8 ต.ค. 2021 เวลา 09:48 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
No Time to Die (Action / 2021) : We have all the time in the world... กับบทสรุปของ James Bond ที่อิ่มเอม และสมศักดิ์ศรีที่สุด
นับตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วที่ Daniel Craig ได้ก้าวเข้ามารับบท James Bond นั้น เราในฐานะแฟนเดนตายผู้คลั่ง James Bond มากที่สุดในชีวิต ก็เริ่มได้เห็นการตีความในตัวละครนี้แบบที่มันควรจะถูกทำสักที และในทุก ๆ ครั้งที่ได้ดูภาคต่อของ 007 ในยุค Daniel มันก็มักจะมีระดับความประทับใจ และระดับความเซอร์ไพร์สที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทุกภาค และแน่นอนว่าเมื่อเป็นภาคสุดท้ายของเขา ทุกอย่างใน No Time to Die มันก็ขึ้นไปติดอยู่ที่กราฟสูงสุดในใจของเราทันที
No Time to Die (2021)
ความสุดอย่างแรกที่เราอยากพูดถึงเลยคือองค์ประกอบโดยรวม ซึ่งถ้าพูดถึงองค์ประกอบโดยรวมนั้น ณ ตอนที่เราดู Casino Royale เราจะเห็นได้ว่าตัวหนังพยายามปรับโฉมให้เข้ากับโลกจารชนสมัยใหม่ บวกกับความดิบ และเนื้อหาที่หนักหน่วง แต่พอมาถึง Skyfall เราจะเห็นได้ว่ามันมีการขยับโทนของหนังเข้าไปใกล้กับความคลาสสิคแบบยุคก่อนหน้า แต่ก็แทรกความโมเดิร์นเข้าไปด้วยซึ่งมันเป็นภาคที่เราชอบมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเฉลี่ยมาทางความคลาสสิคมากกว่าความโมเดิร์นแบบดิบ ๆ แต่สำหรับ No Time to Die องค์ประกอบโดยรวมในส่วนนี้สำหรับเรามันแบ่งมาได้ลงตัวมาก ชนิดที่ว่า 50 ต่อ 50 ซึ่งแน่นอนว่าถูกใจสายโมเดิร์นดิบ ๆ และสายคลาสสิคผู้รักความเชย (แบบผม) ได้พอดี ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนแฟรนไชส์นี้ยุคไหน คุณก็เอนจอยได้แบบ 100% อย่างแน่นอน
องค์ประกอบความโมเดิร์น และคลาสสิคที่แบ่งได้ลงตัว
และด้วยความที่โทนหนังผสานกันอย่างพอดิบพอดีเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าฉากแอ๊คชัน และส่วนของเนื้อเรื่อง มันบาลานซ์กันได้อย่างดี ก่อนอื่นขอพูดถึงฉากแอ๊คชันก่อน ฉากแอ๊คชันสำหรับภาคนี้ ส่วนตัวเราว่ามันพลาดไปตรงที่ปล่อยของออกมาในตัวอย่างเยอะไปมาก แต่ยังไงก็ตามมันก็ยังเหมือนกับที่กล่าวไปในข้างต้นเลย คือมันมีความดิบ ถึงเนื้อถึงตัวแบบชนิดที่ว่าใครชอบสไตล์ Casino Royale นั้นรับรองว่าต้องชอบ แถมภาคนี้ยังเสริมด้วยลูกเล่นต่าง ๆ ตามแบบบอนด์สไตล์คลาสสิคที่อาจมาไม่มาก แต่มาทีคือเดือดแทบทุกครั้ง ซึ่งเมื่อมันผสานกันได้แบบนี้ ก็เลยสานฝันความเป็น James Bond Old School แบบยุคปัจจุบันได้แบบไม่ต้องมานั่งจินตนาการถึง Kings Man อีกต่อไปแล้ว (แอบเสียดายนิดหน่อยที่ตัวอย่างมันเล่นปล่อยฉากมาเยอะไป)
ความน่าเสียดายหนึ่งอย่างของฉากต่อสู้คือการที่ปล่อยของในตัวอย่างเยอะไป
ในส่วนของเนื้อเรื่อง ตัวพล็อตนั้นกลับไปเน้นรูปแบบคลาสสิคอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนครับว่ามันเชย แต่พอดูไปเรื่อย ๆ นั้น ด้วยความที่ดีเทลในเรื่องมันมีความเข้มข้นมาก และมีการหักไปหักมากันตลอดทั้งเรื่องจึงทำให้ตัวเนื้อเรื่องที่รู้สึกได้ถึงความเชย (ที่ถูกใจเรา) มันดูมีอะไรให้ลุ้น และระทึกจนตัวเกร็งตลอดทั้งเรื่องจริง ๆ
