No Time to Die (Action / 2021) : We have all the time in the world... กับบทสรุปของ James Bond ที่อิ่มเอม และสมศักดิ์ศรีที่สุด
นับตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วที่ Daniel Craig ได้ก้าวเข้ามารับบท James Bond นั้น เราในฐานะแฟนเดนตายผู้คลั่ง James Bond มากที่สุดในชีวิต ก็เริ่มได้เห็นการตีความในตัวละครนี้แบบที่มันควรจะถูกทำสักที และในทุก ๆ ครั้งที่ได้ดูภาคต่อของ 007 ในยุค Daniel มันก็มักจะมีระดับความประทับใจ และระดับความเซอร์ไพร์สที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทุกภาค และแน่นอนว่าเมื่อเป็นภาคสุดท้ายของเขา ทุกอย่างใน No Time to Die มันก็ขึ้นไปติดอยู่ที่กราฟสูงสุดในใจของเราทันที
No Time to Die (2021)
ความสุดอย่างแรกที่เราอยากพูดถึงเลยคือองค์ประกอบโดยรวม ซึ่งถ้าพูดถึงองค์ประกอบโดยรวมนั้น ณ ตอนที่เราดู Casino Royale เราจะเห็นได้ว่าตัวหนังพยายามปรับโฉมให้เข้ากับโลกจารชนสมัยใหม่ บวกกับความดิบ และเนื้อหาที่หนักหน่วง แต่พอมาถึง Skyfall เราจะเห็นได้ว่ามันมีการขยับโทนของหนังเข้าไปใกล้กับความคลาสสิคแบบยุคก่อนหน้า แต่ก็แทรกความโมเดิร์นเข้าไปด้วยซึ่งมันเป็นภาคที่เราชอบมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเฉลี่ยมาทางความคลาสสิคมากกว่าความโมเดิร์นแบบดิบ ๆ แต่สำหรับ No Time to Die องค์ประกอบโดยรวมในส่วนนี้สำหรับเรามันแบ่งมาได้ลงตัวมาก ชนิดที่ว่า 50 ต่อ 50 ซึ่งแน่นอนว่าถูกใจสายโมเดิร์นดิบ ๆ และสายคลาสสิคผู้รักความเชย (แบบผม) ได้พอดี ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนแฟรนไชส์นี้ยุคไหน คุณก็เอนจอยได้แบบ 100% อย่างแน่นอน
องค์ประกอบความโมเดิร์น และคลาสสิคที่แบ่งได้ลงตัว
และด้วยความที่โทนหนังผสานกันอย่างพอดิบพอดีเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าฉากแอ๊คชัน และส่วนของเนื้อเรื่อง มันบาลานซ์กันได้อย่างดี ก่อนอื่นขอพูดถึงฉากแอ๊คชันก่อน ฉากแอ๊คชันสำหรับภาคนี้ ส่วนตัวเราว่ามันพลาดไปตรงที่ปล่อยของออกมาในตัวอย่างเยอะไปมาก แต่ยังไงก็ตามมันก็ยังเหมือนกับที่กล่าวไปในข้างต้นเลย คือมันมีความดิบ ถึงเนื้อถึงตัวแบบชนิดที่ว่าใครชอบสไตล์ Casino Royale นั้นรับรองว่าต้องชอบ แถมภาคนี้ยังเสริมด้วยลูกเล่นต่าง ๆ ตามแบบบอนด์สไตล์คลาสสิคที่อาจมาไม่มาก แต่มาทีคือเดือดแทบทุกครั้ง ซึ่งเมื่อมันผสานกันได้แบบนี้ ก็เลยสานฝันความเป็น James Bond Old School แบบยุคปัจจุบันได้แบบไม่ต้องมานั่งจินตนาการถึง Kings Man อีกต่อไปแล้ว (แอบเสียดายนิดหน่อยที่ตัวอย่างมันเล่นปล่อยฉากมาเยอะไป)
นอกเหนือจากการเก็บมุมภาพฉากแอ๊คชัั่นที่สวยงามนั้น งานด้านการออกแบบคิวแอ๊คชันก็ดูสอดคล้องกับการไหลผ่านของมุมกล้องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่งฉากยิงกันในมุมแคบหรือที่แคบ ที่มักจะเป็นจุดอ่อนของหนัง James Bond อย่างสม่ำเสมอ แต่ภาคนี้ด้านการวางคิวแอ๊คชันในมุมแคบถือว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงท้าย ที่มีฉาก Action Long Take ยิงกันในที่แคบที่แม้จะไม่สมูทมาก ดูติดขัดนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการกล้าที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone บนฉากแอ๊คชันของตัวเองที่มักจะใช้การเตะต่อยเป็น Main ในการต่อสู้ระยะประชิดเป็นหลัก
