไปค้าแข้งกับฟุตบอลแดนสยามดู
เริ่มนับหนึ่งจนถึงร้อยที่ไทย
ในช่วง 2-3 ปีหลังโชคชะตาไม่ได้อยู่ข้างเขาสักเท่าไหร แต่เด็กหนุ่มวัย 21 ปีออกเดินทางมายังประเทศไทยตามคำบอกเล่าของเอเย่นเพื่อตามหาฝันบนเส้นทางลูกหนัง
ต่อไป
Kaka เดินทางมาพร้อมนักเตะบราซิล 9 คนเพื่อมาทดสอบฝีเท้าในไทยจากคำบอกเล่าของ Kaka ใน 9 คนที่เดินทางมาพร้อมเขาไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหาทีมได้ในที่สุด
ส่วนตัว Kaka ก็ต้องรอจนอายุ 22 ปีเต็ม หรือปี 2012 กว่าจะได้เซ็นสัญญากับสโมสรไทยสโมสรแรกได้แก่ ราชประชา ซึ่งตอนนั้นเล่นอยู่ใน ดิวิชั่น 1 บอลบ้านเรา
ในด้านของฟุตบอล Kaka กลับมองว่าฟุตบอลไทยเล่นยากกว่าลีกบราซิล ที่เขาเคยเล่นมา ณ ตอนนั้น ในหนึ่งทีมสามารถมีผู้เล่นต่างชาติในทีมได้ถึง 7 คนและสามารถลงเล่นได้พร้อมกัน 5 คนในสนาม
ทำให้เขาต้องเผชิญกับผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลก ทุกรูปแบบ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยในช่วงแรกกับการปรับตัว แต่สิ่งนึงที่เขาทำได้ดีในการมาเล่นต่างแดนในรอบนี้คือการพยายามเรียนรู้ภาษาซึ่งเป็นบทเรียนของเขาตอนที่ไปบราซิลใหม่ๆ ที่เขาไม่สามารถสื่อสารได้
ซึ่งนั้นส่งผลต่อการเล่นของเขาโดยตรง รอบนี้เขาจึงพยายามเรียนรู้ภาษาไทยให้เร็วที่สุด แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลภายในทันทีอย่างแน่นอน เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าภาษาไทยยากขนาดไหน
ซึ่งนั่นก็ทำให้เลกแรกของเขาผลงานไม่ดีสักเท่าไร พอไม่สามารถสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมได้ แต่ในเลกที่ 2 หลังจากที่มีการเปลี่ยนโค้ชบวกกับภาษาที่ดีขึ้นเขาก็สามารถยิงไปได้ถึง 7 ประตูในตำแหน่งกองหน้าของทีม
“7”
ในฤดูกาลต่อมา ในปี 2013 เขาได้ย้ายไปเล่นกับทีมทัพทหารเรือ ราชนาวี ซึ่งเป็นทีมร่วมลีกดิวิชั่น 1 ที่ตอนนั้นถือเป็นทีมที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับราชประชา
Kaka สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้เกือบตลอดทั้งฤดูกาล และสามารถยิงไปได้อีก 12 ประตู จนถึงตอนนี้เขาเริ่มค้นพบตัวเองแล้ว ว่าเขาชอบประเทศไทย
และไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลอย่างเดียว แต่เป็นทุกๆ อย่าง ผู้คนที่น่ารัก แฟนบอลที่อบอุ่นและให้กำลังใจทีมรักของเขา ทำให้เขาได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบอลไทยไปแล้ว
.งที่ทำให้เขาประทับใจมากกว่าฟุตบอลที่บราซิลก็คือ ที่นี่ไม่มีเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ ต่างจากประเทศบราซิลที่เขาต้องเจออยู่บ่อยครั้ง
‘’19’’
สู่ปี 2014 Kaka ก็ได้ตัดสินใจย้ายไปทีม นครปฐม ยูไนเต็ด สโมสรที่ 3 ของเขาบนแผ่นดินไทย โดยมีเบื้องหลังคือ โค้ชวิมล จันทร์คำ โค้ชของนครปฐมในขณะนั้น
ซึ่งเคยเป็นกองหน้าคู่บุญของ Kaka ตอนที่ค้าแข้งอยู่ที่ราชประชา และก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของทั้งทีมนครปฐม โค้ช และผู้เล่น
เพราะผลงานของทีมดีขึ้น และ ตัว Kaka ก็ยิงประตูได้มากขึ้นด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว โดยเขายิงได้ 16 ประตูในปีนั้น
‘’35’’
