8 ต.ค. 2021 เวลา 12:00 • หนังสือ
📚 รีวิวหนังสือ Limitless เราจะปลดล็อคและพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของเราได้อย่างไร? 📚
Limitless : Upgrade your brain, learn anything faster, and unlock your exceptional life ☄️
เขียนโดย Jim Kwik
👉🏻 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เขียนโดย Jim Kwik ผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สอนและโค้ชเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาการใช้สมอง (Brain Coach) และการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาความจำ การเรียนรู้หรืออ่านให้ได้เร็วขึ้น โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายในอเมริกาที่จ้างเค้าให้มาสอนและให้คำปรึกษาในด้านนี้ไม่ว่าจะเป็น Nike, GE, SpaceX หรือ Virgin
2
แต่ที่เจ๋งเลยคือจิมได้รับการว่าจ้างให้ไปโค้ชนักแสดงในเรื่อง X-Men ในเรื่องของการท่องจำบท ซึ่งตัวเค้าเองนั้นคลั่งไคล้การ์ตูนของมาร์เวลเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ทำให้ตัวเค้าพูดถึงเรื่องนี้บ่อยในหนังสือเลยหละครับ 😁
1
อย่างที่บอกว่าตัวผู้เขียนเองมีชื่อเสียงอย่างมากในด้านการสอนเทคนิคการจำ จำบท หรือสุนทรพจน์ไว้พูดในที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งการจำชื่อคน จำตัวเลข ซึ่งผมรู้จักเค้ามาจากการได้มีโอกาสดูเค้าใน YouTube ที่เค้าไปพูดในงานต่าง ๆ เรียกว่าเป็นคนที่มีเทคนิคการสอนและการจำที่น่าสนใจมาก ๆ เลยครับ ซึ่งผลงานของเค้าก็มีตั้งแต่การทำ podcast, YouTube, การบรรยายในงานต่าง ๆ, เปิดคอร์สสอนเกี่ยวกับเรื่องการเรียนรู้และการจดจำให้ได้เร็วและมีประสิทธิภาพ และผลงานอีกอย่างก็คือหนังสือเล่มนี้ครับ
📍 โดยหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเอาแนวคิดในการที่จะช่วยทำให้คนเราสามารถ “unlock” หรือปลดปล่อยศักยภาพในตัวเราออกมาให้มากที่สุดซึ่งเราสามารถนำไปใช้ได้ในการจะเรียนรู้หรือการจะทำอะไรก็ตาม ซึ่งเค้าบอกไว้ว่าการที่คนเราจะสามารถปลดปล่อยศักยภาพแบบก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ แบบ “limitless” ออกมาได้นั้นประกอบไปด้วย 3 สิ่ง ได้แก่ Mindset, Motivation และ Method
……………..
“Limitless Mindset” 🧠
สิ่งแรกที่ผู้เขียนบอกไว้ว่าเราต้องมีก่อนเลยก็คือ mindset อย่าง growth mindset เพราะ mindset เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความเป็นไปได้
1
“Mindset creates possibilities” 🤩
2
ลองนึกดูนะครับว่าหากเราบอกกับตัวเองเสมอว่าเรื่องนี้เราทำไม่ได้หรอก มันก็แทบจะเหมือนการปิดประตูความเป็นไปได้แต่แรกแล้ว
