16 ต.ค. 2021 เวลา 01:00 • หนังสือ
Eat Pray Love, Elizabeth Gilbert
อ่านจบนี่ก็ไม่แปลกใจที่ถูกเอามาสร้างเป็นหนัง เพราะพล็อต hollywood จัดๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นหนังสือที่อ่านแล้ว feel good ทีเดียว (ความรู้สึกอิจฉาและอิ่มเอมปนๆ กันไป)
spoiler alert!!! มั้ง
หนังสือมีสามบท เป็นการออกไปซ่อมแซมตัวเองของตัวเอก/ผู้เขียน-Liz หลังจากที่ผ่านมรสุมชีวิตครอบครัวมาอย่างยับเยิน เอาจริงๆ ดูไม่น่าจะเป็นปัญหาของหญิงแต่งงานทั่วไปที่มีครอบครัวอบอุ่น แต่นั่นแหละความเป็นนางปัญหาจึงเกิด ทั้งสามบทให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน บทแรกอ่านแล้วรู้สึกสนุกสนาน บทที่สองมีความขึงขัง บทสุดท้ายค่อนข้างผ่อนคลาย
บทแรก เป็นความพยายาม distract ตัวเองออกจากปัญหาตรงหน้า ด้วยการใช้ชีวิตที่อิตาลีเพียงเพราะนางชอบภาษาอิตาลี ว๊อททท!! ก็นะ...บางทีคนเราอาจจะไม่จำเป็นต้องการเหตุผลที่หนักแน่นอะไรมากมายหรอก (หรือนี่คือเหตุผลที่หนักแน่นแล้วของคนทั่วไป) บทนี้อินเพราะเคยไปอิตาลีเหมือนกัน แต่ไม่ได้อินเพราะเราเคยไปตรงนั้นตรงนี้เหมือน Liz แต่อินเพราะวิธีการใช้ชีวิตในอิตาลีมากกว่า
เนื่องจากเราเองเป็นพวก budget traveler+อยากเที่ยวให้คุ้ม เลยแพลนมันซะทุกอย่าง อ่านทุกรายละเอียด บอกตรงๆ ตอนแพลนเนี่ยสนุกมาก แต่พอไปถึงที่จริงกลับไม่สนุกเท่า (ยังไม่รวมความหงุดหงิดเวลาผิดแผน) แต่ Liz เองใช้ชีวิตที่อิตาลีประหนึ่งเหมือนคนกรุงเทพไปเที่ยวพัทยาคือไม่วางแผน ไม่คิดมาก หาข้อมูลเอาเฉพาะหน้า make friend ทั้งกับ local และ expat ซึ่งรู้สึกว่าถ้าได้เที่ยวแบบนี้มันน่าจะสนุกกว่าเยอะ
แต่ที่น่าแปลกกว่าคือ หลายๆ ที่ที่เคยเห็นกับตาเองในวันนั้นก็ไม่ได้อินอะไรกับมันมาก (เว้นให้กับโบสถ์ St.Peter อันนี้คือสุดจริงๆ อยากอยู่ทั้งวันแต่แพลนแน่นไง ทัวร์จีนป่ะวะ) แต่เมื่อได้มาอ่านผ่านมุมมองของ Liz ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงรู้สึกมีความสุขมากกว่า จนอยากไปอิตาลีอีกรอบเลยเนี่ย (อีภาพเฟรสโก้ของมิเคลันเจโล่ในโบสถ์ Sistine นั่นน่ะตัวอย่างนึง ตอนไปดูเมื่อยคอชิบหาย ไม่อิน มานั่งอ่านนี่คือภาพแบบฟรุ้งฟริ้ง)
เข้าบทสองหลังจากที่สภาพจิตใจนางดีขึ้น ก็บินหนีมาฝึกจิตฝึกใจที่อินเดีย บทนี้ไม่หวือหวาเพราะมีแต่เรื่องในอาศรมที่อินเดีย เป็นช่วงที่ Liz ได้ดวงตาเห็นธรรม ส่วนใหญ่พูดวนเกี่ยวกับปัญหาชีวิต และปัญหาเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหาด้วยสมาธิ (งงดิ...ปัญหาของการทำสมาธินั่นแหละ) อันนี้ไม่ค่อยอินเท่าไหร่บอกตรงๆ เพราะเป็นคนไม่ค่อยอินกับการทำสมาธิอยู่แล้ว ยิ่งเล่าไปถึงขนาดว่าทำสมาธิจนถึงระดับเข้าฌาณเห็นแสงสีฟ้า สีม่วงอะไร แล้วรู้สึกฟินอะไรนั่นน่ะ กู...กลอกตามองบน