ถ้าให้ยกตัวอย่างของเราเลยคือ จากเนื้อเรื่องในตอนที่ดูตัวอย่างเรามีความรู้สึกว่า เออมามุกเกษียณแล้วกลับมากู้โลกอีกแล้วหรอ มันมาไม้นี้บ่อยมากเลยแบบเริ่มเซ็ง แต่ผิดถนัด พอเมื่อดูไปเรื่อย ๆ อ่ะในช่วงแรกมันอาจจะใช่ที่มันมาทรงนี้ แต่เมื่อดูไปต่อ เราจะเห็นได้ทันทีว่าทำไม James Bond ถึงต้องลุยภารกิจต่อให้จบ ซึ่งมันโคตรสมเหตุสมผลแบบปฏิเสธไม่ได้เลย
เหตุผลในการกลับมาสานต่อภารกิจก็สมเหตุสมผลอย่างมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากพูดกับเซียน James Bond แบบเรานั้น ในด้านเนื้อเรื่อง เราบอกเลยว่าไอที่เราชอบวิเคราะห์กันมา รับรองได้เลยว่าหักเซียนกันหมด เนื้อเรื่องในภาคนี้คือกล้าฉีก และแหวกขนบธรรมเนียมของบอนด์ไปชนิดที่ว่า โหวเอาขนาดนี้เลยอ่อ คือเดาให้ถูกอ่ะมีสิทธิ์ แต่การันตีว่าถ้าไม่รู้สปอยมาก่อน เดาเนื้อเรื่องภาคนี้ หรือเดาจุดหักเหของเนื้อเรื่องในภาคนี้ได้ยากแน่ (ต่อให้จะสรรหาอ่านนิยายมามากแค่ไหนแบบที่เราอ่านก็เถอะ 55555) และแน่นอนว่าในจุดนี้ มันอาจทำให้แฟนเดนตายของแฟรนไชส์นี้ ไม่ชอบก็เกลียดไปเลยอย่างแน่นอน (แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนยุค Craig ไม่ได้ตามนิยาย หรือตามภาคเก่าแบบหนัก ๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเท่าไหร่)
การดำเนินเรื่องที่เดินไปสุดทางมากกว่าที่คิดเอาไว้
หนึ่งสิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องกลายเป็นจุดแข็งคือเรื่องของความสัมพันธ์ตัวละครที่เจาะไปที่สหายรอบข้างบอนด์ เราจะได้เห็นถึงความลึกซึ้งของตัวละครที่มีปฏิสัมพันธ์กับตัวเอก รวมไปถึงการช่วงส่งแรงผลักไปให้กับตัวบอนด์ ไม่ว่าจะเป็นตัว แมดเดลีน สวอน คนรักของบอนด์ ที่ก็เสริมมิติต่าง ๆ หรือจะเป็นเฟลิกซ์ เพื่อนสนิทของบอนด์ ที่มักจะชอบถูกกล่าวถึงว่าสนิทกัน แต่ต้องยอมรับว่าภาคก่อน ๆ ทั้ง 24 ภาค (จริง ๆ ที่มีเฟลิกซ์ก็ไม่ถึง) มันไม่ค่อยได้เห็นว่า 2 คนนี้คือเพื่อสนิทกันแบบเท่าไหร่ (มีแค่ License to Kill) แต่ใน No Time to Die มันจะช่วยตอบให้เห็นตรงนี้ แม้ในช่วงเวลาสั้น เราจะได้เห็นการทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เชื่อได้จริง ๆ ว่าเออ 2 คนเนี่ยะ มันคือเพื่อนสนิทกันจริง ๆ นะ ซึ่งนี่ก็คือบรรดาตัวอย่างของความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ภาคนี้พยายามโฟกัสมากขึ้น และทั้งหมดนี้มันยังรวมไปถึงตัวครสาวบอนด์ตัวใหม่ ๆ ด้วย
ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ค่อนข้างเด่นชัด