🌡 มีตัวอย่างหนึ่งที่เค้ายกมาแล้วค่อนข้างชอบเพราะแปลกดีและไม่เคยได้ยินจากที่อื่นมาก่อนก็คือ เรารู้จัก thermometer ที่ไว้ใช้วัดอุณหภูมิ กับ thermostat ที่เป็นตัวปรับอุณหภูมิใช่มั้ยครับ เค้าบอกว่าให้เราทำตัวให้เป็น thermostat แทนที่จะเป็น thermometer เพราะว่า thermometer นั้นมีหน้าที่อย่างเดียวคือวัดค่าและเป็นไปตามสภาพแวดล้อมเท่านั้น เหมือนคนส่วนใหญ่ที่เวลาเจอข้อจำกัดอะไร เราก็จะทำตามข้อจำกัดนั้น ๆ แต่ thermostat จะแตกต่างกันคือ มันจะมีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเอง ก็คือเหมือนกับเราต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเราขึ้นมาเองครับ หากเราเจอข้อจำกัดอะไรให้เราพยายามกำจัดหรือจัดการกับมันเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายของเราได้
3
❎ นอกจากนี้เค้ายังพูดถึงความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนรู้ อย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “knowledge is power” ใช่มั้ยครับ แต่เค้าบอกว่านี่เป็นความเชื่อที่ผิด จริง ๆ แล้ว “knowledge is potential power, it becomes power when you use it” ความรู้นั้นก็เป็นเหมือนสิ่งที่น่าจะเป็นพลังได้ แต่มันจะเป็นพลังได้จริง ก็ต่อเมื่อเรานำไปใช้ครับ
1
❎ อีกเรื่องก็คือเรื่องที่เราได้ยินกันบ่อยว่า “Genius is born“ คืออัจฉริยะนั้นเป็นมาแต่กำเนิด แต่จริง ๆ แล้วคนที่เป็นอัจฉริยะนั้นเบื้องหลังเกิดจากการทำบางอย่าง เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนัก แต่คนส่วนใหญ่นั้นเห็นแค่เบื้องหน้าเท่านั้นเอง
การปรับ mindset ของตัวเราเองก่อนว่าเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด เราสามารถทำสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะทำได้ได้นั้น เป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกในการปลดล็อคศักยภาพของตัวเราเองเลยครับ 🙂
……………..
“Limitless Motivation” ❤️‍🔥
“Motivation is not something you have; it is something you do”
“Motivation” หรือ “แรงจูงใจ” นั้นจริง ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราจะ enjoy ในสิ่งที่เราทำอยู่เสมอไปนะครับ แต่มันเกิดจากการมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ชัดเจน รวมกับ energy ของเราแล้วก็ small simple steps คือการค่อย ๆ ทำทีละเล็กทีละน้อยครับ
1
🌟 “Motivation = Purpose x Energy x Small Simple Steps” 🌟
👉🏻 หากเราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็อาจจะทำให้ motivation ที่เรามีนั้นไม่ยั่งยืนนะครับ เช่น หากเราต้องการจะออกกำลังกาย เราก็อาจจะมีแรงฮึดทำได้ดีในช่วงแรก ๆ แต่หากเราขาดสิ่งที่เรียกว่า “Purpose” ว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร เราก็อาจจะล้มเลิกไปได้ง่าย ๆ แต่หากเรามีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในตัวเราเองแล้ว เช่น เราต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีอายุยืนได้อยู่กับลูก ๆ ไปนาน ๆ มันก็จะทำให้เราทำมันได้อย่างสม่ำเสมอครับ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราไปเลยครับ
🥇 สำหรับเรื่องของการหา “purpose” ของเรา ผู้เขียนก็ได้แนะนำหนังสือโปรดของตัวเค้าอย่าง “Start with Why” ที่เขียนโดย Simon Sinek โดยหนังสือจะเล่าเรื่องความสำคัญของการมีเหตุผลว่าเราจะทำอะไรไปทำไม
1