ฤดูกาล 2015 Kaka และทีมก็ยังคงทำผลงานได้อย่างต่อเนื่องซึ่งก็เหมือนว่าเขาเป็นผู้เล่นขาประจำที่ทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำในทุกๆ ฤดูกาลไปแล้ว
ในฤดูกาลนั้นเขาเป็นผู้เล่น 1 ใน 3 ที่ทำประตูได้มากที่สุดในดิวิชั่น 1 ด้วยการยิงประตูไป 20 ประตู ส่งเขายิงประตูรวมในไทยเกินครึ่ง 100
“55”
เมื่อเขาสามารถโชว์ผลงานได้อย่างสวยงามกับทีมนครปฐม และไม่คิดว่าสามารถจะทำได้ดีกว่านี้อีก Kaka ก็เริ่มคิดทบทวนกับตัวเองเพื่อตามหาความท้าทายใหม่
นั่นทำให้กองหน้าเกาหลีใต้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม BBCU ในปี 2016 ซึ่งในขณะนั้นเล่นอยู่ในไทยลีก ทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นไปเล่นบนลีกสูงสุดของประเทศไทย
1
ซึ่งเขาก็ยอมรับตรงๆ ว่าไทยลีก เป็นลีกที่ยากกว่า Division 1 หรือ T2 ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทุกทีมเล่นกันเป็นระบบมากขึ้น ผู้เล่นที่มีคุณภาพมากขึ้น แข็งแกร่ง และมีความเป็นมืออาชีพสูงขึ้น
แต่ถึงกระนั้น Kaka ก็ยังคิดว่าเขาทำผลงานส่วนตัวได้ดีกับการยิงไป 12 ประตูในฤดูกาลนั้น ถึงแม้ทีมจะผลงานไม่ดีตามไปด้วยและตกชั้นไปในที่สุด
“67”
หลังจากทีม BBCU ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เหล่านักเตะต้องแยกย้ายกันไป Kaka ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน และเป็นทีม PTT ระยอง ที่ได้ตัวกองหน้าคนนี้ไปกับสัญญา 2 ปี
ในปี 2017 PTT ถือว่าเป็นทีม T2 ที่มีความพร้อมสูงมากถูกเปรียบเทียบว่าคุณภาพแทบไม่แตกต่างกับ T1 เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการจัดการ หรือคุณภาพผู้เล่นก็ตาม
ซึ่ง Kaka ก็ยังคงรักษามาตรฐานของเขาเอาไว้ได้เมื่อเขาสามารถยิงได้ 10 ประตูในปีแรก แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง
เมื่อเขากำลังไปได้สวยกับทีมและกำลังจะช่วยทีมไล่ล่าความสำเร็จต่อในปีที่ 2 เขาก็มีเหตุต้องกลับเกาหลีใต้กระทันหัน
ในช่วงปิดฤดูกาลเนื่องจากน้องชายของเขามีอาการป่วยหนักจนถึงขั้นต้องเข้าห้องฉุกเฉินและต้องการตัวเขาไปช่วยดูแล
“77”
เมื่อเขาจะต้องกลับไปที่เกาหลีใต้เพื่อทำหน้าที่สมาชิกครอบครัวที่ดี เขาก็ไม่ค่อยมีกระจิตกระใจในการเล่นฟุตบอลเท่าไหร่ และคิดว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาเล่นบอลที่ประเทศไทยแล้วด้วยซ้ำ
เขาตัดสินใจย้ายซบทีม K2 ที่มีชื่อว่า Suwon ที่ๆ เขาใช้ช่วงเวลาส่วนมากบนม้านั่งสำรอง และลงเล่นเพียง 10-15 นัด
และเมื่อเขาไม่ได้มีความสุขในการใช้ชีวิตจึงส่งผลต่อผลงานในสนามของเขาด้วย เมื่อเขายิงได้เพียง 2 ประตูในฤดูกาล 2018
แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ เมื่อน้องชายที่เขาต้องดูแลอยู่นั้น อยู่ๆก็หายเป็นปกติอย่างมหัศจรรย์ ทำให้เขาหมดพันธนาการและเล่นกับ Suwon
อีกเพี่ยงครึ่งปี ก่อนที่เขาจะพบว่าบอลแดนโสมเริ่มยากไปสำหรับเขาและได้ย้ายกับมาเล่นฟุตบอลยังดินแดนที่ใจเขาโหยหา
ประเทศไทย ซึ่งเป็นทีม อยุธยา ยูไนเต็ด ที่ได้ตัว Kakaไปบู๋ในเลก 2 ของฤดูกาล 2019 และ Kaka ก็ตอบแทนความไว้ใจ และฉลองการกลับมาด้วยการเป็นกำลังหลักเลก 2 ในการลงในการลงเล่น 19 นัดพร้อมซัดไป 8 ประตู
“85”
กองหน้าเทพ T2 กลับมาที่ไทยกับฟอร์มอันร้อนแรง ทำให้เขาไปสะดุดตาทีม เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่ T2 ที่มีเป้าหมายคือการขึ้นชั้นอย่างชัดเจน ร่วมแย่งตัวเขาพร้อมกับ นครปฐม ทีมเก่าที่เขาเคยอยู่