ตัวละครสาวบอนด์ภาคนี้ คือพูดได้เต็มปากว่ามันไม่ได้ดูจับยัดแบบหลากหลายหนังฟอร์มยักษ์ที่ตามเทรนด์ยัดพลังหญิง สำหรับ James Bond ในยุค Craig นั้นต้องยอมรับว่ามันพยายามที่จะลดทอนในส่วนของการใช้ตัวละครสาวเป็น Sex Object ลง และในภาคนี้มันได้ถูกขจัดออกไปได้อย่างสมบูรณ์ในมุมมองของเรา สาวบอนด์ทั้ง 2 มีเสน่ห์ในรูปแบบของตัวเอง และไม่ได้ถูก Represent มาเพื่อเป็น Sex Object อีกแล้ว แต่กลับกันมันถูกเสริมด้วยความแข็งแกร่ง และทัดเทียม แบบที่แม้ไปอยู่กับอนด์ ก็ยังฟาด และเฉิดฉายได้ ไม่แพ้ตัวละครบอนด์เลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญมันดูสมเหตุสมผลที่ว่าทำไมต้องให้เป็นพวกเธอที่เข้ามาอยู่ในภารกิจการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสาวบอนด์ครั้งนี้ด้วย
2 สาวบอนด์ที่เด่นขึ้น และไม่ถูกใช้เป็น Sex Object
สำหรับส่วนของตัวร้าย ถ้าให้พูดตรง ๆ จากการโปรโมทมาโดยตลอดนั้น ทั้งการแคสติ้งนักแสดงดีกรีออสการ์อย่าง Rami Malek มาแสดง ไหนจะภาพลักษณ์ที่ปล่อยออกมาดูผิดมนุษย์ชนิดเดียวกับพวกโหด ๆ แบบตัวร้ายจาก James Bond ยุคก่อน ไหนจะการกระหน่ำโปรโมทว่านี่คือตัวร้ายที่วิปริตที่สุดอีก แน่นอนว่าเราต้องคาดหวังจะได้เห็นอะไรเทพ ๆ จากตัวละครซาฟิน ตัวร้ายหลักของเรื่องแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว เราว่าทุกอย่างมันโอเคอยู่ในมาตรฐานของตัวร้ายบอนด์ทั่ว ๆ ไปนี่แหละ ซึ่งด้วยการโปรโมทด้วยมั้ง เลยอาจทำให้เราคาดหวังไปสูง แต่เมื่อส่วนของตัวร้ายมันอยู่ในมาตรฐานธรรมดา(ออกไปทางแบนราบเล็กน้อย) มันเลยทำให้เราแอบรู้สึกเสียดายของเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ตัวร้ายที่ค่อนข้างธรรมดาไปหน่อย
แต่ถ้าพูดถึงตัวร้ายแล้ว เอาเข้าจริง ๆ ใครเป็นแฟน James Bond จะรู้ได้ว่าจริง ๆ ไอตัวร้ายทุกภาคเนี่ยะ ที่มันน่ากลัวได้ ก็เพราะพวก Henchman หรือมือขวาของพวกนั้นต่างหากที่มันจะคอยเสริมบารมีตัวร้ายให้เป็นอย่างดี (เช่นพวก Oddjob, Jaws, หรือ Hinx) และในภาคนี้ เอาจริง ๆ มันก็ดูวิปริต และดูจองล้างจองผลาญกับบอนด์แบบเอาเรื่องอยู่เช่นกัน แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้เราเกิดอาการกลัว หรืออะไรขนาดนั้น (ซึ่งอาจเป็นเพราะฉากในช่วงแรก ที่ขอไม่พูดไม่งั้นเดี๋ยวสปอย) และเมื่อมันไม่ได้ส่งผลให้เรากลัว หรือเกิดการจดจำขนาดนั้น มันก็เลยอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ช่วยเสริมให้ซาฟินดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
ตัว Henchman ที่ไม่ได้โหดมากนัก
ยังไงก็ตาม แม้จะมีข้อให้ติบ้างกับบท หรือพาร์ทของบรรดาตัวร้าย แต่ในเรื่องของการแสดงจากเหล่านักแสดง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเข้าถึงบทบาท และแสดงได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะกับ James Bond ภาคที่มีความ Emotional มากที่สุดอย่างภาคนี้ ซึ่งบอกได้เลยว่าทุกคนสอบผ่านหมด และทำให้เราอินไปกับการแสดงของพวกเขาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะป๋า Craig และ Léa Seydoux ที่ต้องแบกในพาร์ท Emotional อันหนักหน่วงที่แทบจะไม่เคยมีมาก่อนในหนังบอนด์ภาคไหนเลย (รวมถึงพาร์ทโรแมนติกที่ถ้าปั้นต่อดี ๆ ก็เป็นหนังรักชั้นดีได้เลย)
เคมีตัวละครที่ดูค่อนข้างเข้าขา