🥈 สิ่งถัดมาคือ “Energy” ก็คือพวกอาหาร การออกกำลังกายและการนอนหลับที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงหรือมีพลังจะทำสิ่งที่เราอยากจะทำได้ดีครับ โดยในหนังสือเค้าได้แนะนำพวกอาหารที่ช่วยบำรุงสมองของเรา อย่างพวก ไข่ อะโวคาโด บลูเบอรี่ บร็อคโคลี่ หรือแม้กระทั่งดาร์กช็อกโกแลต
ซึ่งนอกจากการรับประทานอาหารที่ดีและการนอนหลับพักผ่อนที่ดีและเพียงพอแล้วนั้น เราควรจะกำจัดสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า “ANTS” หรือ “Automatic Negative Thoughts” คือการคิดอะไรเชิงลบ เช่น การบอกตัวเองเราว่าไม่เก่งพอ ไม่ฉลาดพอที่จะทำอะไรที่คิดไว้ได้ อีกทั้งการอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสังคมที่ดีที่พร้องสนับสนุนเชิงบวกให้กับตัวเรานั้นก็เป็นสิ่งที่มีผลทำให้เรามีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้นได้ครับ
1
🥉 สิ่งสุดท้ายที่เป็นส่วนประกอบของ Motivation ก็คือ “Small Simple Steps” ซึ่งก็คือการทำสิ่งเล็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ จนเป็นนิสัยครับ โดยผู้เขียนได้อ้างอิงถึงหนังสือที่พูดเรื่องนิสัยเล่มดัง 3 เล่มเลยครับทั้ง “Tiny Habits”, “Atomic Habits” รวมถึง “Power of Habits” ที่จะสอนเราในการเริ่มทำสิ่งเล็ก ๆ จนกลายเป็นนิสัย
และสุดท้ายหากเรามี Motivation ที่สม่ำเสมอแล้วเวลาเราทำสิ่งเหล่านั้น เราก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “Flow” ครับ ซึ่งก็คือการที่เราเพลิดเพลินและโฟกัสกับการทำสิ่งเหล่านั้นจนเราแทบจะลืมเวลาไปเลยครับ หากใครสามารถไปจุดที่เรียกว่า flow ได้แล้วเราก็จะไม่รู้สึกเหน็ดเหนือย ท้อ หรือ “burn out” จากสิ่งเหล่านั้นครับ
……………..
“Limitless Method” ⚙️
ส่วนประกอบสุดท้ายของการปลดล็อคตัวเราเอง ในเมื่อเรามี mindset ที่พร้อมจะลุยแล้ว อีกทั้งยังมี motivation อย่างแรงกล้าและทำอย่างสม่ำเสมอแล้ว อีกสิ่งที่ขาดไปเลยไม่ได้ก็คือ “วิธีการ” นั่นเองครับ และต้องเป็นวิธีการที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพด้วยนะครับ
ผู้เขียนได้พูดถึงการเรียนครับ ว่าจะเรียนอย่างไรให้ได้ดีขึ้น? 📚📖📑
💡 เค้าบอกไว้ว่าเราส่วนใหญ่มักจะมีวิธีการเรียนในรูปแบบเดิม ๆ ที่สอนกันมาแต่นมนาน ถามว่ามีกี่คนครับที่ได้เรียนรู้ถึง “วิธีการเรียนที่มีประสิทธิภาพ” ซึ่งเรื่องนี้แทบไม่เคยมีใครสอนในโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ ถูกมั้ยครับ?
ทั้ง ๆ ที่โลกในปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ๆ มีเรื่องใหม่ ๆ ที่เราต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ กลายเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ แต่เรากลับใช้วิธีเดิม ๆ ในการเรียนรู้ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีประสิทธิภาพมั้ย 🤨
หลายต่อหลายคนใช้วิธีการเรียนด้วยการโหมอ่านหนังสือก่อนสอบเพียงไม่กี่วัน ซึ่งจากผลการวิจัยหลาย ๆ ที่บอกว่าไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ ซึ่งผู้เขียนได้แนะนำเทคนิคการเรียนไว้ดังต่อไปนี้ครับ