คือจริงๆ ส่วนตัวเชื่อว่าสมาธิน่าจะช่วยในการใช้ชีวิตนะ เข้าใจว่าเหมือนจะเป็นที่นิยมมากในหมู่ CEO ชั้นนำใน Silicon Valley ด้วยซ้ำ อย่างอีตา Jack Dorsey ของ Twitter นี่ก็ทำ ไม่พอไว้เครายาวอย่างกับโยคี ดูแวบแรกนี่นึกว่าแมนดารินจากไอออนแมน 3 แต่แบบที่ Liz บรรยายอันนี้ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่นางเขียนดีนะ เขียนแล้วไม่รู้สึกว่าเว่อ เพ้อ ดูเมากาวเท่าไหร่
บทสุดท้ายบินมาหา balance ในชีวิตที่บาหลี บทนี้ชอบที่สุด ชอบจนอยากไปบาหลี ไปตามหาหมอยา หมอดูที่ Liz ได้ผูกเป็นกัลยาณมิตรไว้ (และต้องรู้สึก fail หลังจาก google หาข้อมูล แต่ก็คิดว่าจะไปอยู่ดี) บทนี้ชอบเพราะตัวละครเลย
มันสนุกตรงที่เราได้เห็นมิติที่หลากหลายของตัวละครต่างๆ story ของบางคนอ่านแล้วซาบซึ้งจนน้ำตารื้น บางคนก็ดูบ้าบิ่นแบบที่เราอ่านแล้วรู้สึกอิจฉาว่าทำไมกล้าจังวะ บางคนอ่านแล้วก็ขำ หลายครั้งความคิดอ่านและการกระทำของคนเหล่านี้ก็เป็นผลจากบริบทแวดล้อมทางสังคมที่นำไปสู่การแก้ปัญหาแบบอิหยังวะเลยทีเดียว
ทั้งหมดทั้งมวลหนังสือเล่มนี้ให้ sense ของความจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นจากตัวผู้เขียนเอง หรือผู้คนที่ผู้เขียนได้พบเจอ ทุกคนค่อนข้างตรงไปตรงมา ซึ่งบางทีก็ตรงเกิ๊น จะมีใครขอกินตับหญิงโดยบอกว่า 'ไม่ต้องกลัวท้องเพราะฉันทำหมันมาแล้ว' มั้ยล่ะครับ!!
ลองมานั่งคิดว่าทำไมหนังสือประเภทบันทึกการเดินทางมักจะทำงานกับเราได้ดี คำตอบที่ได้น่าจะเป็นเพราะว่ามันให้ประสบการณ์แบบที่เราขาด อันได้แก่
1. การใช้ชีวิตในต่างประเทศแบบที่ไม่ต้องวางแผนอะไรมากนัก (โดยเฉพาะประเทศที่มีค่าครองชีพสูง)
2. การได้เจอเพื่อนใหม่ในการเดินทางที่บางทีกลายมาเป็นเพื่อนสนิท จริงใจ พูดคุยกันได้แทบทุกเรื่อง
3. การเรียนรู้วัฒนธรรมของที่นั้นๆ แบบ first hand
ซึ่งเรื่องนี้ก็มีครบทั้งสามข้อนี่ล่ะ
เพิ่มเติม - แอบไปดูหนังมาละ ห่างไกลหนังสือเยอะ ให้เวลากับตัวละครแต่ละตัวน้อย แม้แต่ตัว Liz เองยังดูขาดเหตุผล (คือถ้าไม่อ่านหนังสือมาอาจถึงขั้นงง) ทำให้ไม่อินกับการกระทำของ Liz ไม่อินกับตัวละครแวดล้อม character ของตัวละครก็ให้ความรู้สึกต่างจากหนังสือ บางตัวที่ในหนังสือดูฉลาด สุขุม แต่ในหนังกลายเป็นดูโง่ ดูกร่างแทน พยายามเข้าใจแล้วนะว่าเวลาในหนังมันน้อยต้องรวบรัดตัดตอน แต่ก็ไม่ไหวจริงๆ ไม่ผ่านๆ
สรุป ชอบๆ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ส่วนใหญ่ อ่านแล้ว happy อ่านแล้ว inspired ให้อยู่ชั้นบนๆ ของหิ้งหนังสือละกัน
โฆษณา