ข้ามมาที่งานเทคนิคบ้าง เรายอมรับว่าเราแอบหวั่นใจกับงานภาพเมื่อเห็น Trailer แรก เพราะด้วยมุมของภาพต่าง ๆ มันมีความเป็น Hollywood มากขึ้นกว่าความเป็นหนังอังกฤษแบบเดิม ๆ ซึ่งมันก็เป็นที่มาจากการเปลี่ยนผกก.ภาพ แต่เมื่อดูหนังจริงแล้วนั้น ก็พบว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังคงรักษามาตรฐานงานภาพที่เน้นความสวยงามได้เป็นอย่างดีมาก... อีกทั้งยังเน้นการเก็บมุมที่เห็นวิวที่สวยงามในช่วงแอ๊คชันสุดดิบได้เป็นอย่างดีเช่นเคย
นอกเหนือจากการเก็บมุมภาพฉากแอ๊คชัั่นที่สวยงามนั้น งานด้านการออกแบบคิวแอ๊คชันก็ดูสอดคล้องกับการไหลผ่านของมุมกล้องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่งฉากยิงกันในมุมแคบหรือที่แคบ ที่มักจะเป็นจุดอ่อนของหนัง James Bond อย่างสม่ำเสมอ แต่ภาคนี้ด้านการวางคิวแอ๊คชันในมุมแคบถือว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงท้าย ที่มีฉาก Action Long Take ยิงกันในที่แคบที่แม้จะไม่สมูทมาก ดูติดขัดนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการกล้าที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone บนฉากแอ๊คชันของตัวเองที่มักจะใช้การเตะต่อยเป็น Main ในการต่อสู้ระยะประชิดเป็นหลัก
การวางมุมกล้องของฉากแอ๊คชั่นที่ดูสวยงาม
ซาวด์ในหนังภาคนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าหวั่นใจ แม้จะได้ตัว Hans Zimmer นักประพันธ์คนโปรดมา แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการเข้ามารับเผือกร้อนก่อนหนังฉาย 4 เดือน (จากกำหนดการเดิม) ซึ่งเราก็แอบหวั่น และพอดูจริง ๆ เราว่ามันก็แอบดีอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกติดหู หรือโชว์เอกลักษณ์ความเป็นตัว Hans มากนักแบบที่ Thomas Newman ทำเอาไว้ใน Skyfall และ SPECTRE แต่ยังไงก็ตาม การนำเพลงธีมเก่า ๆ จากบอนด์ยุคก่อนก็เป็นการปรับที่ทำให้รู้สึก Nostalgic ได้ดีในระดับหนึ่งระหว่างดู
งาน Soundtrack ที่ได้ Hans Zimmer มาประพันธ์
สุดท้ายที่อยากกล่าวถึง (ซึ่งเดี๋ยวมีรีวิวแบบสปอยเล็กน้อยต่อในด้านล่าง) No Time to Die คือการปิดฉาก James Bond ในยุคของ Craig ที่สมบูรณ์แบบ สมศักดิ์ศรี สมการรอคอย และพร้อมที่จะทำให้คุณอิ่มเอมใจไปกับมันได้อย่างเต็มที่ มันคือการปิดฉากในรูปแบบที่ไปถึงกราฟสูงสุดที่ตัวมันจะไปถึงได้ และแน่นอนว่ามันส่งผลที่อิมแพ๊คทางด้านอารมณ์มากที่สุดตั้งแต่เราดู James Bond มา 24 ภาคก่อนหน้า... แม้มันอาจจะมีแผลประปราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนัง James Bond ที่เรารักที่สุดแล้วในตอนนี้จริง ๆ ซึ่งเรานั้นก็อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสกับมันด้วยตัวเองกับการปิดฉากตำนานสุดตราตรึงครั้งนี้ และท้ายสุดเราก็อยากจะจบรีวิวนี้เอาไว้ว่า.... Mr.Bond.... We have all the time in the world ❤❤❤
Mr.Bond.... We have all the time in the world ❤❤❤