1. Active recall 📖 คือเวลาเราอ่านหนังสือนั้นเมื่ออ่านพอจบซักบทให้เราลองปิดหนังสือแล้วลองเขียนหรือนึกดูว่าเราจำอะไรได้บ้างทันที เสร็จแล้วให้อ่านอีกรอบแล้วทำซ้ำ ๆ เหมือนเดิมครับ การทำแบบนี้มันจะเป็นการกระตุ้นสมองให้จดจำสิ่งเหล่านั้นได้ดีมากขึ้นครับ มีผลการวิจัยบอกว่าต้องทำอย่างน้อย 4 รอบแล้วจะจำได้ดีครับ
1
2. Spaced repetition 🔂 ต่อเนื่องจากข้อที่แล้วก็คือการทำซ้ำนั่นเองครับ ทบทวนซ้ำ ๆ วนไปครับ
3. Manage the state you’re in 🧘🏻‍♂️ หากเราอยู่ในอารมณ์ที่ดี ก็จะทำให้เราเรียนหรือจดจำได้ดีขึ้นด้วยครับ นอกจากนี้ท่าทางการนั่งอ่านหนังสือของเราก็ต้องอยู่ในท่าที่สบายครับ
3
4. Use your sense of smell 🪔 ข้อนี้ค่อนข้างแปลกเลยครับ เค้าบอกว่ากลิ่นหอมก็มีผล ถ้าเราอยู่ในห้องที่มีกลิ่นหอมที่เราชอบ ก็จะช่วยเราได้ครับ (อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กลิ่นเหม็นนี้ไม่ดีแน่ ๆ ครับ 😅)
5. Music for the mind 🎶 ข้อนี้คงคล้าย ๆ กับเรื่องกลิ่นที่ผมมองว่าแล้วแต่คน บางคนได้ฟังเพลงแล้วมีสมาธิ อ่านหนังสือ ทำงานได้ดีขึ้น แต่บางคนชอบเงียบ ๆ มากกว่า (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ในโพสต์เรื่องของการอ่านหนังสืออย่างไรไม่ให้เบื่อครับ ส่วนตัวชอบฟังเพลงบรรเลง และตอนนี้ชอบฟังเพลง classic บรรเลง ลองหาใน YouTube คำว่า “classical music for studying” หรือ “music for brain power” ดูครับ)
6. Listen with your whole brain 👂🏻 ให้ฝึกตั้งใจฟังให้ดีครับ เค้าบอกว่าคนที่เรียนได้ดีส่วนใหญ่นั้นมีทักษะการฟังที่ดี จับใจความได้ เพราะการฟังกับการเรียนรู้นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างมาก
1
7. Take notes of taking notes 📝 ให้จดโน้ตครับโดยเค้าแนะนำให้จดด้วยมือแทนที่จะใช้คอมพิวเตอร์ (หลาย ๆ แหล่งแนะนำแบบนี้เหมือน ๆ กันครับ) โดยเทคนิคคืออย่าจดทุกเรื่องที่ได้ยินครับ เพราะเราไม่มีทางที่จะจดทันคนพูดได้แน่นอน มิหนำซ้ำจะทำให้เราเสียสมาธิไปอีกด้วย นอกจากนั้นควรจะฟังแล้วจดลงเป็นภาษาของเราเอง เพราะจะทำให้สมองเราได้ประมวลผลก่อนที่จะจดลง นอกจากนี้เวลาให้เราเขียนเพิ่มไปในโน้ตเราด้วยการตอบคำถามว่า How can I use this? Why must I use this? แล้วก็ When will I use this? ก็คือเราจะใช้อย่างไร ทำไมต้องใช้แล้วจะใช้ได้เมื่อไหร่ ผู้เขียนเรียกเทคนิคนี้ว่า “Capture and create” สุดท้ายหลังการจดให้ทำการอ่านทบทวนทันทีครับ ถ้าทิ้งไว้เราก็จะค่อย ๆ จำมันไม่ค่อยได้ครับ
นอกจากเทคนิคการเรียนแล้วผู้เขียนยังมีเทคนิคการอ่านหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ให้ได้ดีด้วยครับ ซึ่งเค้าเรียกเทคนิคนี้ว่า “FASTER” ซึ่งมาจาก Forget, Act, State, Teach, Enter, Review 💨
💡 ซึ่งก็คือให้เราลืมสิ่งที่เรารู้ไปให้หมดก่อน เหมือนการทำตัวเป็นแก้วที่ว่างพร้อมเติมความรู้ใหม่ ๆ ลงไป เรียนรู้แล้วให้เราฝึกปฏิบัติครับ แล้วให้เราทำให้เราอยู่ในสภาวะที่พร้อมเรียนรู้ด้วย (มีความสุข) ขั้นต่อมาคือนำไปสอน เล่าหรือพูดคุยกับคนอื่นต่อ ต้องบล็อกเวลาเอาไว้สำหรับการเรียนรู้ของเรา แล้วก็หมั่นทบทวนสม่ำเสมอครับ
1
……………..