การวางมุมกล้องของฉากแอ๊คชั่นที่ดูสวยงาม
ซาวด์ในหนังภาคนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าหวั่นใจ แม้จะได้ตัว Hans Zimmer นักประพันธ์คนโปรดมา แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการเข้ามารับเผือกร้อนก่อนหนังฉาย 4 เดือน (จากกำหนดการเดิม) ซึ่งเราก็แอบหวั่น และพอดูจริง ๆ เราว่ามันก็แอบดีอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกติดหู หรือโชว์เอกลักษณ์ความเป็นตัว Hans มากนักแบบที่ Thomas Newman ทำเอาไว้ใน Skyfall และ SPECTRE แต่ยังไงก็ตาม การนำเพลงธีมเก่า ๆ จากบอนด์ยุคก่อนก็เป็นการปรับที่ทำให้รู้สึก Nostalgic ได้ดีในระดับหนึ่งระหว่างดู
งาน Soundtrack ที่ได้ Hans Zimmer มาประพันธ์
สุดท้ายที่อยากกล่าวถึง (ซึ่งเดี๋ยวมีรีวิวแบบสปอยเล็กน้อยต่อในด้านล่าง) No Time to Die คือการปิดฉาก James Bond ในยุคของ Craig ที่สมบูรณ์แบบ สมศักดิ์ศรี สมการรอคอย และพร้อมที่จะทำให้คุณอิ่มเอมใจไปกับมันได้อย่างเต็มที่ มันคือการปิดฉากในรูปแบบที่ไปถึงกราฟสูงสุดที่ตัวมันจะไปถึงได้ และแน่นอนว่ามันส่งผลที่อิมแพ๊คทางด้านอารมณ์มากที่สุดตั้งแต่เราดู James Bond มา 24 ภาคก่อนหน้า... แม้มันอาจจะมีแผลประปราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนัง James Bond ที่เรารักที่สุดแล้วในตอนนี้จริง ๆ ซึ่งเรานั้นก็อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสกับมันด้วยตัวเองกับการปิดฉากตำนานสุดตราตรึงครั้งนี้ และท้ายสุดเราก็อยากจะจบรีวิวนี้เอาไว้ว่า.... Mr.Bond.... We have all the time in the world ❤❤❤
Mr.Bond.... We have all the time in the world ❤❤❤
ปล. 1 เพื่อน ๆ หรือคนที่รู้จักเราดีอยู่แล้วจะรู้ทันทีว่าเราคลั่งแฟรนไชส์นี้ขนาดไหน แต่สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้รู้จัก หรือบังเอิญเข้ามาอ่าน ผมจะบอกง่าย ๆ ครับว่า ของสะสมในห้องผมคือเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ หรือคอลเลชั่นที่เป็น James Bond เกือบทั้งห้อง บวกกับบางภาคที่ดูบ่อยนั้น (บ่อยในที่นี้คือเกิน 50 รอบแน่ ๆ แต่ถ้าไม่บ่อยก็จะประมาณ 30 กว่า ๆ) ก็ดูจนจำ Dialog ของตัวละคร และพูดก่อนในตัวหนังจะพูดได้ทั้งพากย์ไทย และ อังกฤษครับ แถมเกมส์ Quiz Up หมวด James Bond ผมก็เคยขึ้นอันดับ 1 ของประเทศแบบ All time มาก่อนด้วย 555555555 (อันนี้เหมือนมาโม้อ่ะ 55555)
ถ้าให้เราตอบในฐานะของคนที่คลั่ง James Bond เป็นชีวิตจิตใจ และดูหนังทุกภาคซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ถ้าให้เรายกมาวิเคราะห์ว่าภาคนี้จะให้กลิ่นอายแบบไหน เอาจริง ๆ เราว่าค่อนข้างตอบยากมาก เพราะมันมีการหยิบจุดเด่นของแต่ละภาคมาเด่นชัด ซึ่งเราว่ามันมีทั้งกลิ่นอายของ Dr.No, You Only Live Twice, On Her Majesty's Secret Service, และ License to kill เข้าด้วยกันในเรื่องเดียว (ที่ยก License to kill มา เพราะเรามองว่า No Time to Die มันดิบแบบนี้มากกว่าแบบ Casino Royale) ซึ่งทั้งหมดมันคือองค์ประกอบของบอนด์ยุค Old School ทั้งสิ้น และมันทำให้เราประทับใจมาก