ปล. 1 เพื่อน ๆ หรือคนที่รู้จักเราดีอยู่แล้วจะรู้ทันทีว่าเราคลั่งแฟรนไชส์นี้ขนาดไหน แต่สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้รู้จัก หรือบังเอิญเข้ามาอ่าน ผมจะบอกง่าย ๆ ครับว่า ของสะสมในห้องผมคือเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ หรือคอลเลชั่นที่เป็น James Bond เกือบทั้งห้อง บวกกับบางภาคที่ดูบ่อยนั้น (บ่อยในที่นี้คือเกิน 50 รอบแน่ ๆ แต่ถ้าไม่บ่อยก็จะประมาณ 30 กว่า ๆ) ก็ดูจนจำ Dialog ของตัวละคร และพูดก่อนในตัวหนังจะพูดได้ทั้งพากย์ไทย และ อังกฤษครับ แถมเกมส์ Quiz Up หมวด James Bond ผมก็เคยขึ้นอันดับ 1 ของประเทศแบบ All time มาก่อนด้วย 555555555 (อันนี้เหมือนมาโม้อ่ะ 55555)
ปล. 2 ตัวละครพาโลมานี่มาทีคือสุดจัดเลย ไม่แปลกใจที่ทำไมใครอยากเห็นภาคแยกของนาง ซึ่งเอาจริง ถ้าจะสร้างภาคแยกของนางจริง เราแม่งโคตรอยากจะดูเลย ตัวละครมันโคตรจะมีเสน่ห์ แถมมีอะไรให้น่าลงลึกไปเล่าอ่ะ 5555555
ปล. 3 แนะนำให้เข้าห้องน้ำก่อนดูนะ เพราะเอาจริง หาจังหวะออกมาเข้ายากมาก แม้ความยาวหนังจะนาน แต่ดีเทลมันเยอะ และเดินเรื่องเร็ว คืออาจหลุดได้ง่ายเลยตอนไปเข้าห้องน้ำ
***** ด้านล่างนี้จะเป็นพาร์ทรีวิวบางส่วนที่อาจสปอยเล็กน้อย แต่ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ **** (ถ้าอยากได้อรรถรสเต็มที่ ก็ข้ามก็ได้ แต่ถ้าไม่ซีเรียสก็อ่านได้เพราะไม่ได้สปอยหนัก)
ถ้าให้เราตอบในฐานะของคนที่คลั่ง James Bond เป็นชีวิตจิตใจ และดูหนังทุกภาคซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ถ้าให้เรายกมาวิเคราะห์ว่าภาคนี้จะให้กลิ่นอายแบบไหน เอาจริง ๆ เราว่าค่อนข้างตอบยากมาก เพราะมันมีการหยิบจุดเด่นของแต่ละภาคมาเด่นชัด ซึ่งเราว่ามันมีทั้งกลิ่นอายของ Dr.No, You Only Live Twice, On Her Majesty's Secret Service, และ License to kill เข้าด้วยกันในเรื่องเดียว (ที่ยก License to kill มา เพราะเรามองว่า No Time to Die มันดิบแบบนี้มากกว่าแบบ Casino Royale) ซึ่งทั้งหมดมันคือองค์ประกอบของบอนด์ยุค Old School ทั้งสิ้น และมันทำให้เราประทับใจมาก
SPECTRE
สิ่งหนึ่งที่ต้องโคตรชมเลย คือพาร์ทการกู้หน้าให้องค์กร SPECTRE ที่แบบว่าเออทำออกมาได้น่ากลัว และค่อยสมศักดิ์ศรีของ SPECTRE ยุค Sean Connery หน่อย คือมันต้องแบบนี้ แบบการนำ SPECTRE กลับมา Represent ครั้งนี้มันดูมีความน่ากลัว น่าเกรงขามมากกว่า SPECTRE ทั้งเรื่องอีก ทั้ง ๆ ที่ภาคนี้แทบจะไม่ได้โฟกัสหนักขนาดนั้น ซึ่งในส่วนนี้มันสามารถทำให้พูดได้เต็มปากสักทีว่านี่แหละคือคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อของบอนด์จริง ๆ
พูดถึง SPECTRE ไปแล้ว ก็ต้องพูดถึงคู่ปรับตลอดกาลของบอนด์อย่างโบลเฟลด์บ้าง ออกมาภาคนี้ได้โชว์สกิลฝีปากสักที... อันที่จริงเราชอบโบลเฟลด์ภาคที่แล้วนะ เพราะตามฉบับเก่ามันก็เป็นตัวร้ายปากขี้โม้หาเรื่องแบบนี้แหละ แต่ภาคนี้ก็พอปล่อยพื้นที่ให้แกได้แก้ไขสิ่งที่คนชอบว่าแกในภาคที่แล้วบ้าง ซึ่งถือว่าคงคอนเซปเดิมได้เลย แถมสกิลปากอัพไปอีกขั้นด้วย ชนิดที่ว่า เอ้อ แม่งปากดีจริงหว่ะ แถมยังปั่นเก่งชิบหายวายป่วงเลยขนาดอยู่ในคุก 555555555555
โบลเฟลด์ได้โชว์สักที
โฆษณา