“Memory” 🧠
ในเรื่องของความจำ ที่มีหลาย ๆ คนถามผู้เขียนอย่างมากมายว่า จะทำอย่างไรให้ความจำดีขึ้น ซึ่งผู้เขียนได้ให้เทคนิคการจำเรื่องต่าง ๆ ไว้ คือ Motivation, Observation แล้วก็ Methods ครับ คือเราต้องมีแรงจูงใจก่อนว่าจะจำเรื่องเหล่านั้นไปทำไม แล้วก็ให้รู้จักสังเกตและใส่ใจในเรื่องนั้น ๆ และสุดท้ายต้องมีวิธีการครับ
💡 นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการจำเนื้อหายาว ๆ เช่น สุนทรพจน์ ที่เราต้องจำไปพูด โดยไม่ใช้โน้ต โดยเค้าแนะนำเทคนิคที่ชื่อว่า “Loci method” ซึ่งคือการเอาหัวข้อหลัก ๆ หรือ key words ที่เราต้องพูดไปผูกกับสถานที่ที่เราคุ้นเคยอย่างดี เช่น ในบ้านของเรา เค้าก็ยกตัวอย่างว่า ให้เรานึกภาพเราเดินเข้าไปในบ้านเราจะเจออะไรบ้าง สมมติว่าเจอตู้รองเท้าก่อน เราก็เอาหัวข้อหรือ key words แรกไปผูกไว้กับตู้รองเท้า เดินต่อไปเจอโคมไฟ ก็เอาหัวข้อต่อไปไปผูกโยงไว้กับโคมไฟ พอครบก็ให้เราลองนึกภาพเราเดินไปในบ้านแล้วเจอสิ่งเหล่านั้นตามลำดับ ก็จะช่วยให้เรานึกถึงหัวข้อเหล่านั้นได้ตามลำดับครับ (น่าทึ่งครับ 🤩 ผมน่าจะได้เรียนรู้เทคนิคแบบนี้มาตั้งนานแล้ว!)
……………..
“Speed Reading” 📖
อีกเทคนิคหนึ่งที่ผู้คนสนใจกันมากคือ การอ่านให้เร็ว เพราะหากเราสามารถอ่านได้เร็ว โดยที่สามารถจับใจความสำคัญได้ดี นั่นเท่ากับว่าทำให้เราได้เปรียบคนอื่นอย่างมากเลยนะครับ เพราะทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าคนอื่นในเวลาที่เท่ากัน ซึ่งผู้เขียนได้บอกต่อไปว่าสิ่งที่ทำให้คนเราอ่านได้ไม่เร็วเท่าที่ควรก็คือสิ่งต่อไปนี้ครับ
1️⃣ Regression การอ่านกลับไปกลับมา
2️⃣ Outdated skills ใช้ทักษะการอ่านแบบเดิม ๆ (เราเคยเรียนเรื่องทักษะการอ่านกันมั้ยครับ?)
3️⃣ Subvocalization คือการออกเสียงในใจ ทำให้ความเร็วในการอ่านโดนจำกัดไว้ที่ความเร็วของการพูด
📌 แล้วเทคนิคการอ่านให้เร็วทำอย่างไรครับ?
1. ใช้นิ้วหรืออะไรลากชี้ตามสิ่งที่เราจะอ่าน (Visual pacer) เค้าบอกว่าเพิ่มความเร็วได้ถึง 25 -100% เลยนะครับ
1
2. ฝึกอ่านบ่อย ๆ รวมถึงฝึกการใช้ visual pacer
3. อย่าอ่านทีละคำ ให้มองเป็นกลุ่มคำหรือประโยค เช่น คำว่า report card คนมักจะอ่านทีละคำเป็นสองคำ แต่ให้เราอ่านรวบไปเลยเป็นคำเดียว เพราะความหมายเราก็เข้าใจได้อยู่แล้ว
1
4. หากติดการอ่านแบบออกเสียงในใจ ให้ลองฝึกเปล่งเสียงนับเลขออกมาระหว่างอ่าน จะทำให้เราหยุดการออกเสียงในใจได้
5. ถือหนังสือขึ้นมาตรงหน้าระดับสายตาแทนที่จะวางอยู่บนโต๊ะ
6. อ่านแต่ละครั้งอย่าเกิน 20-25 นาทีเพราะคนเรามีความสามารถโฟกัสได้มากสุดเท่านี้
7. อ่านหนังสือเป็นประจำให้เป็นนิสัย
ใครลองแล้วได้ผลยังไงมาลองบอกกันบ้างครับ 🙂
……………..