แต่เขาก็ตัดสินใจร่วมทีมกับทีมเชียงใหม่ ยูไนเต็ดในที่สุด ซึ่งในช่วงแรกกับการเล่นให้กับทีมแห่งเมืองล้านนาไม่ง่ายเลยสำหรับเขา เพราะเขาถูกโค้ชต่างชาติจับให้ไปเล่นในตำแหน่งกลางตัวรุก
ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของเขาในการค้าแข้ง ทำให้เขาสามารถยิงประตูได้เพียงลูกเดียวในเลกแรก จนกระทั่งเลก 2
การมาถึงของโค้ชต่างชาติคนใหม่ที่จับเขาไปเล่นที่ตำแหน่งถนัดเดิม เขากลับมาฟอร์มเข้าฟักและกดไป 11 ประตูพร้อมช่วยทีมขึ้นชั้นได้เป็นโบนัส ทำให้เขาตอนนี้ทำประตูรวมมาจอ 100 อยู่ที่ 97 ประตู
“97”
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อทีมขึ้นชั้นแต่มีการเปลี่ยนแปลงโค้ชทำให้เขาไม่ได้อยู่ช่วยทีมต่อในไทยลีก
แต่ก็ไม่นานหลังจากที่กองหน้าคนนี้ไร้สังกัดทีม สุโขทัย เอฟซี ที่เพิ่งอกหักจากไทยลีกปี 2019 เล็งเห็นถึงศักยภาพของเครื่องจักรถล่มประตูโควต้าเอเชียคนนี้
ก่อนที่จะเซ็นเข้าทีมเพื่อลุย T2 ในปี 2020 หลังจากลีกเปิดไป 3 นัด Kaka ก็บวกประตูให้ตัวเองไปอีก 2 ประตูส่งตัวเองให้ไปจ่อ 100 อยู่ที่ 99 ประตู
แต่ถึงกระนั้น Kaka ก็ไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด และเชื่อมั่นว่าไม่ช้าก็เร็ว ประตูที่ 100 ของเขาต้องมาถึง และให้ความสำคัญไปที่ผลงานของทีมซะมากกว่า
แต่แน่นอนทุกครั้งที่เขาได้โอกาส เพชรฆาตคนนี้ก็พร้อมยิงประตูให้ทีม และตัวเองทันที นอกจากนี้ในฤดูกาลนี้ตัวเขายังมีเป้าหมายที่จะยิงประตูให้ได้มากกว่าฤดูกาลที่แล้วอีกด้วย
แล้วในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ในเกมที่สุโขทัยพบกับชัยนาท ฮอร์นบิล เอฟซี เขาก็สามารถยิงประตูที่ 100 ของเขาได้พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเองได้สำเร็จ
ตลอดการค้าแข้งของเขาในไทยกว่า 8 ปี เขาผ่านช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี ทั้งสุขและทุกข์แต่เขาก็สามารถเริ่มนับหนึ่งจนมาถึงร้อยได้ในที่สุด
และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะชาวเกาหลีใต้คนแรกที่สามารถยิงประตูในลีกไทยได้ถึง 100 ประตู
“100”
นักบอลชาวเกาหลีใต้คนนี้ได้ทุ่มเทและพเนจรไปที่ต่างๆเพื่อตามหาฝันของเขา แล้วก็เป็นประเทศไทย ที่ได้หยิบยื่นโอกาสทางฟุตบอลให้กับเขา
Kaka ได้บอกกับผมว่า ถ้าเขาไม่ได้รับโอกาสในการเล่นฟุตบอลที่นี้ อาชีพฟุตบอลของเขาก็คงต้องจบลงไปนานแล้ว จะว่าได้ว่าถึงแม้ว่าเขาจะมีเชื้อชาติเกาหลีใต้ แต่หัวใจของเขาก็เป็นคนไทยไปแล้ว
ที่นี่คือบ้านของเขา เขามีเพื่อนที่นี่มากกว่าที่บ้านเกิดของเขาอีก นั่นคือเหตุผลที่นักเตะคนนี้เปรยๆ ไว้ว่าเขาอยากแขวนสตั๊ดบนแผ่นดินไทย
และในอนาคตเขาอยากคงทำงานในสายฟุตบอลในบอลบ้านเราในฐานะผู้ฝึกสอน และเขาอยากเป็นโค้ชระดับอาชีพเลยทีเดียว
ไม่ว่าในอนาคตเขาจะไปอยู่ที่ไหนบนโลกก็ตามเขาก็เชื่ออย่างยิ่งว่าฟุตบอลจะเป็นคนนำเขาไป เพราะฟุตบอลได้มอบชีวิตให้กับเขา ถ้าไม่มีฟุตบอล ก็จะไม่มีผู้ชายที่ชื่อ “Woo Geun Jeong’’
ชายที่มีหลักในการดำเนินชีวิตที่ว่า ทำทุกวันให้ดีกว่าเมื่อวาน พยายามทุกวัน เชื่อมันในตัวเองแล้วสักวันมันจะเกิดขึ้นจริง
ขอบคุณ Woo Geun Jeong
*ประตูนับเฉพาะบอลลีกเท่านั้น
**ถึงตอนนี้ Woo Geun Jeong ยิงไปแล้ว 101 ประตู
โฆษณา