“Thinking” 🤔
หัวข้อสุดท้ายที่ผู้เขียนบอกว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการ หรือ “limitless method” คือการฝึกคิด โดยเค้าแนะนำหนังสืออย่าง “Six Thinking Hats” ของ Edward de Bono ที่จะสอนให้เรารู้จักคิดให้รอบด้านทุก ๆ ด้าน
นอกจากนี้ในเรื่องการตัดสินใจก็มีกฎ 40/70 Rule คืออย่าตัดสินใจถ้ามีข้อมูลน้อยกว่า 40% ให้ตัดสินใจเมื่อมีข้อมูลมากกว่านั้น แต่ไม่เกิน 70% เพราะถ้ามากกว่านั้นก็อาจจะสายไปแล้ว
1
ในเรื่องของการที่จะทำอะไรใหม่หรือปลดล็อคตัวเอง เราต้องรู้จักการคิดแบบ “exponential thinking” ซึ่งจะทำให้เราก้าวกระโดดได้มากกว่าการคิดแบบเชิงเส้นตรง (incremental thinking) ถามว่าแล้วการคิดแบบ exponential thinking ทำอย่างไรครับ?
• ให้เราเริ่มจากการหาต้นตอของปัญหาจริง ๆ ให้ได้ก่อน
• ให้ใช้ what-if (ถ้า...) เพื่อตั้งคำถามและหาแนวทางใหม่ ๆ
• ให้อ่านครับ ความรู้มีมากมายทั้งในหนังสือและสื่อต่าง ๆ ทางอินเตอร์เน็ตมากมาย
• ให้ลองคิดสมมุติแบบคาดการณ์ล่วงหน้าดูครับว่าถ้าลองทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นแล้วเจออะไรก็เอามาปรับแก้ครับ
3
……………..
2
👉🏻 หนังสือเล่มนี้นอกจากจะตอบโจทย์คนที่อยากได้เทคนิคต่าง ๆ ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การเรียนหนังสือ หรือเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญกับเราอย่าง สุขภาพ การงาน ครอบครัว แล้วยังช่วยกระตุ้นหรือชวนให้เราคิดถึงในสิ่งที่เราเคยคิดว่าเราทำไม่ได้ในเรื่องใด ๆ ก็ตามว่าหากเรานำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ ก็อาจจะช่วยทำให้เราทำสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าเป็นไปได้ให้สำเร็จได้อีกด้วย
📌 ในเรื่องของการเรียนรู้ที่หนังสือเล่มนี้ก็ได้ย้ำตลอดว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในโลกยุคปัจจุบัน การเรียนรู้ของเราที่ต้องใช้สมองเป็นหลักนั้นสามารถพัฒนาได้อย่างแน่นอน เหมือนกับร่างกายของเราที่สามารถพัฒนาได้เช่นกันจากการฝึกฝน การออกกำลังกาย เช่นเดียวกันกับสมองที่หากได้รับการฝึกฝนบ่อย ๆ ก็ทำให้พัฒนาขึ้นมาได้
หนังสือเล่มนี้ได้ให้ “roadmap” หรือแนวทางไว้สำหรับใครที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเองและปลดล็อค ”ข้อจำกัด” หรือ “ข้ออ้าง” ที่เรามักจะมีเสมอ และหากว่าเราสามารถพัฒนาตัวเองให้สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วขึ้น ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็น่าจะทำให้เราได้เปรียบคนอื่นมากเลยทีเดียวครับ...😃
“The only way to win is to learn faster than anyone else”
#BookReview #Limitless #รีวิวหนังสือ #สิงห์นักอ่าน
ป.ล. ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางใน facebook : สิงห์นักอ่าน
โฆษณา